

บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ “IVF” ประกาศว่าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 มีมติอนุมัติให้ปรับวัตถุประสงค์การใช้เงิน IPO เพื่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต และจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.024 บาท รวมเป็นเงิน 10.56 ล้านบาท พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์กระจายพอร์ตการลงทุน ตั้งเป้ารายได้และกำไรจากธุรกิจใหม่นี้ช่วยเสริมฐานรายได้ในระยะยาว โดยธุรกิจหลักของบริษัทยังคงเป็น IVF พร้อมวางแผนขยายตลาดและการจับมือพันธมิตรในตะวันออกกลาง
นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ “IVF” เปิดเผยว่า “สำหรับการปรับเปลี่ยนและเพิ่มวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติการเพิ่มวัตถุประสงค์การใช้เงิน IPO จำนวน 388 ล้านบาท จากเดิมที่มี 3 ข้อ ประกอบด้วย 1. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 84 ล้านบาท, 2. ใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายสาขาจำนวน 190 ล้านบาท และ 3. ใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจำนวน 114 ล้าน บาท เป็น 4 ข้อ ประกอบด้วย 1. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 158 ล้านบาท, 2. ใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายสาขาจำนวน 50 ล้านบาท, 3. ใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจำนวน 30 ล้านบาท และ 4. ใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพ (Non-Healthcare) 150 ล้านบาท”

“โดยวัตถุประสงค์ข้อใหม่เพื่อการลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพ (Non-Healthcare) นั้น จะเป็นการวางรากฐานการเติบโตระยะยาว เพิ่มความแข็งแกร่งและศักยภาพในการแข่งขันในสภาวะทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น โดยได้มีการขยายขอบเขตการลงทุนไปยังกลุ่มธุรกิจใหม่ผ่านบริษัทย่อยอย่าง “M22” (เอ็ม ทเวนตี้ทูว์) ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในตลาดโลก เช่น กลุ่มเคมีภัณฑ์ชีวภาพ (Biomedical Chemicals), กลุ่ม ICT Software และการจัดจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น”
นอกจากนั้น ที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.024 บาท จำนวนหุ้นทั้งหมด 440,000,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 10.56 ล้านบาท แก่ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลตามที่ปรากฏ รายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 14 มีนาคม 2568 โดยกำหนดจ่าย (Payment Date) เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568
“สำหรับปี 2568 นี้ บริษัทฯ มุ่งเดินหน้ากลยุทธ์สร้าง Synergy กับธุรกิจเดิมที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มมูลค่าและการเติบโตในระยะยาว มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ตลาด Non-Healthcare และการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างชาติในประเทศแถบตะวันออกกลาง ตลอดจนยังคงยึดมั่นในธุรกิจบริการรักษาผู้มีบุตรยากแบบครบวงจรเป็นแกนหลัก พร้อมมุ่งมั่นต่อเป้าหมายการเป็น ‘ผู้นำด้านศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากครบวงจรในภูมิภาคเอเชียภายใต้มาตรฐานสากล” นางสาวเกศิณี กล่าวทิ้งท้าย
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.15% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ มีผลตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่ปรับสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าประเทศเศรษฐกิจหลักและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งช่วยกระตุ้นการเติบโตของภาคธุรกิจไทย
นอกเหนือจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2567 EXIM BANK ยังมอบสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าชั้นดีที่ร่วมเติบโตมากับ EXIM BANK ด้วยส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษถึง 1.00% ต่อปี เริ่มต้น 3.10% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่แสดงความจำนงภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และเบิกกู้ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2568 พร้อมกันนั้น EXIM BANK ยังคงดำเนินโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ EXIM BANK ได้จัดตั้ง Export Clinic เพื่อให้คำปรึกษาและข้อมูลแก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Reciprocal Tariffs โดยสอดคล้องกับพันธกิจของ EXIM BANK ในการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ สามารถปรับตัวรับมือกับปัจจัยท้าทายและแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน
“ธนาคารเกียรตินาคินภัทร” ผนึกกำลัง “เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์)” ออกประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) แบบใหม่ ชูจุดเด่นเลือกความคุ้มครองชีวิตได้สูงสุดถึง 30 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลักรายปี คุ้มครองชีวิตยาวสูงสุด 12 ปี ชำระเบี้ยระยะสั้นเพียง 5 ปี มาพร้อมกับทางเลือกที่ยืดหยุ่นให้ลูกค้าขยายความคุ้มครองได้ถึงอายุ 99 ปี ปรับเปลี่ยนความคุ้มครองตามต้องการ และสับเปลี่ยนกองทุนได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งโดยไม่มีค่าธรรมเนียม เพื่อเป้าหมายทางการเงินที่แตกต่างในแบบประกันเดียว

