

ไม่มีใครวางแผนที่จะเป็นหนี้ และไม่มีใครที่อยากจะเริ่มต้นใหม่ตอนอายุเกือบ 50 แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้เรามีเวลาตั้งตัวเสมอไป สำหรับบางคน วันที่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน และไม่มีใครให้พึ่งพิง คือวันที่พวกเขาต้องเลือกว่าจะ “ยอมแพ้” หรือ “ลุกขึ้น” แต่สำหรับ พี่ฮาท และ พี่อ้อ พวกเขาเลือกที่จะลุกขึ้น แม้ไม่มีอะไรอยู่ในมือเลยก็ตาม นอกจากความตั้งใจและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น

เริ่มจากศูนย์ สู่เทพแห่งเดลิเวอรี
พงษ์ศักดิ์ คันธโชติ หรือ “พี่ฮาท” คนขับ GrabFood วัย 50 ปี จากโคราช ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เขาคือหัวหน้าครอบครัวที่เคยต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่หนักหนาในชีวิต โดยก่อนหน้านี้ พี่ฮาทเคยทำงานในต่างประเทศ ทั้งลาวและเกาหลีใต้ มีรายได้ประมาณ 45,000 ต่อเดือน ซึ่งเพียงพอสำหรับการเลี้ยงดูครอบครัวได้ไม่ลำบาก แต่เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 รายได้ที่เคยมีกลับหยุดชะงัก ในช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงินมากที่สุดในชีวิต กับการส่งลูกสาวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงไม่ใช่น้อย
“ตอนนั้นผมเครียดมากเลยครับ รายได้หายไปหมด ไม่มีเงินเข้ามาเลย ในขณะที่รายจ่ายยังรออยู่เต็มไปหมด ตอนนั้นคิดแค่ว่า จะทำอะไรก็ได้ให้มีรายได้เข้ามาก่อน” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจเริ่มขับแกร็บตามคำแนะนำจากคนใกล้ตัว
“ผมเริ่มขับแกร็บครั้งแรกในวันครอบครัว (14 เมษายน) ยังจำออเดอร์แรกได้ไม่เคยลืม ต้มเลือดหมูเจ๊บ๊วย แถวสี่แยกคลองเตย ซึ่งจากตอนแรกคิดแค่ว่าจะลองขับเล่นๆ แต่สุดท้ายการขับแกร็บกลับกลายเป็นอาชีพหลักในการหารายได้ที่สามารถช่วยให้เราหาเลี้ยงครอบครัวได้จริง” พี่ฮาทกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พอเริ่มขับแกร็บ รายได้ก็เริ่มเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ แม้จะยังไม่มากในช่วงแรก แต่ก็พอให้พี่ฮาทตั้งหลักได้ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของลูกก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่เลี่ยงไม่ได้ พี่ฮาทจึงได้ลองมองหาทางกู้เงินมาเสริม แต่ก็เจอแต่ปัญหาเดิมๆ อย่าง ไม่มีเอกสารยืนยันรายได้ ไม่มีสลิปเงินเดือนตามที่ธนาคารต้องการ จะหันหน้าไปพึ่งพาญาติและคนรู้จักก็รู้สึกลำบากใจ จนสุดท้ายเขาได้รู้จักกับ “Grabการเงิน” ที่ให้คนขับอย่างเขามีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นเนื่องจากมีข้อมูลการให้บริการอยู่แล้วในระบบ
“ไม่ถึง 5 นาที เงินก็เข้าเลยครับ ไม่ต้องมีเอกสารอะไรเพิ่ม เพราะแกร็บมีประวัติของเราครบถ้วนอยู่แล้ว” เขาได้รับสินเชื่อเงินสดกว่า 40,000 บาท ซึ่งกลายมาเป็นทุนหมุนเวียนใช้ในการทำงาน จ่ายค่าเทอมลูก ค่าครองชีพรายเดือน และเป็นทุนสำรองยามฉุกเฉิน

พี่ฮาทไม่เคยปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เขารับงานอย่างสม่ำเสมอ วิ่งงานเต็มที่ทุกวัน และตั้งใจให้บริการให้ดีที่สุด จนสามารถไต่ระดับเป็น “เทพแกร็บไบค์” (คนขับแกร็บที่ทำรอบขับในระดับสูงสุด) ซึ่งทำให้เขาได้สิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น ทั้งส่วนลดอัตราดอกเบี้ยจาก Grabการเงิน ประกันรถมอเตอร์ไซค์ และประกันอุบัติเหตุ รวมไปสวัสดิการอื่นๆ อีกมากมาย ที่มาคอยช่วยสนับสนุนคนขับ

"ขอแค่เรามีวินัย ขยัน และวิ่งงานให้สม่ำเสมอ อยู่ให้ถูกจุด ถูกที่ ถูกเวลา ออเดอร์ก็จะเยอะขึ้น และเป้าหมายก็จะชัดเจนขึ้นเอง” พี่ฮาทเล่าอย่างภาคภูมิใจพร้อมทิ้งท้ายว่า
“ตอนนี้ลูกผมเรียนจบหมอแล้วครับ สำหรับคนเป็นพ่อ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว”

