December 05, 2025

BAM สยายปีกต่อยอดธุรกิจ จับมือ "กลุ่ม ไซมิส" ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชั้นนำของเมืองไทย และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ เสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจร่วมกัน ทั้งทางด้าน NPL และ NPA เพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินต่อยอดความสำเร็จในกลยุทธ์หลักของ BAM ในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ

บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) (SA) และบริษัทบริหารสินทรัพย์ ไซมิส แอนด์ เวลธ์ จำกัด (SWAM) เพื่อร่วมมือทางธุรกิจในด้านบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และทรัพย์สินรอการขาย (NPA)      

นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า การร่วมมือกับกลุ่ม ไซมิส ในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายฐานธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้ง NPL และ NPA อย่างครบวงจร ซึ่งขอบเขตความร่วมมือเบื้องต้น BAM จะทำหน้าที่เป็นผู้คัดสรรและนำเสนอทรัพย์สินรอการขายให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อร่วมกันพัฒนา ซ่อมแซม และเพิ่มมูลค่า ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม ที่ดิน และอาคารพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อ “พลิกทรัพย์ร้างให้กลายเป็นทรัพย์สร้างกำไร” สร้างรายได้ให้กับ BAM อย่างต่อเนื่อง และช่วยลดต้นทุนการถือครองทรัพย์สิน

นอกจากนั้น ยังประสานความร่วมมือทางด้านการบริหารจัดการ NPL เพื่อให้การลงนามครั้งนี้ เป็นก้าวที่สำคัญของการเสริมสร้างศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจด้วยการผนึกกำลังความเป็นมืออาชีพและความเชี่ยวชาญของทั้ง 3 องค์กร เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM กล่าวเพิ่มเติมว่า BAM ยังคงเดินหน้าผลักดันกลยุทธ์ Partnership ด้วยการบริหารจัดการ NPL และจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยด้านกลุ่มพันธมิตร ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) ซึ่งสืบทอดความเชี่ยวชาญจาก “ฤทธา” บริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทย ก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และไซมิส แอนด์ เวลธ์ ผู้รับซื้อและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เพื่อดำเนินธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ โดยพร้อมสนับสนุน BAM ในการเพิ่มมูลค่าทรัพย์และพัฒนาโครงการเพื่อจำหน่าย ให้เช่า และให้บริการธุรกิจโรงแรม และอื่นๆ การลงนามครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ BAM ในฐานะผู้นำธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ได้เดินหน้าขยายความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการบริหาร NPL และ NPA อย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน BAM มีหนี้ด้อยคุณภาพในความดูแลกว่า 91,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้กว่า 498,000 ล้านบาท และมีทรัพย์สินรอการขายกว่า 24,000 รายการ ราคาประเมินรวมกว่า 74,000 ล้านบาท

นางสุนันทา สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) (SA) กล่าวว่า การร่วมมือกับ BAM ครั้งนี้ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ SA และ บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไซมิส แอนด์ เวลธ์ จำกัด (SWAM) สามารถพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจาก BAM ถือเป็นองค์กรหลักในระบบบริหารจัดการหนี้และทรัพย์สินรอการขายของประเทศ มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 25 ปี และมีจุดแข็งในการเพิ่มมูลค่าทรัพย์ก่อนส่งกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ถือเป็นพันธมิตรที่ช่วยต่อยอดกลยุทธ์ของบริษัทฯ ได้อย่างลงตัว

“บริษัทฯ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน โดยความร่วมมือครั้งนี้จะต่อยอดขีดความสามารถในการพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งจากทรัพย์หลักประกันและทรัพย์อื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ระยะยาว พร้อมยกระดับประสิทธิภาพในการบริหารทรัพย์สินด้อยคุณภาพทั้ง NPA และ NPL ให้สามารถพลิกฟื้นเป็นทรัพย์สินเชิงพาณิชย์ที่สร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม และสร้างมูลค่าใหม่อย่างยั่งยืน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อองค์กร ลูกหนี้ และเศรษฐกิจโดยรวม พร้อมนำพาทุกฝ่ายไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคง” นางสุนันทา กล่าว

ด้าน นางตุลณยา เองตระกูล กรรมการบริษัท บริหารสินทรัพย์ ไซมิส แอนด์ เวลธ์ จำกัด ( SWAM) ประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ กล่าวว่า SWAM จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้คำปรึกษาและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ของ BAM อาทิเช่น กรณีที่ทรัพย์ BAM เข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาด ทาง SWAM จะเข้ามาบริหารจัดการ และ/หรือ จะพิจารณาทรัพย์สินประเภทที่อยู่อาศัยและค้าปลีก เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม เพื่อนำมารีโนเวทและจำหน่ายต่อในตลาด เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการช่วยระบายทรัพย์ NPA ของ BAM อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความร่วมมือในรูปแบบอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

“เราเชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์และความเข้าใจในตลาดสินทรัพย์รอการขาย ร่วมกับ BAM และองค์กรชั้นนำทั้งในภาคการเงินและอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ จะช่วยให้ SWAM สามารถต่อยอดแนวทางการบริหารทรัพย์สินของบริษัทได้อีกมาก ทั้งในด้านการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือครองทรัพย์ รวมถึงเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในอนาคต” นางตุลณยา กล่าว

ทั้งนี้ ความร่วมมือนี้ดังกล่าวยังเป็นการสร้างโอกาสในการตอบโจทย์ Real  Demand ในตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพดีในราคาที่เอื้อมถึง โดยเฉพาะทรัพย์สิน NPA และ NPL ที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มหลังการรีโนเวท ด้วยองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม การควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง และประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้สามารถแปลงทรัพย์สินที่ด้อยมูลค่าให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดจริง เป็นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ผ่านการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยการนำทรัพย์สินที่ถูกทิ้งร้างกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และการลดความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส ทั้งยังมีส่วนช่วยลดการใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมออกบูทในงานมหกรรมจำหน่ายรถยนต์ครบวงจร FAST Auto Show Thailand 2025   ระหว่างวันที่ 2 – 6 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ฮอลล์ EH 102 - 103  ในงานนี้ บริษัทฯ ได้จัดเต็มโปรโมชันสุดพิเศษ โดยมอบส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยสูงสุด 23% สำหรับผู้ที่ซื้อกรมธรรม์ใหม่ภายในงาน

โดยมีทีมงานรับประกันภัยพร้อมบริการให้คำปรึกษา และคำแนะนำเกี่ยวกับแผนประกันภัยที่เหมาะสมกับความคุ้มครองที่หลากหลาย โดยนอกจากประกันภัยรถยนต์แล้วยังมีประกันอัคคีภัย ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยการเดินทาง ประกันภัยสุขภาพ ประกันภัยโรคมะเร็ง และประกันภัยอื่นๆ ที่ให้ความคุ้มครองรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า นอกจากนี้ ยังสามารถผ่อนชำระเบี้ยประกันภัย ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน หรือ 10 เดือนผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ พร้อมรับของที่ระลึกที่เตรียมไว้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ

พบกับกรุงเทพประกันภัยได้ที่บูท B11 ณ ศูนย์ประชุมนิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา ฮอลล์ EH 102 - 103 ในวันที่ 2 - 6 กรกฎาคม 2568

บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี โดย นายอัศวิน - นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และรองประธานกรรมการบริหาร ร่วมกับ บลูพอร์ต หัวหิน เปิดตัว Big C Hua Hin Marché” (บิ๊กซี หัวหิน มาร์เช่) ซูเปอร์มาร์เก็ตพรีเมียมโฉมใหม่อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด “พรีเมียมที่เข้าถึงได้” มุ่งยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งและการรับประทานอาหารในเมืองท่องเที่ยวระดับแนวหน้าของประเทศไทย โดยพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมแสดงความยินดีอย่างอบอุ่น ณ ชั้น G บลูพอร์ต หัวหิน

 

Big C Hua Hin Marché ได้รับการออกแบบเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติ รวมถึงคนในพื้นที่ โดยเน้นการให้บริการที่ครบครัน สะดวกสบาย และคุณภาพระดับสูงในราคาที่จับต้องได้ พร้อมนำเสนอบรรยากาศที่ทันสมัย ภายในศูนย์การค้าที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของหัวหิน โดดเด่นด้วยกลุ่มสินค้าสดคุณภาพดี และสินค้านำเข้าหลากหลายประเภทจาก อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป สแกนดิเนเวีย และออสเตรเลีย รวมถึงโซนสินค้าท้องถิ่นที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานและการเลือกซื้อเป็นของฝาก

ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ไม่เพียงจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารสดคุณภาพเท่านั้น แต่ยังจัดสรรพื้นที่บริการเฉพาะทางอย่างลงตัว เพื่อมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้แก่ลูกค้าในทุกวัน ได้แก่