นางเกษรา เลียงชเยศ ประธานสายธนบดีธนกิจและหัวหน้าฝ่ายตลาดผลิตภัณฑ์การเงิน ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจความต้องการเฉพาะบุคคล ไม่ว่าด้านสุขภาพ ที่อยู่อาศัย หรือการเงิน ผลิตภัณฑ์ KKPGEN WEALTH PRIVÉ LINK 12/5 จึงถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยความเข้าใจความต้องการและเป้าหมายทางการเงินที่หลากหลายของลูกค้า เช่น กลุ่มลูกค้าที่วางแผนอนาคตสำหรับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นแผนการศึกษาของลูก หรือการสะสมความมั่งคั่งสำหรับลูกหลาน หรือกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีครอบครัวแต่ต้องการเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลตัวเองในอนาคต หรือแม้แต่กลุ่มคนทำงานที่มีแผนเกษียณเร็ว คือหยุดทำงานเมื่ออายุไม่มากและออกไปใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยยังมีเงินออมเอาไว้ดูแลตัวเองเมื่ออายุมาก
เนื่องจากผลิตภัณฑ์นี้เป็นยูนิต ลิงค์ จึงมีจุดเด่นอยู่ที่การให้ทั้งความคุ้มครองและผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของกรมธรรม์ที่มากกว่าประกันชีวิตทั่วไป และยังสามารถเลือกปรับเปลี่ยนความคุ้มครองและจัดสัดส่วนด้านการลงทุนได้ตามความต้องการ จึงเอื้อต่อการออกแบบแผนการเงินตามวัตถุประสงค์ในแต่ละจังหวะของชีวิตเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยโอกาสการเติบโตขึ้นอยู่กับผลตอบแทนในสินทรัพย์ที่ลูกค้าเลือกลงทุน โดยลูกค้าสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเพิ่มเงินลงทุนได้ตามจังหวะที่เหมาะสม สำหรับลูกค้าที่ไม่เคยมีประกันรูปแบบนี้ ธนาคารมีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า” คุณเกษรา กล่าว
นางยุวดี งานทวีกิจ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจ บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ประกันชีวิตควบการลงทุน หรือ ยูนิต ลิงค์ ยังคงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ลูกค้าให้ความสนใจ จะเห็นได้จากการเติบโตในภาพรวมของยูนิต ลิงค์ของปี 2567 เติบโตถึง 7.8% สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มยูนิต ลิงค์ที่ขายผ่านธนาคารเกียรตินาคินภัทรมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในปี 2567 เติบโตถึง 86% จากปีก่อนหน้า และมียอดขายเบี้ยประกันเป็นอันดับ 5 เมื่อเทียบกับตลาดประกันชีวิต ตามข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทยซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือผลประโยชน์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความคุ้มครองและการลงทุน และการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป้าหมายกลุ่มต่าง ๆ ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร ตั้งแต่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นวางแผนทางการเงินไปจนถึงลูกค้าสินทรัพย์สูง ทำให้ปัจจุบันเรามี ยูนิต ลิงค์ หลายรูปแบบให้ลูกค้าได้เลือก ประกอบกับการมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายและทันสมัยผ่านแอปพลิเคชัน GEN 365 ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการแบบออนไลน์ได้ด้วยตัวเองทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นการดูข้อมูลความคุ้มครองและรายละเอียดการลงทุน การสับเปลี่ยนกองทุน และดาวน์โหลดใบแจ้งรายงานสถานะทางการเงินของกรมธรรม์ นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ผ่านการร่วมกิจกรรมสะสมคะแนน สะท้อนให้เห็นว่าเจนเนอราลี่ให้ความใส่ใจในความต้องของลูกค้าในทุกมิติในฐานะลูกค้าคนสำคัญเรา” นางยุวดีกล่าว
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ KKPGEN WEALTH PRIVÉ LINK 12/5
*มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนต้องเพียงพอสำหรับชำระค่าใช้จ่ายกรมธรรม์อย่างต่อเนื่องและมีสุขภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนด
**แม้มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนมีไม่เพียงพอต่อการชําระค่าใช้จ่ายกรมธรรม์ ทั้งนี้ต้องชำระเบี้ยประกันภัยหลักครบตามกำหนดทุกงวดโดยไม่มีการหยุดพักชำระเบี้ย (Premium Holiday) ไม่เคยมีการถอนเงินจากกรมธรรม์บางส่วนจากการขายคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันภัยหลัก และไม่เคยลดเบี้ยประกันภัยหลัก
***เป็นไปตามตารางค่าธรรมเนียมในการถอนเงินจากกรมธรรม์
ผู้ที่สนใจสามารถขอคำปรึกษาแผนประกันควบการลงทุนได้ที่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือโทร. 0 2165 5555 รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ KKPGEN WEALTH PRIVÉ LINK 12/5 คลิก https://link.kkpfg.com/cN53D
หมายเหตุ:
เคทีซีฉายภาพรวมตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลไตรมาสแรก เปิดแผนกลยุทธ์รุกขยายฐานสมาชิกสินเชื่อผ่านดิจิทัล จับมือ 4 พันธมิตรร้านค้า Smartphone และอุปกรณ์ IT เอไอเอส (AIS) ทรูช็อป (True Shop) แอดไวซ์ (Advice) และทีจี (TG) สาขาที่ร่วมรายการ ตอบโจทย์ความต้องการผ่อนสินค้า ด้วยบริการสมัครสินเชื่อผ่าน e-Application อนุมัติไวใน 30 นาที รับสินค้ากลับได้เลย คุ้มค่ากับโปรผ่อนเบาๆ 0% นาน 24 เดือน พร้อมรับสิทธิ์เคลียร์หนี้เกลี้ยง เมื่อมียอดใช้จ่ายและชำระตรงเวลาตามที่กำหนด ส่งเสริมวินัยทางการเงิน
นางสาวพิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อบุคคล “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมอุตสาหกรรมสินเชื่อส่วนบุคคลในไตรมาสแรกของปี 2568 ยังคงชะลอตัว ส่วนหนึ่งมีปัจจัยมาจากรายได้ครัวเรือนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และภาระหนี้ที่ยังสูงอยู่ เคทีซียังคงให้ความสำคัญในการขยายพอร์ตสินเชื่อไปพร้อมๆ กับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ จึงมีกลยุทธ์ในการขยายช่องทางการรับสมัครสินเชื่อไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการวงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อของที่จำเป็น เช่น Smartphone คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ IT หรืออุปกรณ์ในหมวดยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งในเฟสแรกนี้เคทีซีได้ร่วมมือกับ 4 พันธมิตรร้านค้า ได้แก่ เอไอเอส (AIS) ทรูช็อป (True Shop) แอดไวซ์ (Advice) และทีจี (TG) สาขาที่ร่วมรายการ ตอบโจทย์ความต้องการผ่อน Smartphone หรืออุปกรณ์ IT ณ จุดขาย ผู้บริโภคสามารถสมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ผ่าน e-Application ได้ณ สาขาที่ร่วมรายการกว่า 1,000 ร้านค้าทั่วประเทศ รู้ผลอนุมัติไวใน 30 นาที รับสินค้ากลับได้เลย พร้อมรับโปรสุดคุ้ม ผ่อน 0% นานสูงสุด 24 เดือน