ขับลุยทุกเส้นทาง เพื่อให้บ้านมีรอยยิ้ม
อีกหนึ่งเรื่องราวจาก ชุติกาญจน์ เผ่าผาง หรือ “พี่อ้อ” วัย 45 ปี คุณแม่ลูกหนึ่งจากกรุงเทพฯ ที่ลุกขึ้นมาสู้เพื่อครอบครัวในวันที่ชีวิตเริ่มติดขัด ภาระค่าใช้จ่ายในบ้านสูงขึ้น งานประจำไม่มั่นคง และหนี้นอกระบบเริ่มก่อตัว สิ่งเดียวที่เธอเชื่อในตอนนั้น คือ เธอต้องลุกขึ้นมา “เปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเอง”
ก่อนหน้านี้ พี่อ้อเคยทำงานเป็นพนักงานบัญชีในร้านทองมานานกว่า 10 ปี แต่เมื่อกิจการเริ่มขาดทุน ร้านจำเป็นต้องปลดพนักงานเกือบทั้งหมด เธอจึงผันตัวมารับงานบัญชีแบบฟรีแลนซ์ ซึ่งพอเลี้ยงตัวเองได้ แต่ยังไม่พอสำหรับบ้านที่มีทั้งคุณแม่ พี่ชาย และลูกชายคนเดียวของเธอ
“รายได้ประจำไม่พอแน่ค่ะ ทั้งค่าเทอมลูก ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าว บางเดือนถึงกับต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบมาใช้จ่าย” พี่อ้อกล่าว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเริ่มขับแกร็บเป็นอาชีพเสริมในช่วงปลายปี 2566 เพราะไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เชื่อถือได้ และสามารถจัดสรรเวลาทำงานเองได้หมด รายได้จากการวิ่งงานช่วยให้พี่อ้อสามารถประคองสถานการณ์ด้านการเงินในแต่ละเดือนได้มากขึ้น
แต่พอถึงช่วงเปิดเทอม พี่อ้อรู้ทันทีว่ารายได้ตอนนี้อาจไม่พอรับมือกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่กำลังมาถึง อีกทั้งยังมีหนี้นอกระบบราว 50,000 บาท ที่ยังต้องจ่ายค่อยดอกเบี้ยอีก พี่อ้อเลยตัดสินใจขอสินเชื่อกับ Grabการเงิน “เรามั่นใจว่าเราผ่อนได้แน่ๆ เพราะเราขับแกร็บอยู่แล้ว และเนื่องจากมีระบบแบบหักรายวัน เราจึงเชื่อว่าเราใช้หนี้หมดได้แน่นอน”

การขับแกร็บควบคู่กับงานบัญชี ช่วยให้พี่อ้อสามารถปลดหนี้นอกระบบได้หมดภายใน 3-4 เดือน ความคล่องตัวทางการเงินก็กลับคืนมา โดยมีรายได้จากแกร็บเป็นแรงหนุนหลักที่ช่วยให้บ้านหลังนี้ผ่านช่วงเวลาที่ยากๆ มาได้
พี่อ้อแบ่งเวลาจากงานบัญชีฟรีแลนซ์มาขับแกร็บทุกวัน โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปจนถึงราวบ่ายโมงของทุกวัน จากนั้นจึงกลับไปทำงานบัญชีต่อในช่วงบ่ายถึงค่ำ ด้วยวินัยและการวางแผนที่ชัดเจน ทำให้พี่อ้อสามารถจัดการทั้งเรื่องรายได้และเวลาได้อย่างลงตัว รวมไปถึงการไต่ระดับผู้ขับขี่เป็น “เซียนแกร็บคาร์” (คนขับแกร็บที่ทำรอบขับในระดับสูง) ได้สำเร็จ
พี่อ้อยังได้พูดถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับจากการเป็นเซียนแกร็บคาร์ ที่รวมทั้งบัตรเติมน้ำมันฟรี หรือการผ่อนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ “การขับแกร็บช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้เสริมและมีสิทธิประโยชน์ที่ดี อีกทั้งยังถือเป็นอาชีพที่ปลอดภัยมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงอย่างเรา” พี่อ้อกล่าว
จากวันที่เคยกังวลว่าจะเลี้ยงครอบครัวไหวไหม วันนี้พี่อ้อมีคำตอบแล้วว่า...ไหว และไปต่อได้อีก “อยากบอกทุกคนที่มองหาอาชีพเสริม หรือรายได้ที่มั่นคง ว่าการขับแกร็บคือโอกาสที่เราสามารถคว้าไว้และจัดการได้ด้วยตัวเอง
บมจ. กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง เพื่อสอดรับกลยุทธ์ Unlock The Future และเพื่อบรรลุเป้าหมายในการก้าวเป็นหนึ่งใน 3 ผู้นำบริษัทประกันชีวิตชั้นนำในประเทศไทย โดยการแต่งตั้งทีมผู้บริหารในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของบริษัทฯ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ รับมือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในธุรกิจประกันชีวิต และเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยมีผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับแต่งตั้ง ได้แก่
ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูงทั้ง 3 ท่าน จะรายงานตรงต่อ คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ และผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนเตรียมความพร้อมสำหรับความสำเร็จในธุรกิจประกันชีวิต ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และปลดล็อคความสำเร็จในอนาคต (Unlock The Future) เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดของบริษัทฯ ที่พร้อมจะเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนที่องค์กรชั้นนำให้ความไว้วางใจ เผยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่มงานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจปี 2568 ยกระดับความมุ่งมั่นในการสนับสนุนลูกค้าผ่านโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์และครบวงจร รวมถึงการให้คำแนะนำเชิงลึกเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับความท้าทาย พร้อมขยายโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปีที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่กรุงศรียังคงให้การสนับสนุนกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ให้เติบโตอย่างมั่นคง ด้วยการให้บริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ในทุกมิติ โดยเฉพาะในด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ที่ได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