  • โซนอาหารนานาชาติปรุงสด: เสิร์ฟเมนูคุณภาพจากวัตถุดิบพรีเมียม ปรุงโดยเชฟผู้เชี่ยวชาญ
    ด้วยรสชาติที่ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว
  • Delica (เดลิกา): โซนอาหารเช้าและอาหารพร้อมรับประทาน สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย รวดเร็ว และอร่อยในราคาที่คุ้มค่า
  • Grill Bar (กริลล์บาร์): โซนอาหารทะเลและเมนูปิ้งย่างคุณภาพสูง อาทิ กุ้งแม่น้ำย่าง สเต๊กเนื้อออสเตรเลีย และปลากะพงทอดน้ำปลา
  • Wine Cellar (ไวน์เซลลาร์): แหล่งรวบรวมไวน์ชั้นดีจากหลากหลายประเทศ พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการจับคู่ไวน์กับอาหาร
  • WAWEE Coffee Shop (ร้านวาวี คอฟฟี่): คาเฟ่สไตล์พรีเมียมพร้อมเบเกอรี่คัดสรร โดยมี
    Champion Barista ประจำบาร์ นำเสนอเมนู Signature พิเศษที่มีเฉพาะที่ บิ๊กซี หัวหิน มาร์เช่ เท่านั้น

 

สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบิ๊กพอยต์

ในโอกาสแกรนด์โอเพนนิ่ง บิ๊กซีมอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบิ๊กพอยต์ เมื่อซื้อสินค้าครบ 599 บาท รับสิทธิ์แลกซื้อไข่ไก่ “We are Fresh No.1” แพ็ก 10 ฟอง ในราคาเพียง 9 บาท พร้อมรับคะแนนสะสมเพิ่มอีก 100 คะแนน นอกจากนี้ยังมีสินค้าราคาสุดพิเศษในหมวดอาหารสด อุปโภคบริโภค และเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ หม้อหุงข้าว Tefal Digital ราคาพิเศษเพียง 790 บาท โดยโปรโมชันนี้จัด ตั้งแต่วันนี้ – 2 กรกฎาคม 2568 เท่านั้น

 

Big C Hua Hin Marché ไม่ได้เป็นเพียงซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่สำหรับผู้ที่มองหาประสบการณ์ด้านอาหารและการช้อปปิ้งในบรรยากาศระดับพรีเมียม ที่ผสานคุณภาพและความคุ้มค่าได้อย่างลงตัว โดยเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ณ ชั้น G บลูพอร์ต หัวหิน เปิดทุกวัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ เวลา 08.00 – 21.00 น. โดยเริ่มเปิดให้บริการวันแรกเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Facebook: Big C Foodplace

จับมือเซียนธุรกิจปลุกกระแส ผปก.ยุคใหม่ สู้วิกฤต ชี้ชัด! ‘รสชาติ-ขายใคร’ คือ กุญแจความสำเร็จ

ฟันโอเค้ก (Fun-O Cake) ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ล่าสุดกลับมาบุกตลาดเค้กอีกครั้ง เปิดเกมรุกบุกตลาดแนวใหม่ เสิร์ฟ "ฟันโอ โดรายากิ" ส่งต่อความอร่อยสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ กับเค้กเนื้อนุ่มสอดไส้ครีมหวานหอมเข้มข้น มาพร้อม 2 รสชาติ รสคัสตาร์ดและรสถั่วแดง พร้อมดีไซน์บรรจุภัณฑ์กับคาแรคเตอร์การ์ตูนสุดคิวท์ ที่จะมอบประสบการณ์การทานที่อร่อยและสนุกในทุกคำ

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย ลาว และ กัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “สืบเนื่องจากตลาดปัจจุบันคนไทยหันไปนิยมเทรนด์ขนมญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เราจึงเห็นโอกาสในการขยายตลาดขนมในวงกว้างขึ้น ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง 'ฟันโอ โดรายากิ' ปรับปรุงจากขนมสไตล์ญี่ปุ่นให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคคนไทยทั้งในทางด้านรสชาติและคุณภาพสินค้า เป็นอาหารว่างระหว่างวัน ช่วยเติมพลังและความสนุกในทุกเวลา พร้อมบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่นและสนุกไม่เหมือนใครเพื่อสร้างการรับรู้ และความจดจำในใจผู้บริโภคได้อย่างแข็งแกร่ง”

"ฟันโอ โดรายากิ" นำเสนอเนื้อแป้งเค้กเนียนนุ่มละมุนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มี 2 รสชาติ รสคัสตาร์ด ที่มีไส้ครีมคัสตาร์ดหอมหวานเข้มข้น และรสถั่วแดง ที่ให้ความหอมกรุ่นของถั่วแดงแบบเน้นๆ ทั้งสองรสชาติถูกคัดสรรด้วยความพิถีพิถันเพื่อให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลองรสชาติสไตล์ญี่ปุ่นอย่างแท้จริง และอีกหนึ่งไฮไลท์เด็ดคือการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีน้อง "ฟันโอ โดรายากิ คาแรกเตอร์" สุดน่ารักบนกล่องและซองของสินค้าทุกขนาด พร้อม Emoji Gimmick สนุกๆ คละแบบหลายคาแรคเตอร์ในแต่ละซองที่ผู้บริโภคสามารถสนุกกับทุกซอง แชร์ได้ทุกฟีลลิ่ง ไม่ว่าจะเป็น Happy, Amazing, Fighting, และอื่นๆรวม 10 ฟีลลิ่ง 10 แบบ