“ในอนาคตเคทีซียังมีแผนเดินหน้าขยายความร่วมมือกับร้านค้าพันธมิตรอื่น ๆ ที่มีความต้องการผ่อนสินค้า ณ จุดขาย เพื่อสร้างโอกาสในการขยายฐานสมาชิก โดยมุ่งเน้นตอบโจทย์ผู้บริโภค ทั้งในด้านความเร็ว ความปลอดภัย และความคุ้มค่า เคทีซีมองว่าการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจะทำให้ตลาดสินเชื่อเติบโตได้ นอกจากนี้ยังให้สมาชิกสามารถแบ่งเบาภาระหนี้ผ่านโครงการ ‘เคลียร์หนี้’ ที่จัดต่อเนื่องมาแล้วถึง 15 ปี และช่วยลูกหนี้ไปแล้วกว่า 6,000 ราย รวมมูลค่ากว่า 51 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนและตอบแทนความมีวินัยทางการเงิน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก และยกระดับคุณภาพชีวิตของสมาชิกสินเชื่ออย่างแท้จริง”
ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 สมาชิกบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” มีจำนวน 690,178 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล และดอกเบี้ยค้างรับรวม 34,857 ล้านบาท เติบโตที่ 5.2% NPL Ratio สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.35%

บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” สมัครออนไลน์ได้ด้วยตนเองผ่าน e-Application เพียงกรอกข้อมูล อัพโหลดเอกสาร และยืนยันตัวตนผ่าน Smartphone อนุมัติไวใน 30 นาที เมื่อสมัครในช่วงเวลา 08.00-19.30 น. สามารถใช้รูดซื้อสินค้า โอนเงิน กดเงินสด และผ่อนสินค้า และสามารถขอวงเงินเพิ่มผ่านแอป KTC Mobile ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้สนใจสมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ KTC PHONE 02 123 5000 กด 0 กด 2
ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 20%-25% ต่อปี
เมื่อโครงสร้างพื้นฐานและอาคารหลายแห่งในประเทศไทยมีอายุใช้งานเกินกว่า 30–50 ปี พร้อมเผชิญกับความเสี่ยงใหม่ ๆ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ธุรกิจซ่อมแซมและบำรุงรักษาโครงสร้าง จึงไม่ได้เป็นเพียงงานบำรุงปกติอีกต่อไป แต่กลายเป็นหนึ่งใน “แนวป้องกันระดับชาติ” ที่จะช่วยยืดอายุอาคาร ลดการสูญเสีย และป้องกันความเสียหายเชิงเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
แผ่นดินไหว: ความเสี่ยงที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
แม้ว่าไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวรอยเลื่อนหลักของโลก แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่เมียนมา เมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย จนทำให้เกิดผลกระทบด้านโครงสร้างอาคารหลายแห่งเสียหาย รวมถึงเหตุแผ่นดินไหว 6.4 ริกเตอร์ ที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ในปี 2557 แรงสั่นสะเทือนส่งผลถึงตึกสูงในกรุงเทพฯ ด้วยเช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างในไทย โดยเฉพาะอาคารเก่า ที่แม้จะมีการออกแบบรับแรงสั่นสะเทือนแล้ว ควรพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดจากภัยแผ่นดินไหวด้วย
CPAC บริษัทในเครือเอสซีจี ซึ่งร่วมทุนกับ SB&M ได้นำความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีซ่อมแซมโครงสร้างของ SB&M มาต่อยอดธุรกิจ Lifetime Solution แบบครบวงจร เพื่อให้บริการงานก่อสร้างในไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบ ไปจนถึงซ่อมแซม เสริมกำลัง และป้องกันความเสียหายของโครงสร้างในระดับลึก
“เราไม่ได้มองแค่การซ่อมเมื่อเกิดความเสียหาย แต่คือการยืดอายุ และทำให้อาคาร-โครงสร้างพร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหว” — นายสุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ กล่าว

เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น สู่การประยุกต์ใช้ในไทย
ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีประสบการณ์ในการรับมือแผ่นดินไหวมากที่สุดในโลก และ SB&M ก็ถือกำเนิดจากสองบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ SHO-BOND ซึ่งมีความเชี่ยวชาญวัสดุซ่อมแซมระดับจุลภาค และ Mitsui กลุ่มธุรกิจธุรกิจเทรดดิ้งและการลงทุนระดับโลก ที่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในการเสริมความแข็งแรงและซ่อมแซมโครงสร้างขนาดใหญ่หลังเหตุภัยพิบัติ นอกจากความเชี่ยวชาญวัสุดุซ่อมแซมระดับจุลภาค SB&M ยังมีความชำนาญแบบเจาะลึกทั้งด้านเทคโนโลยี วัสดุศาสตร์ และการพัฒนานวัตกรรมซ่อมแซม โดยเฉพาะใน 3 ด้านหลัก:
การร่วมทุนในครั้งนี้ จึงเป็นการนำความรู้และจุดแข็งของทั้ง SB&M และ Mitsui มาต่อยอดผ่านบริการ 5 กลุ่มหลักของ CPAC-SB&M ได้แก่:
- การตรวจประเมินสุขภาพโครงสร้างด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
- การซ่อมแซมและบำรุงรักษาตามมาตรฐานวิศวกรรม
- การเสริมกำลังโครงสร้างให้รองรับแรงสั่นสะเทือนได้มากขึ้น
- การป้องกันสนิมและการกัดกร่อน เพื่อยืดอายุการใช้งาน
- การจัดหาวัสดุนวัตกรรมที่ออกแบบเฉพาะสำหรับงานซ่อมแซม