“โดยกรุงศรีมีผลงานโดดเด่นและเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืนให้กับทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น การออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond หรือ SLB) ของกระทรวงการคลังครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศแรกในเอเชีย และเป็นประเทศที่สามของโลก ต่อจากประเทศชิลีและอุรุกวัย พันธบัตรเพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล (Blue Bond) ครั้งแรกของประเทศไทย หุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนครั้งแรกในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม รวมถึงให้การสนับสนุนสินเชื่อหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงาน นิคมอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐานและโทรคมนาคม ธุรกิจโรงพยาบาล และอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งสินเชื่อในหลายๆ อุตสาหกรรมข้างต้นเป็นสินเชื่อเพื่อสนับสนุนความยั่งยืน”
“นอกจากนั้นกรุงศรียังเป็นที่ปรึกษาและมีส่วนรวมใน 3 ธุรกรรมที่สำคัญ ได้แก่ (1) การเป็นที่ปรึกษาสำหรับการซื้อขายและควบรวมกิจการ (Exclusive M&A advisor) ในธุรกรรมการควบรวมกิจการพลังงานทดแทนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยประจำปี 2567 โดยเป็นการจำหน่ายหุ้น 90% ในกลุ่มธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดรวม 139.4 เมกะวัตต์ มูลค่ารวม 4,828 ล้านบาท ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างกรุงศรีและ MUFG (2) การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียว (Sole Financial Advisor) และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (Krungsri Securities) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว (Sole Lead Underwriter) ในการเสนอขายหน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ สำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่หนึ่ง และ (3) การเป็นผู้สนับสนุนการขาย (Selling Agent) หน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง ผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารทั่วประเทศไทย และแอปพลิเคชัน krungsri app ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่ลูกค้าทุกกลุ่มมีต่อเรา”

“ปี 2568 ยังคงเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะไทยซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการลงทุนจากต่างประเทศและปัจจัยภายนอก เช่น ความผันผวนของตลาดโลก และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยอดสินเชื่อของกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในช่วงไตรมาสแรกของปีเติบโตตามเป้าการเติบโตด้านสินเชื่อที่ 5-7% ที่ตั้งไว้”
ทั้งนี้ แนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มงานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจปี 2568 ตั้งอยู่บนแนวคิด ‘Crafting Collaboration, Moving Beyond Solutions’ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการคิดและทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์ พร้อมทั้งให้คำแนะนำและร่วมมือกันพัฒนา กลยุทธ์และแนวทางเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ทางธุรกิจสำหรับลูกค้าแต่ละรายโดยเฉพาะ โดยไม่เพียงมุ่งเน้นการตอบสนองต่อความต้องการในระยะสั้น แต่ยังคงให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว พร้อมทั้งออกแบบแนวทางการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจ ผ่านการดำเนินงานใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
ในปีนี้ กลุ่มงานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ฯ ได้ต้อนรับหน่วยงานที่ดูแลกลุ่มลูกค้าบรรษัทข้ามชาติ หรือ Multinational Corporation (MNC) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมธุรกิจ ซึ่งพร้อมจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งร่วมกับบรรษัทข้ามชาติในภูมิภาค East Asian โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก เช่น จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่แสดงให้เห็นสัญญาณที่ดีในการขยายการลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โดยกรุงศรีและ MUFG พร้อมผนึกกำลังเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าในประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์สูงสุด
“ภายใต้บริบทความท้าทายและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น กรุงศรีพร้อมจะเดินหน้าเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าไว้วางใจ เพื่อช่วยสนับสนุนลูกค้าอย่างเต็มที่ในการปรับตัวและสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และผลักดันเศรษฐกิจไทยก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน” นายประกอบ กล่าวปิดท้าย
เอปสัน เปิดตัว WorkForce Pro EM-C800 เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันสีขนาด A4 รุ่นใหม่ล่าสุดในซีรีส์ WorkForce ความเร็วในการพิมพ์สูงถึง 25 หน้าต่อนาที และใช้เวลาเพียง 5.3 วินาทีในการพิมพ์สีหน้าแรก รองรับงานพิมพ์ปริมาณมากในสำนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลการวิจัยของ IDC ในปี 2023 พบว่า 68% ของสำนักงานใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์สีที่มีความเร็วอยู่ที่ 21-30 หน้าต่อนาที เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทรุ่นใหม่ของเอปสันนี้ จึงเป็นทางเลือกที่รวดเร็ว ประหยัด และยั่งยืนยิ่งกว่าสำหรับผู้ใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์ ด้วยเทคโนโลยี Heat-Free ช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 85% เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ พร้อมลดการสร้างขยะด้วยการใช้อะไหล่ทดแทนน้อยลง และตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลสูงสุด 30% นอกจากนี้ EM-C800 ยังโดดเด่นด้วยฟีเจอร์สแกนสองหน้าอัตโนมัติ ระบบหมึกความจุสูงพิมพ์ขาวดำได้ถึง 50,000 หน้า และพิมพ์สีได้ 20,000 หน้า พร้อมหน้าจอสัมผัสสี TFT ขนาด 4.3 รองรับการเพิ่มถาดกระดาษเสริมเพื่อลดการหยุดชะงักระหว่างทำงาน EM-C800 จึงเป็นเครื่องพิมพ์ที่รวมเอาประสิทธิภาพ ความทนทาน และความยั่งยืนไว้ในหนึ่งเดียว เหมาะกับสำนักงานยุคใหม่ที่ต้องการโซลูชันการพิมพ์ประสิทธิภาพสูงที่ไม่ละเลยสิ่งแวดล้อม
ในยุคที่เหตุการณ์แผ่นดินไหวเริ่มใกล้ตัวมากขึ้น ไม่ใช่แค่ข่าวจากต่างประเทศ แต่เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเรามากขึ้น หลายคนจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า… “บ้านที่เราอยู่ แข็งแรงพอไหม?”
เพราะผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของที่อยู่อาศัยมากขึ้นเรื่อย ๆ ระบบโครงสร้างที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งด้านความแข็งแรง ประหยัดเวลา และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงกลายเป็นทางเลือกสำคัญของวงการก่อสร้างยุคปัจจุบัน คำตอบหนึ่ง ที่หลายบริษัทชั้นนำในธุรกิจอสังหาฯ รวมถึง “พฤกษา” เลือกใช้ คือ “พรีคาสท์ (Precast)” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ไม่ใช่แค่สร้างบ้านได้รวดเร็ว แต่ยัง มั่นใจได้ในความแข็งแรง ปลอดภัย และทนทานในระยะยาว