"ฟันโอ โดรายากิ" วางจำหน่ายแล้ว ตามร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ ในราคาที่เข้าถึงได้ อาทิ เซเว่น อีเลฟเว่น, บิ๊กซี, โลตัส, ซีเจ และ ร้านค้าทั่วไป

ติดตามกิจกรรมข่าวสารและความเคลื่อนไหวของแบรนด์ฟันโอได้ทาง Facebook Fanpage: www.facebook.com/FunOFanClub และ Line Official Account: Fun-O หรือ https://page.line.me/fun-o 

เอปสัน ประเทศไทย แสดงวิสัยทัศน์ผู้นำตลาด ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ครอบคลุมทั้งเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทในกลุ่ม EcoTank และ WorkForce รวม 7 รุ่น พร้อมด้วยโปรเจคเตอร์เพื่อธุรกิจในซีรีส์ EB และโปรเจคเตอร์เลเซอร์อีก 15 รุ่น ภายใต้กลยุทธ์มุ่งนำเสนอนวัตกรรมที่ทรงประสิทธิภาพ คุ้มค่าในการลงทุน ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการขยายสู่ตลาดที่มีมูลค่าสูงและศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ทั้งในภาคธุรกิจ การศึกษา และองค์กรยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัวสินค้าใหม่ในวันนี้ช่วยตอกย้ำความสำเร็จของเอปสันในฐานะแบรนด์อันดับ 1 ของโลก ทั้งในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ที่ครองแชมป์ยอดขายต่อเนื่อง 15 ปี มียอดขายรวมทั่วโลกทะลุ 100 ล้านเครื่อง และโปรเจคเตอร์ที่ขายดีที่สุดตั้งแต่ปี 2544 ถึง 2567 สำหรับประเทศไทย เอปสันยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ด้วยส่วนแบ่งสูงสุด 47% และโปรเจคเตอร์ที่ 51% สะท้อนความเชื่อมั่นจากทั้งผู้ใช้งานทั่วไปและภาคธุรกิจ และเพื่อรักษาความเป็นผู้นำเอปสันจึงเดินหน้าด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ ขยายตลาดเครื่องพิมพ์ Epson EcoTank กลุ่ม Mid-High เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่มากยิ่งขึ้น กระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนจากการใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์ มาใช้เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า ผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ Epson WorkForce และเสริมความแข็งแกร่งในตลาดโปรเจคเตอร์ธุรกิจ โดยเน้นกลุ่มความสว่างสูงที่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่หรือห้องที่มีแสงจ้า

สำหรับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่เอปสันเปิดตัววันนี้มีทั้งหมด 7 รุ่น ประกอบด้วยเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ Epson EcoTank Series จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ L4360, L6370 และ L6390 และอีก 3 รุ่นจาก Epson WorkForce Pro Series ได้แก่ EM-C800, EM-C8100 และ EM-C8101 รวมกับ AM-M5500 จากกลุ่ม Epson WorkForce Enterprise Series

นายยรรยง กล่าวว่า “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดเครื่องพิมพ์เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์เติบโตต่อเนื่องจนมีส่วนแบ่งถึง 57% ของตลาดรวม และสูงถึง 80% ในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองหาโซลูชันที่ประหยัด คุ้มค่า ใช้งานง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น และจากผลวิจัยตลาดยังพบว่าเอสเอ็มอีมากกว่า 72% ให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุน ทำให้ Epson EcoTank กลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์นี้ได้อย่างลงตัว ปีนี้ เอปสันมุ่งเจาะตลาดเครื่องพิมพ์ระดับ Mid-High ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% ในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยกลุ่มนี้กำลังเข้ามาแทนที่เครื่องพิมพ์เลเซอร์ ด้วยฟังก์ชันที่ครบ สีสวย และต้นทุนการใช้งานที่ต่ำ เครื่องพิมพ์กลุ่ม Mid-High ยังสร้างรายได้ให้เอปสันมากกว่ากลุ่ม Entry ถึง 2 เท่า เพราะกลุ่มลูกค้าหลักอย่างเอสเอ็มอีมีปริมาณการพิมพ์สูง และต้องเปลี่ยนชุดหมึกบ่อยกว่าผู้ใช้ทั่วไป เอปสันได้ตั้งเป้ายอดขายเครื่องพิมพ์กลุ่มนี้ในปีนี้ไว้ราว 35% ของตลาด พร้อมกับเปิดตัวรุ่นใหม่ ได้แก่ L4360, L6370 และ L6390 ที่โดดเด่นทั้งด้านความเร็ว ขนาดกะทัดรัด ความทนทาน และต้นทุนการใช้งานต่ำ ช่วยประหยัดทั้งค่าไฟและค่าบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

เอปสันเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุนด้วยการรับประกันความทนทานของเครื่องที่เหนือกว่า โดยรับประกันสูงสุดถึง 50,000 แผ่นสำหรับรุ่น L4360 และ 100,000 แผ่นสำหรับรุ่น L6370 และ L6390 ซึ่งนับเป็นการรับประกันตามจำนวนการพิมพ์ที่ยาวนานที่สุดในตลาดขณะนี้

นายยรรยง กล่าวว่า “68% ของสำนักงานทั่วภูมิภาคอาเซียนยังเลือกใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่มีความเร็ว 21-30 ipm เอปสันจึงได้พัฒนา EM-C800 ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนี้ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันกระแสด้านความยั่งยืนก็กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานเครื่องพิมพ์ในกลุ่มบริษัทธุรกิจทั่วภูมิภาคนี้เช่นกัน แต่ยังมีผู้บริหารองค์กร 34% ที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์สามารถนำเสนอคุณค่าด้านความยั่งยืนได้ดีกว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท เอปสันจึงเปิดตัว EM-C8100 และ EM-C8101 ที่เน้นจับกลุ่มสำนักงานที่มองหาเครื่องพิมพ์ที่สามารถตอบโจทย์ในหลายมิติ ทั้งรองรับงานปริมาณมากในทุกวัน ทนทาน ประสิทธิภาพสูง ให้งานพิมพ์คุณภาพดีเยี่ยม ทั้งยังต้องไม่สร้างมลพิษต่อสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมอีกด้วย”

EM-C800 เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันสี่สีขนาดกะทัดรัด ขนาด A4 ใช้ชุดหมึกความจุสูงที่สามารถพิมพ์ขาวดำได้ 50,000 หน้า และพิมพ์สีได้ 20,000 หน้า ใช้เทคโนโลยี Dual CIS สแกนเอกสารได้ทั้งสองด้านพร้อมกันในครั้งเดียว ทั้งยังมี Authentication Device Table อุปกรณ์เสริมสำหรับยืนยันตัวผู้ใช้ก่อนสั่งพิมพ์ที่ใช้งานง่ายและสะดวก ช่วยเพิ่มความปลอดภัย โดยไม่รบกวนความรื่นไหลในการทำงาน สำหรับ EM-C8100 และ EM-C8101 ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันสี่สี ขนาด A3 สามารถรองรับการทำงานปริมาณงานสูง ด้วยชุดหมึกความจุสูงที่พิมพ์ขาวดำ 86,000 หน้า และพิมพ์สีได้ 50,000 หน้า ช่วยลดความถี่ในการเปลี่ยนหมึกและเพิ่มความต่อเนื่องในการทำงาน

ทั้ง EM-C800, EM-C8100 และ EM-C8101 ได้รับการออกแบบให้รองรับการทำงานยุคใหม่ ทั้งแบบไฮบริดและการเชื่อมต่อผ่านระบบดิจิทัล ด้วย Epson Solutions Suite ที่รวมเครื่องมือและซอฟต์แวร์ช่วยจัดการงานพิมพ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็น Epson Connect, Epson Smart Panel หรือ Mopria Print Service ที่รองรับการพิมพ์ผ่านคลาวด์และเครือข่าย พร้อมด้วย Epson Print Admin ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยการยืนยันตัวตนและพิมพ์ด้วยรหัส PIN และ Epson Remote Services ที่ช่วยผู้ดูแลระบบตรวจสอบและจัดการเครื่องพิมพ์จากระยะไกลได้อย่างสะดวก รองรับการขยายการใช้งานในองค์กรได้อย่างยืดหยุ่นและไร้รอยต่อ

AM-M5500 คือเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันขาวดำ ขนาด A3 รองรับการพิมพ์เอกสารขาวดำปริมาณมากอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังมีฟังก์ชัน Optical Character Recognition (OCR) ซอฟต์แวร์ช่วยแปลงภาพเอกสารที่สแกนเป็นข้อความที่สามารถแก้ไขและค้นหาได้ เหมาะกับสำนักงานที่มีพื้นที่จำกัด ด้วยดีไซน์ใหม่ที่โค้งมนดูทันสมัย และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย Finisher อุปกรณ์เสริมสำหรับทำรูปเล่ม