กรณีศึกษา: การฟื้นฟูหลังแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น
หากถามว่า หัวใจสำคัญของงานซ่อมแซม ป้องกันอาคารคืออะไร คำตอบที่มาเป็นอันดับแรกเลยคือ การตรวจประเมินความเสียหายอย่างละเอียด ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพราะต้องทราบต้นตอและขอบเขตของความเสียหายก่อน ต่อจากนั้นจึง เลือกใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การสแกนโครงสร้าง (Structural Scanning), การวิเคราะห์ด้วยแบบจำลอง 3 มิติ (BIM), หรือ AI วิเคราะห์ความผิดปกติวิเคราะห์ว่าโครงสร้างยังปลอดภัยหรือไม่ ควรซ่อมแซมหรือรื้อบางส่วน
ต่อจากนั้นคือ การวางแผนและออกแบบการซ่อมแซมอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยระหว่างซ่อม, อายุการใช้งานในอนาคต และต้นทุน การเลือกใช้วัสดุและวิธีการซ่อมที่เหมาะกับประเภทความเสียหาย เช่น คอนกรีตร้าว, เหล็กเป็นสนิม, ฐานรากทรุดตัว โดยต้องมีวิศวกรโครงสร้างหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าร่วม
หลังจากนั้นคือ การดำเนินการซ่อมแซมด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ใช้ทีมช่างหรือผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ มีการควบคุมคุณภาพงาน (QC) และความปลอดภัยระหว่างทำงาน สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ การบำรุงรักษาและติดตามผลระยะยาว ไม่ใช่แค่ซ่อมแล้วจบ แต่ต้องมีแผนบำรุงรักษาระยะยาว เช่น การตรวจสอบประจำปี ติดตั้งระบบติดตามโครงสร้าง เช่น IoT sensor ตรวจจับแรงสั่นสะเทือน ความชื้น การทรุดตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียหายซ้ำ และยืดอายุอาคาร
หนึ่งในผลงานเด่นของ SB&M คือ การฟื้นฟูสะพานและโครงสร้างริมทางด่วนในเมืองคุมาโมโตะ หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2559 ทีมงานของ SB&M สามารถเร่งตรวจสอบจุดร้าว ปรับปรุงฐานราก และเสริมกำลังสะพานให้กลับมาใช้งานได้ในเวลาอันสั้น พร้อมเพิ่มการป้องกันแรงสั่นในอนาคต
เทคโนโลยีเดียวกันนี้กำลังถูกนำมาประยุกต์ใช้กับโครงสร้างในประเทศไทย เช่น อาคารสูง คอนโดมิเนียม อาคารราชการ โรงพยาบาล สะพานขนาดใหญ่ ไปจนถึงโครงสร้างสาธารณูปโภค

จาก “ซ่อมแซม” สู่ “การลงทุนเพื่อความปลอดภัยระยะยาว”
ในยุคที่โครงสร้างเก่าและภัยธรรมชาติเพิ่มความเสี่ยงให้เมืองไทย การเลือก “ซ่อมแซม” แบบมืออาชีพจึงไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่คือการวางระบบความปลอดภัยของสิ่งก่อสร้าง โครงการต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
CPAC-SB&M จะนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่มี มายกระดับการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ในการดูแลโครงสร้างสำคัญทั่วประเทศ ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีระดับโลก และวัสดุซ่อมแซมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสภาพแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียน
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้รับรางวัล Climate Action Leader Awards ในงาน Climate Action Forum ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบโดย AFMA (Agricultural and Food Marketing Association for Asia and the Pacific – UN FAO) องค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาล ภายใต้การกำกับของ UN FAO (องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ)

โดยธนาคารยูโอบี ประเทศไทยได้รับรางวัลจากการดำเนินโครงการ GreenTech Accelerator (GTA) ประจำปี 2567 โดยยูโอบี ฟินแล็บ (UOB FinLab) ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจ กรีนเทค (GreenTech) สำหรับการนำร่องนวัตกรรมโซลูชันที่ก่อให้เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืนและฟื้นฟูสภาพแวดล้อม โดยมี นายบัลลังก์ ว่องธวัชชัย Head of Digital Engagement and FinTech Innovation และ นางสาวชัชศรัณย์ คมน์อนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ตัวแทนธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เป็นผู้แทนรับมอบรางวัลจากนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