พรีคาสท์คืออะไร? ทำไมจึงดีกว่าการก่ออิฐแบบเดิม?
“พรีคาสท์” เป็นระบบการผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปจากในโรงงาน เป็นระบบผนังรับแรง (Load Bearing Wall) ที่มีจุดเด่นคือ เสริมเหล็กภายในแผ่นผนังอย่างแน่นหนา ช่วยรองรับน้ำหนักบ้านโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เสาและคานแบบดั้งเดิมทำให้ตัวบ้านมีความมั่นคงสูง และโครงสร้างเชื่อมต่อกันอย่างทนทาน
ข้อดีของพรีคาสท์ที่ทำให้เป็นที่นิยม

สู่มาตรฐานใหม่ของที่อยู่อาศัยไทย
นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพราะเราเชื่อว่า “บ้านที่ดี” ต้องเริ่มต้นจากโครงสร้างที่ดี ดังนั้นบ้านทุกหลังที่พฤกษาสร้าง ไม่ได้แค่ ‘อยู่สบาย’ แต่ต้อง ‘ปลอดภัย’ ส่งมอบความมั่นใจให้กับครอบครัวไทย ในวันที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ พฤกษาจึงเลือกใช้ แผ่นพรีคาสท์ ที่ผลิตโดย “อินโน พรีคาสท์” ที่มีประสบการณ์ยาวนาน มีโรงงานระบบอัตโนมัติที่ควบคุมคุณภาพได้ทุกขั้นตอน เพราะ “บ้านที่ดี” ไม่ใช่แค่สวย...แต่ต้อง “มั่นใจ ปลอดภัย อยู่ได้จริงในทุกสถานการณ์

ไม่ใช่แค่แข็งแรง แต่ “ทนแผ่นดินไหวได้จริง” ผ่านการศึกษาโดยสถาบันชั้นนำ
ระบบพรีคาสท์ของพฤกษานำระบบเครื่องจักรซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมันมาใช้ ได้รับการศึกษาทดลองร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้างจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือ AIT (Asian Institute of Technology) เพื่อศึกษาความสามารถในการรับแรงแผ่นดินไหวของระบบรอยต่อของบ้านผนังรับแรงสำเร็จรูป (Precast Concrete Bearing Wall) โดยทดลองในบ้าน 2 ชั้น ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ กรุงเทพฯ มีการทดลองทั้งในชิ้นงานจริง และได้ทำการจำลองเหตุการณ์แผ่นดินไหวในห้องทดลอง 3 เหตุการณ์ พร้อมวิเคราะห์ด้วยซอฟต์แวร์ด้านโครงสร้าง พบว่าผนังรับแรงของพฤกษาสามารถรองรับแรงแผ่นดินไหวได้ดีเยี่ยม ไม่เกิดร้อยร้าวเหมือนผนังก่ออิฐทั่วไป แม้ภายใต้แรงแผ่นดินไหวระดับรุนแรง สามารถทนต่อแรงแผ่นดินไหวได้ตามมาตรฐานที่ออกแบบไว้