เครื่องพิมพ์ทั้ง 7 รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สำนักงานยุคใหม่ที่มุ่งสู่การเป็น Green Office หรือสำนักงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยี Heat-Free ที่ไม่ต้องใช้ความร้อนในกระบวนการพิมพ์ จึงลดการใช้พลังงานได้ถึง 85% เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ทำให้ประหยัดค่าไฟ ลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการใช้อะไหล่และวัสดุสิ้นเปลืองได้ถึง 59% จึงช่วยลดทั้งของเสียและค่าบำรุงรักษาในระยะยาว ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 30% และบรรจุภัณฑ์ใช้กระดาษรีไซเคิล 80% สนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเฉพาะรุ่น AM-M5500 ยังมีฟีเจอร์เพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบตรวจสอบการใช้พลังงาน และไฟสัญลักษณ์ใบไม้สีเขียวที่แสดงเมื่อพิมพ์หรือถ่ายเอกสารสองหน้า เพื่อส่งเสริมการประหยัดกระดาษ นอกจากนี้ เครื่องพิมพ์ทุกรุ่นยังใช้ชุดหมึกความจุสูง ลดความถี่ในการเปลี่ยนหมึก ช่วยลด Digital Footprint ขององค์กรได้อย่างเห็นผลชัดเจน

ในวันนี้ เอปสันยังได้เปิดตัวโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่พร้อมกันถึง 15 รุ่น โดยแบ่งเป็นโปรเจคเตอร์รุ่น Smart หรือกลุ่มระดับเริ่มต้นถึงระดับกลางทั้งหมด 7 รุ่น ได้แก่ EB-E12, EB-E24, EB-X52, EB-W53, EB-W55, EB-FH54 และ EB-W56S และโปรเจคเตอร์เลเซอร์ 8 รุ่น ประกอบด้วย EB-L890E, EB-L690E, EB-L890U, EB-L790U, EB-L690U, EB-L790SE, EB-L690SE และ EB-L690SU

สำหรับโปรเจคเตอร์ Smart Series ทั้ง 7 รุ่นนี้สามารถฉายภาพได้ใหญ่ถึง 300 นิ้ว ด้วยความสว่างสูงสุด 4,100 ลูเมน ให้ภาพคมชัด สีสันสดใส มองเห็นชัดเจนแม้ในห้องที่มีแสงมาก ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ติดตั้งและเคลื่อนย้ายสะดวก เหมาะกับห้องเรียน ห้องประชุม สำนักงาน ร้านค้า หรือพื้นที่จัดกิจกรรมที่ต้องการจอขนาดใหญ่ แต่ไม่สามารถใช้ทีวีจอแบนที่มีขนาดที่จำกัดและต้นทุนสูงเมื่อต้องการภาพที่เกิน 100 นิ้ว ที่สำคัญ โปรเจคเตอร์ทั้ง 7 รุ่นยังทนทาน ใช้งานได้นาน ด้วยหลอดภาพที่มีอายุการใช้งานสูงสุดถึง 12,000 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน (Eco Mode) ลดทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและเวลาหยุดใช้งานจากการเปลี่ยนหลอดใหม่

โปรเจคเตอร์ซีรีส์ใหม่นี้ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เพียงเชื่อมต่อก็สามารถใช้งานได้ทันทีแบบ Plug-and-Play และบางรุ่นยังรองรับการนำเสนอแบบไร้สายผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ด้วยฟีเจอร์ iProjection ช่วยให้ใช้งานสะดวกโดยไม่ต้องต่อสายให้ยุ่งยาก เหมาะสำหรับองค์กรที่มีนโยบายให้พนักงานนำสมาร์ทดีไวซ์ส่วนบุคคลมาใช้ทำงานภายในองค์กรได้ หรือ BYOD (Bring Your Own Device) ลดความยุ่งยากจากการใช้สายเชื่อมต่อแบบเดิม ทุกรุ่นยังมีฟังก์ชันเปิดเครื่องอัตโนมัติ (Auto Power-On) ช่วยให้ติดตั้งและเริ่มใช้งานโปรเจคเตอร์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ฟังก์ชัน Keystone Correction ช่วยปรับภาพให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงกับจอฉายภาพได้โดยอัตโนมัติ และฟังก์ชัน Screen Fit ที่ช่วยจัดขนาดและตำแหน่งภาพได้อย่างแม่นยำโดยอัตโนมัติ