งาน Climate Action Forum จัดขึ้น ณ องค์การสหประชาชาติ ประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อรวมพลังพันธมิตรหลากหลายภาคส่วน จากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมเพื่อร่วมกันผลักดันนโยบายและภารกิจความยั่งยืนด้านการฟื้นฟูสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 ในเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ภายใต้กลุ่ม BDMS ยืนยันเจตนารมณ์ในการยกระดับการดูแลผู้ป่วยประกันสังคมอย่างยั่งยืน ด้วยวิสัยทัศน์ “รักษาอย่างเข้าถึง ดูแลอย่างเข้าใจ” พร้อมขับเคลื่อนบริการด้วยแนวคิด “Value-Based Healthcare” การออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล เพื่อส่งมอบการดูแลที่มีคุณภาพ ภายใต้มาตรฐานทางการแพทย์ และการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมประชากรกว่า 400,000 คนในย่านลาดพร้าว โชคชัย 4 วังหิน และรัชดา

นพ.นพรัตน์ โง้วจุงดี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 กล่าวว่า "วิสัยทัศน์ของเราคือการเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการสุขภาพทุกสิทธิ์ ด้วยความเข้าใจและการเข้าถึงที่แท้จริง โดยยึดหลัก Value-Based Healthcare เป็นแกนกลางในการพัฒนาบริการ พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Telecare และ Health Up Application เข้ามาเสริมประสิทธิภาพ เพื่อสร้างประสบการณ์การรักษาที่รวดเร็ว สะดวก และครอบคลุมทุกมิติของผู้ป่วย
เราเชื่อว่าสุขภาพที่ดีคือสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรเข้าถึงได้ โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 จึงเดินหน้ายกระดับระบบบริการ ตั้งแต่การจัดโครงสร้างบริการ การนัดหมายล่วงหน้า การลดระยะเวลารอคอย ไปจนถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
พร้อมทั้งปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร 'We Before Me' เพื่อให้ทุกคนในทีมเห็นความสำคัญของผู้ป่วยและเพื่อนร่วมทีมเหนือกว่าตัวเอง เราเชื่อว่าการบริการที่ดี เริ่มจากหัวใจที่ใส่ใจจริง ไม่ใช่เพียงกระบวนการที่เป็นระบบ และเรามุ่งมั่นที่จะทำให้เปาโล โชคชัย 4 เป็นต้นแบบโรงพยาบาลที่ประชาชนไว้วางใจ ภายใต้หลักการ ‘เข้าถึงได้ ใส่ใจทุกสิทธิ์ และยั่งยืนอย่างแท้จริง’"

การพัฒนาโครงสร้างบริการเพื่อการดูแลที่เข้าถึงได้จริง
ในปี 2565 โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 ได้เปิดอาคารใหม่ (อาคาร 5) เพื่อรองรับผู้ประกันตนอย่างครบวงจร พร้อมพัฒนารูปแบบการให้บริการ (Patient Journey) ภายใต้แนวคิด Holistic Care และ Empathic Care เน้นการดูแลผู้ป่วยอย่างรอบด้านและด้วยความเข้าใจ เสริมด้วยนวัตกรรมดิจิทัล เช่น ระบบนัดหมายออนไลน์ การตรวจสอบสิทธิ์ และการติดตามผลการรักษาผ่านแอปพลิเคชัน HealthUp เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา

ยกระดับบริการจาก “หัวใจ” สู่ “ระบบ”
การปรับปรุงโครงสร้างบริการ เช่น การแยกจุดคัดกรอง OPD/IPD การพัฒนาระบบนัดหมายล่วงหน้า และการอบรมบุคลากร ล้วนดำเนินไปตามแนวคิด Patient-Centric Care เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ป่วยตั้งแต่ก้าวแรกที่มาใช้บริการ
นางเกษร พันธุ์เจริญศิลป์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 กล่าวเสริมว่า “เรามองว่าความยั่งยืนของการให้บริการสุขภาพ ต้องมาจากการลงทุนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาทรัพยากรบุคลากร และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย ลดระยะเวลาการรอคอย และเพิ่มความพึงพอใจอย่างเป็นรูปธรรม
ด้วยบทบาทในการดูแลประชากรในเขตลาดพร้าวและพื้นที่ใกล้เคียงกว่า 400,000 คน รวมถึงผู้ประกันตนในระบบกว่า 120,000 สิทธิ์ต่อปี เราจึงเดินหน้าขยายการเข้าถึงบริการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ
เราเชื่อมั่นว่า ‘คุณภาพของบริการ’ ต้องเติบโตไปพร้อมกับ “คุณภาพของการรับฟัง” จึงได้วางระบบรับฟังความคิดเห็นผ่าน QR ‘You Say’ และ Leadership Walkaround เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยส่งเสียงสะท้อนอย่างเป็นระบบ และเรานำทุกข้อเสนอแนะมาวิเคราะห์และต่อยอดสู่การพัฒนาบริการจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้รับบริการทุกคน"
ความชำนาญการเฉพาะทาง สร้างประสบการณ์การรักษาที่แตกต่าง
ปัจจุบัน โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 ให้บริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 2,000 ราย/วัน และผู้ป่วยใน 120 ราย/วัน พร้อมด้วยศูนย์เฉพาะทาง ได้แก่ ศูนย์ทางเดินอาหาร, ศูนย์ศัลยกรรมทรวงอก และศูนย์เวชศาสตร์ครอบครัว อีกทั้งมีศักยภาพในการรักษาโรคซับซ้อนด้วยเทคโนโลยี MIS (Minimally Invasive Surgery) การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก ช่วยลดระยะเวลาพักฟื้นและค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขั้น

