December 06, 2025

เปิดวิสัยทัศน์ นายกฯ แพทองธาร ร่วมผนึกพลังรัฐ-เอกชน ภารกิจพลิกฟื้นเศรษฐกิจ Mission Thailand เพื่อสร้างอนาคตไทยโตยั่งยืน

เอไอเอ ประเทศไทย จัดงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2024 เพื่อมอบรางวัลเกียรติยศให้แก่ผู้บริหารหน่วยและตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอที่มีผลงานยอดเยี่ยมเป็น “ที่สุดแห่งปี 2567” หรือ “Of the Year 2024” รวมถึงยังได้มีการมอบคุณวุฒิต่าง ๆ เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ตัวแทน โดยในปีนี้มีผู้บริหารหน่วยและตัวแทนเข้าร่วมงานทั้งสิ้น 4,000 ท่าน นอกจากนี้ ผู้พิชิตคุณวุฒิ MDRT 2024 มีจำนวนมากถึง 3,535 ท่าน ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้เอไอเอ สามารถรักษาแชมป์อันดับ 1 บริษัทที่มีจำนวน MDRT มากที่สุดในประเทศไทยและระดับโลก สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ความสามารถ และความมุ่งมั่นของพลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ที่ต้องการส่งมอบความคุ้มครองและความมั่นคงทางด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงินให้แก่คนไทยทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’

 

ในงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2024 ได้รับเกียรติจาก คุณวสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นประธานในพิธี พร้อมขึ้นกล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้บริหารหน่วยและพลังตัวแทนที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ อีกทั้งยังได้รับเกียรติจาก คุณหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่ได้ร่วมส่งข้อความแสดงความยินดีและยกย่องถึงความสามารถของพลังตัวแทนทุกท่าน นอกจากนี้ คณะผู้บริหารจากกลุ่มบริษัทเอไอเอ และเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย คุณตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับภูมิภาค ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการอิสระ กลุ่มบริษัทเอไอเอ และประธานที่ปรึกษากรรมการ เอไอเอ ประเทศไทย คุณไช เวย บิงประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต กลุ่มบริษัทเอไอเอ คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย คุณอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย และคุณประกิตติ บุณยเกียรติ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย ยังได้ขึ้นกล่าวยินดีและร่วมมอบรางวัล “Of the Year 2024” แก่ผู้บริหารหน่วยและพลังตัวแทน ทั้งนี้ งาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2024 ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้แก่พลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชัน ฮอลล์ 5-7 เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

 

สำหรับตัวแทนผู้พิชิตคุณวุฒิซึ่งได้รับตำแหน่ง “ที่สุดแห่งปี 2567” หรือ “Top Of the Year 2024” ทั้งสิ้น 9 ท่าน ได้แก่

  • Top District Manager Up of the Year 2024 – นพ. โสภณ นันทาภรณ์ศักดิ์ ผู้จัดการภาค ทริปเปิ้ล เอ
  • Top Unit Manager Up (Direct Team & IO1) of the Year - คุณศิวพงษ์ สุขใส ผู้จัดการภาคอาวุโส

เพชรอันดามัน 97

  • Top Unit Manager of the Year - คุณสิทธิชัย กัลยาศิริ ผู้จัดการหน่วย นำทอง 1199
  • Top New Unit Manager of the Year 2024 – คุณอิทธิพร วิเศษวงศ์ ผู้จัดการภาค เพชรอันดามัน 107
  • Top Assistant Unit Manager of the Year 2024 – คุเกียรติศักดิ์ มีศรี ผู้จัดการหน่วย เพชรอันดามัน 108
  • Top New Assistant Unit Manager of the Year 2024 – คุณนภาพร ผิวสลับ ผู้จัดการหน่วย

เพชรอันดามัน 118

  • Top Agent of the Year 2024 - คุณเพชรรัตน์ รงค์บัญฑิต หน่วย เนอวานา
  • Top Agent (Cases) of the Year 2024 - คุณสุดารัตน์ ปิยขจรโรจน์ หน่วย แม็กซ์เวลท์ 1
  • Top Agency Leader (Individual) Of the Year 2024 - คุณสุพร มณีหยกผู้จัดการภาคอาวุโส เวลธ์พาทธ์ 2

 

คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับสุดยอดพลังตัวแทนทั้ง 4,000 ท่าน ที่สามารถพิชิตรางวัลไปได้ในปีนี้ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่ได้แสดงให้เห็นตลอดปีที่ผ่านมา นำมาซึ่งความสำเร็จที่ได้รับในวันนี้ ทุกท่านเปรียบเสมือนฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ความสำเร็จ ทั้งในด้านการเติบโต และด้านการสร้างตัวแทนใหม่ พร้อมทั้งเป็นพลังขับเคลื่อนให้เอไอเอ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในปี 2567 ที่ผ่านมา ในปีนี้เรายังมีเป้าหมายร่วมกัน คือสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ตลอดจนมุ่งสร้างตัวแทนใหม่ที่มีคุณภาพ เพื่อร่วมกันส่งต่อคุณค่าและความมั่นคงทางด้านชีวิต สุขภาพ และการเงินให้แก่ลูกค้าของเรา ตามพันธกิจของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ที่สำคัญผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภาพแห่งความสำเร็จในวันนี้ จะส่งต่อแรงบันดาลใจไปสู่พลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ทั้งหมดกว่า 55,000 คน ซึ่งเราเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ให้ยังคงรักษาความเป็นที่หนึ่ง และพร้อมเดินหน้าส่งมอบความคุ้มครองผ่านการวางแผนชีวิต สุขภาพ และการเงิน เพื่อให้คนไทยทั่วประเทศมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน”

เอสซีจี นำเวที INTERCEM Asia 2025 งานประชุมผู้ผลิตและผู้เกี่ยวข้องในเชนอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ระดับโลก ปฏิวัติวงการปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกาศรอบไฟนอลเวที ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID” โจทย์ที่ 2 “Digital ID for Foreigners” ทีม AINU เจ้าของโซลูชัน TH Welcome ID ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Digital ID สำหรับชาวต่างชาติในไทย ให้เข้าถึงบริการและยืนยันตัวตนกับทั้งรัฐและเอกชนได้อย่างสะดวก น่าเชื่อถือใช้เทคโนโลยี blockchain เพื่อความปลอดภัย ตรวจสอบได้ — ด้วย concept สสส = สะดวก สบายใจและสอดรับความมั่นคง เป็นตัวตนดิจิทัลที่ทุกฝ่ายวางใจ ชนะใจกรรมการ คว้ารางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมโอกาสในการต่อยอดโซลูชัน Digital ID สำหรับคนต่างด้าวสู่การใช้งานจริง ยกระดับ Digital ID ไทยเพื่อธุรกรรมออนไลน์ที่ทุกคนมั่นใจ!

นางสาวจิตสถา ศรีประเสริฐสุข รองผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า เวที “ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID”ถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนา ผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีใจรักในนวัตกรรม มาร่วมกันออกแบบโซลูชันที่จะเข้ามาพลิกโฉมการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับระบบที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพ เกิดการต่อยอด สู่การใช้งานได้จริง และขยายผลได้ในอนาคต เพราะ ETDA เชื่อมั่นว่าพลังความร่วมมือและไอเดียสร้างสรรค์จากที่นี่ จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยมีระบบ Digital ID ที่รองรับคนต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นในการเข้าถึงบริการทั้งภาครัฐและเอกชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น