ในส่วนโปรเจคเตอร์เลเซอร์เพื่อธุรกิจรุ่นใหม่ทั้ง 8 รุ่นที่เปิดตัวใหม่วันนี้มาพร้อมระดับความละเอียดสูงสุดด้วย 4K Enhancement มีความสว่างตั้งแต่ 6,000 ถึง 8,000 ลูเมน รองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบใช้สายผ่านพอร์ตภาพต่างๆ และแบบไร้สายผ่าน Miracast และแอพพลิเคชัน Epson iProjection ที่ช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อ Chromebook หรือสมาร์ทดีไวซ์ได้อย่างอิสระ พร้อมฟังก์ชันแชร์ จัดการ และใส่คำอธิบายประกอบบนเนื้อหาได้ง่ายๆ

โปรเจคเตอร์ทั้งหมดได้รับการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด ติดตั้งง่าย ด้วย Geometric Correction สำหรับปรับภาพให้ตรงแม้ติดตั้งในมุมที่ไม่สมบูรณ์ เหมาะกับการประชุม การเรียนการสอน หรือเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะรุ่น EB-L690SE ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Golf Simulator ด้วยค่า throw ratio เพียง 0.5 สามารถฉายภาพขนาดใหญ่ คมชัด สว่างได้จากระยะใกล้ เหมาะกับพื้นที่จำกัด และให้ประสบการณ์เสมือนอยู่ในสนามกอล์ฟจริง

“เอปสันเดินนำหน้าตลาดอยู่เสมอ เพราะเราไม่เคยหยุดเรียนรู้และติดตามเทรนด์ตลาดอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านพฤติกรรม ความนิยม และความคาดหวังของลูกค้าองค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรม เราจึงสามารถพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างตรงจุดเพื่อธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ หรือสถาบันการศึกษา  จนทำให้เอปสันสามารถรักษาตำแหน่งแบรนด์เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทและโปรเจคเตอร์อันดับหนึ่งทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ เราไม่ได้มุ่งเพียงตอบโจทย์ในวันนี้เท่านั้น แต่ยังเดินหน้าอย่างมั่นคงเพื่อยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีขององค์กรในอนาคต โดยเฉพาะด้านโซลูชันเพื่อสำนักงานยุคใหม่ที่ยืดหยุ่น ประหยัดพลังงาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม” นายยรรยง กล่าวสรุป

เปิดศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพเพื่อชีวิตที่ยืนยาวแบบบูรณาการเอกสิทธิ์เฉพาะของลอรีอัล

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย มุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยการสนับสนุนด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ได้ร่วมกับพนักงานระดมทุนช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้และโลกดิจิทัลเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น โดยจากความร่วมแรงรวมใจครั้งนี้ ระดมทุนได้ 2,322,342 บาท ซึ่งจะนำไปสนับสนุนโครงการด้านการศึกษา 3 โครงการ ที่เน้นด้านการพัฒนาการรู้หนังสือ การพัฒนาครูสร้างชุมชน และการจัดการเรียนการสอนผ่านสื่อดิจิทัล

เงินทุนดังกล่าวจะนำไปสนับสนุน 3 โครงการ ได้แก่

  • โครงการส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียนภาษาไทย โดยสภากาชาดไทย ซึ่งนำไปพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทยให้ดียิ่งขึ้น
  • โครงการครูสร้างชุมชน โดยมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาพัฒนาเด็กรุ่นใหม่ที่มีใจรักความเป็นครูและกลับไปเพิ่มโอกาสให้นักเรียนในชุมชนของตัวเอง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ห่างไกล
  • โครงการห้องเรียนรู้ดิจิทัล UOB My Digital Space ดำเนินงานโดยโครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนได้เข้าถึงสื่อการเรียนรู้ดิจิทัล เสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษอังกฤษ และวิชาทักษะชีวิตอื่นๆ ที่จำเป็นในอนาคต

นายริชาร์ด มาโลนี่ย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “การศึกษาเป็นหนึ่งเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยยกระดับและสร้างอนาคตที่ดีขึ้นได้ เราเชื่อว่าการสนับสนุนของเราจะช่วยลดช่องว่างทางการศึกษา และช่วยให้เยาวชนได้ตามความฝันของตัวเองได้ พวกเราภูมิใจที่ได้ร่วมแรงร่วมใจสนับสนุนสังคมในครั้งนี้ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต่อชีวิตของเด็กไทยต่อไป”