นางสมฤพร ภิญญาคง ผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 กล่าวว่า “การดูแลผู้ป่วยเฉลี่ยวันละ 1,800 - 2,000 คน เป็นภารกิจที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องดูแลผู้ป่วยในทุกระดับความเร่งด่วน โรงพยาบาลจึงให้ความสำคัญกับ การเปลี่ยนระบบ – พัฒนาทีม – ใส่ใจจากหัวใจ ควบคู่กัน เราวางแผนกระบวนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ อบรมทีมพยาบาลทั้งในด้านทักษะวิชาชีพและการสื่อสารที่เข้าใจผู้ป่วย เพื่อให้เกิดการดูแลที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรที่สุด นอกจากนี้ เรายังนำระบบ EDS (Excellent Dedication Service) มาใช้เพื่อ ยกระดับคุณภาพการบริการ อย่างต่อเนื่อง สร้างความไว้วางใจในทุกจุดสัมผัสบริการ และเราภูมิใจที่โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 ได้รับบทบาทสำคัญในฐานะ ICU HUB ของเครือโรงพยาบาลเปาโล ทั่วกรุงเทพฯ ด้วยความพร้อมทั้งทีมแพทย์ เครื่องมือที่ทันสมัย และมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยวิกฤตระดับสูง”
“แม้เราจะยังไม่สามารถตอบสนองได้ทุกความคาดหวังในทันที แต่ทุกทีมมีเป้าหมายเดียวกัน คือ 'ให้การดูแลที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้' ด้วยหัวใจที่เข้าใจและตั้งใจจริง เพื่อให้ผู้ป่วยสัมผัสได้ถึงความใส่ใจอย่างแท้จริง"