“อินโน พรีคาสท์” = มาตรฐานแห่งความแข็งแรง ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
นายพรเทพ ศุภธราธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด กล่าวว่า ระบบพรีคาสท์ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกทางเทคโนโลยี แต่คือรากฐานของมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย โดยจุดเด่นของ “อินโน พรีคาสท์” ที่เหนือกว่าทั่วไป คือ เป็นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ซึ่งเราเป็นรายแรกในอุตสาหกรรมพรีคาสท์ของไทยที่ได้รับ “ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์” และ “ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์” จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งนอกจากคุณสมบัติทั่วไปของพรีคาสท์ที่มีความแข็งแรง ทนทานแล้ว อินโน พรีคาสท์ได้นำเทคโนโลยีคาร์บอนเคียว (CarbonCure) ที่ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ฉีดกลับเข้าไปในขั้นตอนผสมคอนกรีต ส่งผลให้ลดการใช้ปูนซีเมนต์ลงได้ถึง 5% แต่ยังคงความแข็งแรงของพรีคาสท์ตามมาตรฐาน ได้แผ่นพรีคาสท์ที่มีคุณภาพ แข็งแรง และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน

พฤกษายังคงเดินหน้าพัฒนาคุณภาพการอยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด “Live well, Stay well – อยู่ดี มีสุข” ที่ไม่ได้หมายถึงแค่การมีบ้านที่สวยงาม แต่ต้องครอบคลุมถึง ความปลอดภัย ความมั่นใจ และคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว เพื่อให้ลูกค้า ได้รับทั้งความสบายใจและความปลอดภัยอย่างแท้จริง ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คลิก www.pruksa.com
กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมมือกับ กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ยกระดับงานบริการออกหนังสือสำคัญการส่งออก-นำเข้าสินค้า ด้วยการพัฒนาระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) มุ่งสู่เป้าหมายการให้บริการแบบ No Visit อย่างเต็มรูปแบบ ตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ (Citizen Centric) เพิ่มความง่าย สะดวก และรวดเร็วในการรับบริการ

กรมการค้าต่างประเทศได้ให้บริการออกหนังสือสำคัญการส่งออก-นำเข้าสินค้าให้กับผู้ประกอบการเฉลี่ยปีละกว่า 1.2 ล้านฉบับ กรมการค้าต่างประเทศจึงมุ่งพัฒนาบริการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้ประกอบการที่ขอรับบริการ โดยความร่วมมือระหว่างกรมการค้าต่างประเทศกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาในครั้งนี้จะช่วยยกระดับการให้บริการออกหนังสือสำคัญฯ ขึ้นไปอีกขั้น สู่ระบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ผู้รับบริการสามารถดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์ได้ง่ายๆ ภายใต้ระบบ DFT SMART – I และ DFT SMART C/O ซึ่งสามารถยื่นคำขอและพิมพ์เอกสารผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ศูนย์บริการ ทั้งนี้ผู้รับบริการสามารถเลือกชำระค่าบริการผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคารกรุงศรี หรือธนาคารพาณิชย์อื่นได้ เพิ่มความง่าย สะดวก และรวดเร็วให้กับผู้รับบริการมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังสามารถชำระค่าบริการแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ด้วยการสแกน QR Code ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีค่าธรรมเนียม ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัล (Digital government) ในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของหน่วยงานราชการให้ทันสมัย และเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการบริการออนไลน์