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยูโอบี ฮาร์ทบีท  (UOB Heartbeat) โครงการความรับผิดชอบต่อสังคมของธนาคารยูโอบี ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนด้านศิลปะ เด็ก และการศึกษา เพื่อสร้างอนาคตให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารยูโอบีในการสนับสนุนนักเรียนที่ขาดโอกาส 20,000 คนทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สามารถเข้าถึงเครื่องมือและทักษะการเรียนรู้ดิจิทัลภายในปีนี้ อันเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองครบรอบ 90 ปีของธนาคารยูโอบี ที่มุ่งสนับสนุนเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สำหรับโครงการด้านการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กที่ขาดโอกาสกว่า 120,000 คนทั่วภูมิภาค

กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% เพื่อรักษาพื้นที่ทางนโยบายการเงิน (monetary policy space) สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะที่เหมาะสมและก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในระยะข้างหน้า พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าที่ประเมินในครึ่งปีแรก โดยมองเศรษฐกิจหลังจากนี้ชะลอลง จากปัจจัยเสี่ยงทั้งภายนอกและภายในประเทศ

ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 เป็นต้นไป จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง โดยการส่งออกคาดว่าจะหดตัวลึกในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากมีการเร่งส่งออกสูงในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับแรงขับเคลื่อนหลักทั้งภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแรงลงต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี มองว่าการปรับลดดอกเบี้ยไม่ใช่เครื่องมือหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แค่ช่วยประคองเศรษฐกิจไทยได้บางส่วน

 

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล นำระบบปฏิบัติการและฐานข้อมูลจัดเก็บผ่านคลาวด์เต็มรูปแบบ มุ่งสร้างความคล่องตัวและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เอื้อประโยชน์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้เร็วและดีขึ้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์และการดูแลที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

นางสาวเปสลารี ธีระสาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานเทคโนโลยีและปฏิบัติการ และสายงานสุขภาพ บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดเผยว่า เราให้ความสำคัญและดำเนินธุรกิจตามเจตนารมณ์ For Every Life, For Every Future: ชีวิตมีกันทุกวันดีกว่า ด้วยความมุ่งมั่นในการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด ผ่านการบริการที่สะดวกรวดเร็วและเกินความคาดหวัง เห็นได้จากการที่เรามุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ และยกระดับมาตรฐานการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีความคล่องตัว รองรับการขยายระบบการดำเนินงานและการขยายฐานข้อมูล รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลข้อมูล สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อ พรูเด็นเชียล ประเทศไทยจึงได้ย้ายระบบงานที่สนับสนุนการปฏิบัติการของบริษัทฯ ทั้งหมด อาทิ แอปพลิเคชันสำหรับการนำเสนอขาย ระบบสำหรับลูกค้าในการใช้บริการของบริษัท ระบบให้บริการข้อมูลทางโทรศัพท์ รวมทั้งระบบสนับสนุนการทำงานของพนักงาน นำไปจัดเก็บไว้บนระบบคลาวด์ (Cloud) ซึ่งการปรับเปลี่ยนระบบกลางในการควบคุมการดำเนินงานในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัลของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อรองรับการขยายธุรกิจและการบริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง การย้ายระบบงานต่างๆไปยังคลาวด์ เชื่อว่าจะทำให้พรูเด็นเชียล ประเทศไทย มีความคล่องตัวในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากขึ้น โดยนำระบบคลาวด์มาใช้สำหรับการจัดเก็บข้อมูล การบริหารจัดการแอปพลิเคชันของบริษัทฯ การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล ไม่เพียงเท่านั้นการใช้ระบบคลาวด์จะช่วยให้บริษัทฯ ลดปัญหาด้านการจัดการ สามารถปรับปรุงกระบวนการหรือปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ รวมถึงสร้างความพร้อมในการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Big Data, Machine Learning หรือ AI มาใช้เพื่อพัฒนาองค์กรและธุรกิจในอนาคต

ที่สำคัญการใช้ระบบคลาวด์นั้นจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น  ลดปัญหาการบริการที่อาจต้องหยุดชะงัก ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าข้อมูลของตนเองจะได้รับการปกป้องอย่างดี ซึ่งพรูเด็นเชียล ประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า

“นับเป็นความสำเร็จและเป็นอีกก้าวย่างที่สำคัญของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่สามารถนำระบบคลาวด์มาใช้ (Cloud Adoption) ได้อย่างสมบูรณ์ 100% ความสำเร็จนี้จะทำให้เราเป็นองค์กรที่คล่องตัว ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายในอนาคต และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีจะทำให้เราสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น และพัฒนาได้ตามความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด นั่นหมายความว่าเราสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานเทคโนโลยีและปฏิบัติการ และสายงานสุขภาพ กล่าว

X

Right Click

No right click