สำหรับการแข่งขัน ETDA Hackathon ภายใต้โจทย์ที่ 2 “Digital ID for Foreigners” นี้ ETDA เปิดกว้างให้ผู้เข้าแข่งขันได้ออกแบบและพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนต่างด้าวในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตน การเข้าถึงข้อมูลและบริการที่จำเป็น การทำธุรกรรมทางการเงิน การใช้บริการด้านสุขภาพ หรือแม้แต่การติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐ สิ่งที่เรามองหาคือโซลูชันที่ไม่เพียงแต่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ต้องคำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (UX/UI) ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy & Security) การปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Compliance) และที่สำคัญคือศักยภาพในการนำไปพัฒนาต่อยอดและใช้งานได้จริง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เอื้ออำนวย และเป็นมิตร โดยเส้นทางการแข่งขันสำหรับโจทย์ที่ 2 นี้ เริ่มเปิดรับสมัครพร้อมกับโจทย์แรก และได้รับความสนใจจากทีมผู้พัฒนาและนักออกแบบเป็นจำนวนมาก ก่อนผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจนได้ 10 ทีมสุดท้าย ได้แก่ 1. ทีม AINU 2. ทีม BCI : Human Right คนนี้แหละใช่จริงจริง 3. ทีม Davoy 4. ทีม Global Helpcare Solutions 5. ทีม InDistinct 6. ทีม keroro 7. ทีม Lorem Dimsum 8. ทีม Onochayama 9. ทีม Zimplexity และ 10. ทีม แพวบุ้คต๊ะฟ้า ซึ่งทั้ง 10 ทีมนี้ได้เข้าร่วมกิจกรรม Pre-Hack Workshop ที่ ETDA จัดขึ้น โดยเฉพาะ Workshop ครั้งที่ 3 ที่เน้นเนื้อหาสำคัญและ Use Cases ที่เกี่ยวข้องกับ Digital ID for Foreigners โดยตรงจากผู้เชี่ยวชาญของ ETDA สำนักงาน กสทช. และสำนักสุขภาพดิจิทัล กระทรวงสาธารณสุข ควบคู่กับการให้คำปรึกษาแบบ One-on-One เพื่อลับคมไอเดียและเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ก่อนเข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันนี้ (17 พฤษภาคม 2568) ที่ทุกทีมได้นำเสนอผลงาน (Pitching) ต่อหน้าคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้บริหารจาก ETDA, สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, สำนักสุขภาพดิจิทัล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และพันธมิตรภาคเอกชน สะท้อนถึงการบูรณาการมุมมองที่หลากหลายเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรมอย่างแท้จริง

หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จากแนวคิดโซลูชันที่หลากหลายและตอบโจทย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนต่างด้าวตั้งแต่การลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล การเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ไปจนถึงการสร้างความมั่นใจในการทำธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น ในที่สุดผลการแข่งขัน ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID โจทย์ที่ 2 “Digital ID for Foreigners” รอบไฟนอล  ก็ได้ทีมผู้ชนะคว้ารางวัลชนะเลิศ คือ ทีม AINU กับผลงาน “TH Welcome IDDigital ID สำหรับชาวต่างชาติในไทย ให้เข้าถึงบริการและยืนยันตัวตนกับทั้งรัฐและเอกชนได้อย่างสะดวก น่าเชื่อถือ ใช้เทคโนโลยี blockchain เพื่อความปลอดภัย ตรวจสอบได้ — ด้วย concept สสส = สะดวก สบายใจ และสอดรับความมั่นคง เป็นตัวตนดิจิทัลที่ทุกฝ่ายวางใจ คว้าเงินรางวัล 100,000 บาท ตามมาด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีม ZIMPLEXITY กับผลงาน FDID (Foreign Digital ID) แพลตฟอร์มยืนยันตัวตนดิจิทัลสำหรับคนต่างด้าว ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ปลอดภัย เชื่อมต่อภาครัฐ-เอกชน ลดการใช้เอกสาร ต่อยอดบริการเปิดบัญชี ซิมมือถือ และสุขภาพ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ ทีม ONOCHAYAMA จากผลงานระบบ Onochayama Identity เป็นโซลูชันเพื่อการกระจายศูนย์การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าและลายนิ้วมือสำหรับ Digital ID โดยเชื่อมต่อข้อมูลสำหรับเจ้าหน้าที่และผู้ใช้แรงงานต่างด้าว พร้อมจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลเข้ารหัส เพื่อความปลอดภัย ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท โดยทุกทีมจะได้รับประกาศนียบัตร (e-Certificate) จาก ETDA พร้อมโอกาสในการต่อยอดนวัตกรรมสู่การใช้งานจริง โดย ETDA เตรียมจัดกิจกรรม “Partnership Meeting” เพื่อให้ทีมผู้ชนะจากทั้งสองโจทย์การแข่งขัน ได้ร่วมหารือแนวทางการพัฒนาและต่อยอดผลงานกับเหล่าพันธมิตรโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน และกิจกรรม “Business Matching” เพื่อสร้างเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงโอกาสในการนำเสนอผลงานบนเวที Tech Showcase Stage ในงาน Techsauce Global Summit 2025 อีกด้วย