ก้าวต่อไปในการให้บริการของกรมการค้าต่างประเทศ มุ่งมั่นผลักดันให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันและความได้เปรียบทางการค้าเพิ่มขึ้น อาทิ รองรับการออกหนังสือสำคัญการส่งออก – นำเข้าสินค้าตามกรอบความตกลงทางการค้าใหม่ ๆ ได้แก่ FTA ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Trade Association: EFTA)FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) รวมถึงกรอบเจรจาอื่น ๆ ในอนาคตอันใกล้ โดยมีแผนพัฒนาระบบบริการกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและต่อยอดบริการที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้นต่อไป
“คาร์ฟอร์แคช” ผู้นำตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ เดินหน้าแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเหล่าผู้ปกครองด้วย ‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้’ ที่มาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.56% ต่อเดือนสำหรับสินเชื่อมอเตอร์ไซค์และบิ๊ก ไบค์ และดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.69% ต่อเดือนสำหรับสินเชื่อรถยนต์* ตอบโจทย์ผู้ปกครองที่มองหาสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม อุปกรณ์การเรียน หรือชุดนักเรียนใหม่ ในช่วงเปิดเทอมนี้
‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้’ มาพร้อมกับการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก อนุมัติวงเงินสูง และให้ลูกค้าสามารถจ่ายโปะเมื่อไรก็ได้ โดยไม่มีค่าปรับ ยิ่งโปะมาก เงินต้นยิ่งลด วงเงินเบิกถอนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ครอบคลุมทั้งสินเชื่อสำหรับรถยนต์ บิ๊กไบค์ และมอเตอร์ไซค์หลากหลายยี่ห้อ โดยไม่ต้องโอนเล่มทะเบียน และยังสามารถใช้รถได้ตามปกติตลอดระยะเวลาสัญญา อีกทั้ง ยังมอบความคล่องตัวทางการเงินให้กับผู้ใช้บริการ ด้วยขั้นตอนการสมัครที่ไม่ยุ่งยาก อนุมัติไว รับเงินใน 1 วัน เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนในช่วงเวลาสำคัญของปี ด้วยเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นและโปร่งใส
‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้’ จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ พร้อมรับมือกับรายจ่ายในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ได้อย่างราบรื่น
‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้’ ทางเลือกตัวช่วยแก้สภาพคล่อง เพื่อคนมีรถ
Fun Fact: รู้หรือไม่? ‘รถ’ มีค่ามากกว่าที่คิด
*ตัวอย่างการคำนวณเบื้องต้น โดยอ้างอิงจากราคาประเมินรถบนเว็บไซต์ www.car4cash.com ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2568
พิเศษ!! เมื่อสมัคร ‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้’ โดยได้รับอนุมัติเป็นสัญญาตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน - 30 สิงหาคม 2568 รับบัตรโลตัส มูลค่า 500 บาท สำหรับใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมนี้แบบไม่สะดุด และหากเบิกเงินสำรองภายใน 6 เดือน สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการ ‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้’ รถยนต์ รับเพิ่มบัตรของขวัญโลตัสอีก 500 บาททันที** สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.car4cash.com หรือกรุงศรี ออโต้ Call Center 0 2740 2700 บริการ ‘คาร์ฟอร์แคช เดลิเวอรี’ ส่งที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อช่วยตรวจสภาพรถและทำสัญญาถึงบ้าน รวมถึงการให้บริการที่กรุงศรี ออโต้ ทั้ง 52 สาขา และสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยาทั่วประเทศ
#‘กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว’
*ดอกเริ่มต้น 0.56% ต่อเดือน เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ l ผู้สมัครสินเชื่อคาร์ฟอร์แคช บิ๊ก ไบค์ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาท/เดือน l บิ๊ก ไบค์ คือ รถจักรยานยนต์ที่มีขนาดความจุตั้งแต่ 250 ซีซี ขึ้นไป และมีราคาซื้อขายในขณะเป็นรถใหม่ป้ายแดงมากกว่าหรือเท่ากับ 100,000 บาท l คาร์ฟอร์แคช บิ๊ก ไบค์ พร้อมใช้ อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ต่ำสุด 12% - สูงสุด 24% ต่อปี / ดอกเริ่มต้น 1.12% ต่อเดือน เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ l ผู้สมัครสินเชื่อคาร์ฟอร์แคช มอเตอร์ไซค์ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 333 บาท/วัน หรือต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 9,000 บาท/เดือน l มอเตอร์ไซค์ คือ รถจักรยานยนต์ ที่มีขนาดความจุน้อยกว่า 250 ซีซี. ลงมา (หรือตั้งแต่ 250 ซีซี ขึ้นไปแต่ราคาซื้อขายในขณะเป็นรถใหม่ป้ายแดงน้อยกว่า 100,000 บาท) l คาร์ฟอร์แคช มอเตอร์ไซค์ พร้อมใช้ อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก 24% ต่อปี l คาร์ฟอร์แคช มอเตอร์ไซค์ ให้บริการโดย บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) l **สำหรับ คาร์ฟอร์แคช บิ๊ก ไบค์ และ มอเตอร์ไซค์ รับบัตรโลตัส มูลค่า 500 บาท เมื่อได้รับอนุมัติและเป็นสัญญา / เบิกเงินผ่าน LINE Official Account @krungsriauto จะสามารถเบิกได้ตามวันและเวลาที่ผู้ให้บริการสินเชื่อกำหนด l ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.car4cash.com หรือสอบถามได้ที่ กรุงศรี ออโต้ Call Center 0 2740 2700 l เงื่อนไขทั้งหมดเป็นไปตามที่ผู้ให้บริการสินเชื่อกำหนด
บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศแต่งตั้ง รีติมา รัคยัน เป็นผู้จัดการทั่วไป และรองประธานฝ่ายธุรกิจแฟรนไชส์ โคคา-โคล่า ประเทศไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งจะดูแลภาพรวมการบริหารกลยุทธของธุรกิจในทั้ง 4 ประเทศ โดยมุ่งเสริมความแข็งแกร่งของ โคคา-โคล่า ในฐานะบริษัทเครื่องดื่มครบวงจร
การแต่งตั้งรีติมาในครั้งนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ โคคา-โคล่า ที่จะส่งมอบความสดชื่นให้กับผู้บริโภคผ่านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ โดยเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยรีติมาจะขับเคลื่อนการเติบโตด้วยกลยุทธ์การพัฒนาพอร์ทโฟลิโอเครื่องดื่มที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ไม่หยุดนิ่งของผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และการขยายพอร์ทโฟลิโอเครื่องดื่ม รวมถึงแคมเปญการตลาดที่โดดเด่นและโดนใจ โดยรีติมาจะทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับพันธมิตรผู้ผลิตและจำหน่ายซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนความสำเร็จ ในภูมิภาคนี้ตลอดมา
ก่อนเข้ารับตำแหน่งปัจจุบัน รีติมาเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายลูกค้าและการพาณิชย์ ในภูมิภาคอาเซียนและแปซิฟิกใต้ โดยเป็นผู้นำทีมในการยกระดับกลยุทธ์การจัดจำหน่ายของ โคคา-โคล่า โดยขยายช่องทางการขายทางร้านค้า ช่องทางดิจิทัล และการจำหน่ายผ่านตู้แช่เย็น นอกจากนี้ยังขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ในราคาย่อมเยา ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบคืนขวดและผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กแบบแพ็ค รวมทั้งยกระดับความน่าสนใจของหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ ณ จุดขาย ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบครบวงจร ยิ่งไปกว่านั้น รีติมายังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา System Commercial Capability Academy ซึ่งช่วยวางรากฐานให้ธุรกิจเติบโตในภูมิภาคนี้ได้อย่างมั่นคง
รีติมามีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปีในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค ธนาคาร และค้าปลีก โดยมีความเชี่ยวชาญในหลายด้าน เช่น การพัฒนาบุคลากร การบริหารพันธมิตร และการตลาดช่องทางจัดจำหน่าย ทั้งนี้ รีติมาเข้าร่วมงานกับ เดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี ครั้งแรกในปี 2556 และเคยทำงานในหลากหลายภูมิภาค เช่น อินเดีย เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ครอบคลุมตำแหน่งที่หลากหลาย อาทิ การตลาดระดับภูมิภาค การพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายทางเลือก การบริหารจัดการลูกค้า การจัดจำหน่าย และการบริหารจัดการแฟรนไชส์
รีติมามีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของ โคคา-โคล่า ในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รีติมายังให้ความสำคัญกับการเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และการดำเนินงานที่เป็นเลิศ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ความยั่งยืน และความร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง
"บ้านที่แข็งแรง ทนทาน ปลอดภัย และส่งเสริมคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดี" คือหัวใจสำคัญที่คนสร้างบ้านในไทยต้องการ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมา ที่สร้างความเสียหายให้อาคารบ้านเรือนในไทยหลายจังหวัด นอกจากภัยแผ่นดินไหวแล้ว วิกฤตหรือปัญหาเดิม ๆ ทั้งเสียงรบกวน ความร้อน หรือฝุ่น PM 2.5 ก็ยังก่อกวนการใช้ชีวิตของคนไทยไม่จบ
บ้าน SCG HEIM ได้ชื่อว่าเป็นบ้านระดับพรีเมียม ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน สะอาด ปลอดภัย ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า บ้าน SCG HEIM เป็นบ้านที่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว หรือต้านทานความเร่งของการสั่นสะเทือนที่ปลอดภัยได้มากกว่า 1,200 แกล (gal)* จุดนี้ถือเป็นศักยภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยหลังประสบภัยแผ่นดินไหวเป็นอย่างยิ่ง