มุ่งมั่นสู่การเป็นโรงพยาบาลที่ประชาชนไว้วางใจ
โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพสถานพยาบาล (HA) และรางวัลสถานพยาบาลดีเด่นในระบบประกันสังคม ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลัก "ใส่ใจทุกสิทธิ์ และเข้าถึงได้จริง" เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในชุมชนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
เพราะเราเชื่อว่า สุขภาพที่ดีเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 จึงพร้อมยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในการส่งมอบการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแรง เข้าถึงได้ และยั่งยืนในทุกมิติ
EXIM BANK ประเมินแม้สหรัฐฯ เลื่อน Reciprocal Tariffs ออกไป 90 วัน แต่พบว่าระยะสั้น ตลาดการเงินยังแปรปรวน ส่วนตลาดส่งออกได้แรงบวกจาก Panic Buying ขณะที่ระยะถัดไป เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลต่อเนื่องถึงไทย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นผ่าน 4 แนวทางการปรับตัว ได้แก่ เข้าถึงคู่ค้าของตนเอง เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เข้าสู่ตลาดใหม่ และเข้าใจสถานการณ์ให้ถ่องแท้
ตลาดการค้าโลกบรรเทาจากภาวะตื่นตระหนกหลังสหรัฐฯ เลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ออกไป 90 วัน หรือถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 เพื่อให้แต่ละประเทศมีเวลาเจรจาต่อรองผลประโยชน์กับสหรัฐฯ โดยตรง ก่อนที่สหรัฐฯ จะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะใช้มาตรการดังกล่าวกับแต่ละประเทศอย่างไร โดยปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนติดต่อและเจรจา ซึ่งไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย (Worst Case Scenario) ที่อาจเกิดขึ้น โดยสถานการณ์และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
ระยะสั้น...ตลาดการเงินแปรปรวน แต่ตลาดส่งออกได้แรงบวกจาก Panic Buying
ตลาดการเงินอ่อนไหวและผันผวนจากความไม่มั่นใจในนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งมาตรการของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาสร้างความตื่นตระหนกกับตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตั้งแต่ตลาดหุ้น ค่าเงิน และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำต้องเผชิญความผันผวน สังเกตได้จากดัชนีวัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Volatility Index: VIX) ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 ที่ปรับสูงขึ้นแตะระดับ 50 จุด สูงสุดในรอบ 31 เดือน ขณะที่ U.S. Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบสกุลเงินหลักของโลก อ่อนค่าลงแตะระดับ 98 จุด ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน
ภาคส่งออกได้แรงบวกจากความต้องการซื้อสินค้าในภาวะตื่นตระหนกหรือ Panic Buying เนื่องจากผู้นำเข้าและผู้บริโภคเร่งซื้อสินค้าเพื่อกักตุนก่อนที่ราคาสินค้าจะปรับขึ้นหลัง Reciprocal Tariffs บังคับใช้ และทดแทนสินค้าจากจีนที่ถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นแล้วอย่างน้อย 145% ส่งผลให้การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่ขยายตัวถึง 25% อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และอุปกรณ์สื่อสารและส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม ต้องพึงระวังว่าเมื่อตลาดมีความชัดเจนมากขึ้นในระยะข้างหน้า ความต้องการสินค้าดังกล่าวอาจลดลงแบบกะทันหันได้ เนื่องจากไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง (Real Demand)
ระยะถัดไป...เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลต่อเนื่องถึงไทย
เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.8% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3.3% โดยมีมาตรการ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันกับการที่องค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าปริมาณการค้าโลกจะหดตัว 0.2% ในปีนี้ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.7% ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้เริ่มมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกัน อาทิ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือขยายตัว 1.8% จากเดิม 2.9% และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับเหลือ 2.0% จากเดิม 2.9%
การส่งออกไทยได้รับผลกระทบแน่นอนในระยะข้างหน้า แต่ความรุนแรงยังคงขึ้นกับผลสรุปสุดท้ายของมาตรการ Reciprocal Tariffs ที่สหรัฐฯ จะใช้กับไทย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจและการค้าโลกปี 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอค่อนข้างแน่นอนจากสถานการณ์ปัจจุบัน จะส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยในเบื้องต้น EXIM BANK ประเมินว่าในกรณีไทยถูกเก็บ 10% เช่นเดียวกับทุกประเทศ การส่งออกไทยปีนี้จะยังขยายตัวได้เล็กน้อยราว 0.5-1.5%
แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ
EXIM BANK พร้อมร่วมเดินหน้าหา Solution ในการนำพาผู้ประกอบการส่งออกของไทยก้าวข้ามผ่านวิกฤตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอย่าง Foreign Exchange Forward Contracts และบริการประกันการส่งออก ที่จะทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงและรุกตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ ไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่าง EXIM Shield Financing ที่สนับสนุนสินเชื่อพร้อมเครื่องมือประกันการส่งออก และ EXIM-DITP Empower Financing ที่สนับสนุนสินเชื่อหมุนเวียนสำหรับการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของ DITP นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเปิด Export Clinic สำหรับ Update สถานการณ์สำคัญและให้คำแนะนำเบื้องต้นที่จำเป็นกับผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถเข้าใจสถานการณ์และบริบทการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที
โดย: ฝ่ายวิจัยธุรกิจ
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ (ที่ 4 จากขวา) พร้อมด้วยคุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ที่ 4 จากซ้าย) และคุณไพบูลย์ อรุณประสบสุข กรรมการ (ที่ 3 จากขวา) และทีมงานบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เข้าเยี่ยมชมธุรกิจ บริษัท ซีเอ็มเอช ไลฟ์ ไซเอ็นซ์ จำกัด โดยมีคุณรัฐวิชญ์ สิริอมรสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ที่ 5 จากซ้าย) คุณณัฐสรวง สิริอมรสิทธิ์ กรรมการ (ที่ 5 จากขวา) และทีมงานให้การต้อนรับ เมื่อเร็วๆนี้