ในฐานะที่ ETDA เป็นหน่วยงานที่มุ่งมั่นส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลของไทย โดยเน้นการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน (Co-Creation Regulator) เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า พลังแห่งความร่วมมือและสุดยอดไอเดียที่เกิดขึ้นจากเวที ETDA Hackathon ทั้งสองโจทย์ในปีนี้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้าน Digital ID ที่แข็งแกร่ง ทันสมัย น่าเชื่อถือ และครอบคลุมผู้ใช้งานทุกกลุ่ม รวมถึงคนต่างด้าว ผลลัพธ์ที่ได้จากการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซลูชันสำหรับ Digital ID for Foreigners จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ชัดเจนของการประยุกต์ใช้ Digital ID เพื่ออำนวยความสะดวก สร้างความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ ETDA พร้อมสนับสนุนและทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้นวัตกรรมเหล่านี้สามารถนำไปใช้งานได้จริง สร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน”
นางสาวจิตสถา ศรีประเสริฐสุข กล่าวทิ้งท้าย

การแข่งขัน ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID ทั้งสองโจทย์ได้สิ้นสุดลงแล้วด้วยความสำเร็จอย่างงดงาม ETDA ขอขอบคุณผู้เข้าแข่งขันทุกทีม พันธมิตรทุกองค์กร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ร่วมกันจุดประกายความคิดและปลดล็อกอนาคต Digital ID ของประเทศไทย โปรดติดตามกิจกรรมและโครงการดีๆ จาก ETDA ที่จะช่วยยกระดับชีวิตดิจิทัลของคนไทยให้มั่นคงและปลอดภัยได้ทางเฟซบุ๊ก ETDA Thailand (www.facebook.com/ETDA.Thailand)

ดีป้า จัดกิจกรรมการตัดสินดิจิทัลสตาร์ทอัพ ระยะ Idea Stage รอบ Final Pitching และกิจกรรมต่อยอดการสร้างเครือข่ายระดับประเทศ เฟ้นหาทีมดิจิทัลสตาร์ทอัพดาวรุ่ง เพื่อรับการส่งเสริมและสนับสนุนผ่านมาตรการ depa Digital Startup Fund เพื่อเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า จัดกิจกรรมการตัดสินดิจิทัลสตาร์ทอัพ ระยะ Idea Stage รอบ Final Pitching และกิจกรรมต่อยอดการสร้างเครือข่ายระดับประเทศ (Networking) พร้อมด้วยงานแถลงข่าวการสนับสนุนดิจิทัลสตาร์ทอัพผ่านมาตรการ depa Digital Startup Fund ณ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (สำนักงานใหญ่) ซอยลาดพร้าว เขตจตุจักร 10 โดยมี นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล ดีป้า เป็นประธานเปิดกิจกรรม และ ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้นเข้าร่วมกิจกรรม โดยปีนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมตัดสินดิจิทัลสตาร์ทอัพ ระยะ Idea Stage ทั้งสิ้น 120 ทีมจาก 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ก่อนคัดเหลือ 45 ทีมผ่านเข้าสู่รอบ Final Pitching ในครั้งนี้ และคัดเลือกทีมที่มีศักยภาพโดดเด่น 26 ทีมได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจาก ดีป้า ผ่านมาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล (depa Digital Startup Fund)

 

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวในการแถลงข่าวฯว่า การส่งเสริมการพัฒนาดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยในทุกระยะการเติบโตถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่ ดีป้า ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกการขับเคลื่อนสำคัญ ประกอบด้วย Build Platform: การสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพ (Startup Ecosystem) ที่ส่งเสริมการทำงานในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาแหล่งทุน การมอบมาตรการสนับสนุนจากทางภาครัฐเพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุน รวมไปถึงการจัดทำบัญชีบริการดิจิทัลเพื่อเป็นส่วนช่วยในการเข้าถึงตลาดภาครัฐและภาคเอกชน Nurture Talents: การผลักดันให้เกิดกระบวนการสร้างดิจิทัลสตาร์ทอัพในทุกระยะให้มีศักยภาพการเติบโตเชิงธุรกิจรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี Support Digital Product & Service Design: การสนับสนุนดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยในสาย Deep Tech เพื่อเพิ่มศักยภาพและต่อยอดสู่การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในด้านต่าง ๆ ตอบโจทย์ภาคเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และ Support Prototype and Commercialize Innovation: การส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดผลิตภัณฑ์/บริการดิจิทัลสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ โดยส่งเสริมให้เกิดการทดสอบทดลองบน Maker Space แบบครบวงจร ขนาด 10,000 ตารางเมตร

 