คุณสมบัติที่โดดเด่นของบ้าน SCG HEIM เกิดจากการผสานความร่วมมือระหว่างเอสซีจี และ บริษัท เซกิซุย (Sekisui) ผู้ผลิตและผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างบ้านจากประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2553 เซกิซุย ได้นำความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมเทคโนโลยีแบบโมดูลาร์ (Modular) ซึ่งเป็นการสร้างบ้านสำเร็จรูปที่ผลิตโดยหุ่นยนต์ในโรงงาน ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพการต่อ-เชื่อม-ประกอบได้ดี และคุมระยะเวลาก่อสร้างได้ตามแผน ด้วยระบบการสร้างบ้านที่สามารถปิดช่องว่างรอยต่อทุกส่วนของบ้าน ทั้งประตู หน้าต่าง และผนังด้วย Seal คุณภาพสูง ก่อนนำมาติดตั้งบนพื้นที่จริงเป็นตัวบ้านที่สมบูรณ์

++ บ้าน SCG HEIM มีดียังไง
"ลูกค้าบ้าน HEIM ประมาณ 60 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 1,500 หลัง ติดต่อขอให้ทีมเข้าไปตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้างบ้าน หลังเหตุแผ่นดินไหวที่ผ่านมา ทีมวิศวกรของ HEIM ได้เข้าไปตรวจสอบและพบว่า ไม่มีบ้านหลังใดได้รับความเสียหายเลย" นายมาซาโตชิ คิฟูจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท SEKISUI - SCG INDUSTRY จำกัด กล่าว
กรรมการผู้จัดการ เซกิซุย อธิบายว่า บ้าน SCG HEIM มีจุดเด่นสำคัญ 3 ด้านคือ 1) การผลิตบ้านในโรงงาน ด้วยโครงสร้างที่เรียกว่า Rahmen Structure ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีความแข็งแรง เป็นระบบโครงสร้างที่มาจากประเทศญี่ปุ่น และการที่ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ของบ้านในโรงงาน ข้อดี คือ สามารถควบคุมคุณภาพและระยะเวลาในการก่อสร้างได้อย่างแม่นยำ 2) การผลิตบ้านในโรงงานทำให้สามารถใส่นวัตกรรมต่าง ๆ เพิ่มเสริมคุณภาพของบ้านได้ เช่น ระบบ Air Tightness System รูปแบบเฉพาะของ SCG HEIM ทำให้อากาศภายในบ้านสะอาด ลดฝุ่น PM2.5 และเชื้อโรค ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดี พร้อมทั้งการออกแบบและเลือกใช้วัสดุเฉพาะ ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกบ้าน อีกทั้งมีการซีล (Seal) ร่องต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยพักผ่อนอย่างเต็มที่ และยังสามารถเชื่อมกับระบบ Air Factory System ระบบหมุนเวียนอากาศ ทำให้ได้คุณภาพอากาศที่ดีภายในบ้าน แม้ปกติคนไทยจะนิยมเปิดบ้านรับอากาศภายนอกเข้ามาบ้างก็ตาม และ 3) บริการหลังการขาย รับประกัน 20 ปี โดยจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปพบและตรวจสอบบ้านต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีที่ 1, 2, 3, 4, 5, 10, 15 และ 20

++ สร้างงานเชื่อมต่อกำลังสูง ลดแรงสั่นสะเทือน
ส่วนเรื่องของแผ่นดินไหว ในระหว่างการก่อสร้างภายในโรงงาน ส่วนที่สำคัญที่สุดคือจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ เพราะหากงานเชื่อมกำลังไม่ได้ ก็จะเกิดการฉีกขาดออก ซึ่ง SCG HEIM ใช้ระบบโมดูลาร์ (Modular) ที่ใช้หุ่นยนต์ทำหน้าที่ต่อเชื่อมและประกอบ รวมทั้งมีการทดสอบคุณภาพการเชื่ือม ตลอดเวลา ทำให้ได้งานที่แข็งแรงทนทานจริงๆ
นายคิฟูจิ ย้ำว่า บ้าน SCG HEIM ต้านทานความเร่งของการสั่นสะเทือนที่ปลอดภัยได้มากกว่า 1,200 แกล โดยหากเปรียบเทียบกับแผ่นดินไหวเมียนมาที่ผ่านมา แรงสั่นสะเทือนที่วัดได้ที่จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์มีขนาด 1,200 แกล ที่เชียงราย 220 แกล และที่กรุงเทพฯ วัดได้ 75 แกล
"บ้าน HEIM 1 ยูนิต ทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้ 1,200 แกล ซึ่งเป็นกล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่หากมีโครงสร้างหลายยูนิตมาประกอบกัน จะยิ่งเพิ่มความทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนได้มากยิ่งขึ้น” คิฟูจิอธิบาย
การนำเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นมาใช้ในประเทศไทย ได้มีการปรับวัสดุ ความสูง ความหนาให้เหมาะสม เช่น เสาเข็มที่ญี่ปุ่นเป็นดินแข็งจะฝังลึกลงไป 2-3 เมตร แต่เมืองไทยอย่างกรุงเทพฯ ดินอ่อน ต้องฝังลงไปลึกประมาณ 20 เมตร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดบ้าน โดยยังคงคุณภาพตามมาตรฐานของเซกิซุย โดยความผิดพลาดของโครงสร้างยูนิตแทบไม่มีเลย เพราะมีการตรวจสอบในแต่ละขั้นตอนของการทำงานต่อเนื่อง
ความเด่นอีกอย่างของบ้าน SCG HEIM คือ ฐานรากจะมีช่องว่าง ที่ทำให้สะดวกต่อการเข้าไปตรวจเช็ค และซ่อมบำรุง โดยไม่ต้องรื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง

++ เสริมนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพบ้าน
งานก่อสร้างบ้าน SCG HEIM แยกออกเป็น 2 ส่วนชัดเจน ส่วนแรก คือ โครงสร้างบ้านที่ผลิตภายในโรงงานทั้งหมด ก่อนยกไปประกอบหน้างาน ใช้เวลาประมาณ 6-7 วัน และส่วนของการประกอบหน้างาน ใช้เวลาอีก 1-2 วัน หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ขนาดบ้าน อีกส่วนคืองานฐานราก ที่จะดำเนินการไปพร้อม ๆ กัน เบ็ดเสร็จหากไม่นับเวลาประสานงานงานดิวงาน การเลือกแบบ งานก่อสร้างทั้งหมดเป็นบ้านหนึ่งหลัง จะใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน
นอกจากโครงสร้างบ้านที่ผลิตภายในโรงงาน นายคิฟูจิ ยังพูดถึงนวัตกรรมหลากหลายที่สามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้ในบ้าน HEIM เช่น ระบบ Thermal & Sound Insulated System ติดตั้งวัสดุกันความร้อนที่หลังคาและผนังภายนอก สามารถกันเสียงและความร้อนได้ในตัว, Earth Leakage Circuit Breaker อุปกรณ์ตัดไฟ ป้องกันไฟรั่ว สามารถแยกตัดได้บางห้องหรือบางพื้นที่ หรือLeakage-Free Bathroom System ระบบกันซึมที่ถูกติดตั้งใต้พื้นห้องน้ำ ป้องกันน้ำรั่วซึม
นายเอกพล ลิ่มสุนทรากุล ผู้อำนวยการโรงงาน, SEKISUI - SCG INDUSTRY จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน บ้าน SCG HEIM มี 5 ซีรีส์ 5 รุ่น และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 5.8-5.9 ล้านบาท ราคาขึ้นอยู่กับขนาดของบ้าน รูปแบบการออกแบบ และคุณภาพของวัสดุที่เจ้าของบ้านสามารถเลือกเองได้ โดยเจ้าของบ้านไม่ต้องกังวลกับงบการสร้างบ้านที่จะบานปลาย เพราะร้อยละ 80 ของโครงสร้างหลักทำในโรงงานด้วยหุ่นยนต์ ช่างทุกคนผ่านการฝึกอบรมเป็นอย่างดี และมีทีมตรวจสอบคุณภาพงานอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน งานจะเสร็จสมบูรณ์ตามงบและระยะเวลาที่ตกลงกันไว้แน่นอน