สำหรับกิจกรรมการตัดสินดิจิทัลสตาร์ทอัพ ระยะ Idea Stage นับเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของไทย เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้สามารถแปลงแนวคิดเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ สามารถเติบโต และพร้อมแข่งขัน ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ อีกทั้งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทย ขณะที่กิจกรรม Final Pitching นอกจากจะเป็นเวทีแสดงศักยภาพของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และเฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพโดดเด่น รับทุนสนับสนุนทีมละ 200,000 บาท เพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ หรือดำเนินการจดจัดตั้งธุรกิจแล้ว ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่ายระหว่างสตาร์ทอัพ นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญในสายดิจิทัลที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจในอนาคต ซึ่งการดำเนินงานทั้งหมดของ ดีป้า เพื่อเป็นการขับเคลื่อนให้ชุมชนของดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยก้าวไปสู่การเป็นระบบนิเวศที่เข้มแข็ง ก่อให้เกิดการลงทุนและขยายผลในรูปแบบ Born Local Go Global ต่อไปผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

นอกจากนี้ ดีป้า ยังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในการสร้างกระบวนการพัฒนาศักยภาพให้กับดิจิทัลสตาร์ทอัพระยะ Idea Stage ตั้งแต่การพัฒนาแนวคิดธุรกิจ การสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการเชื่อมโยงกับนักลงทุนและตลาด พร้อมกันนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรสำคัญอย่าง บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) (G-Able) ที่สนับสนุนหลักสูตรและการทำ Boot Camp เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกิจและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงอุทยานวิทยาศาสตร์ในแต่ละภูมิภาคที่ให้เกียรติเป็นคณะกรรมการคัดเลือกในรอบภูมิภาคร่วมกับเหล่านักลงทุนจากบริษัท Venture Capital ชั้นนำ และสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ มีประสบการณ์ตรงในการทำธุรกิจ และพร้อมให้คำปรึกษาแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ (ที่ 4 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า พร้อมด้วยนายแพทย์วิรุณ เกียรติคุณรัตน์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์บริการการแพทย์ ร่วมงานแถลงข่าว “BDMS Preventive Vaccine” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลในเครือ BDMS กับบริษัทประกันชีวิตชั้นนำในการจัด “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันอย่างยั่งยืนในกลุ่มผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ณ ห้องประชุมเรเดียน โรงแรมเมอวินพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท เมื่อเร็วๆนี้

 

กรุงเทพประกันชีวิต ใส่ใจและมีเป้าหมายในการสนับสนุนให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของโรค ภาวะแทรกซ้อน และลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในระยะยาว จึงเข้าร่วม “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของกรุงเทพประกันชีวิต สามารถขอรับการบริการฉีดวัคซีนจากโรงพยาบาลเครือบีดีเอ็มเอสได้ในราคาเดียวทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล โดยวัคซีนที่ให้บริการประกอบด้วย

  1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ สำหรับผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป ราคา 500 บาท
  2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 15 ปี ราคา 700 บาท
  3. วัคซีนงูสวัด (2 เข็ม) ราคา 11,500 บาท
  4. วัคซีนปอดอักเสบ 1 เข็ม (Prevnar20) ราคา 3,500 บาท
  5. วัคซีนไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ (2 เข็ม) สำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ราคา 3,900    บาท

 

 ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์ และค่าบริการโรงพยาบาล แต่ไม่รวมค่ายาอื่นๆ และค่ารักษาพยาบาล หรือค่าบริการปรึกษาทางการแพทย์เพิ่มเติม ผู้สนใจสามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาลในเครือ BDMS โดยโทรนัดหมายที่โรงพยาบาลที่ต้องการรับบริการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และแสดงหลักฐานกรมธรรมประกันสุขภาพ หรือ บัตรผู้เอาประกันภัยแก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก่อนรับบริการ โดยมีระยะเวลาการรับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568

ในยุคที่วิกฤตสิ่งแวดล้อมทางทะเลกำลังทวีความรุนแรงทั่วโลก ระบบนิเวศใต้ท้องทะเลของไทยก็กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากการกระทำของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เต่าทะเลเป็นสัตว์อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่อาศัยในท้องทะเลมานานนับล้านปี กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากปัจจัยต่างๆ ทั้งการทำประมงเกินขนาด การท่องเที่ยวที่ขาดความรับผิดชอบ และปัญหาขยะพลาสติกในทะเล แม้ว่าเต่าทะเลจะมีสัญชาตญาณอันน่าทึ่งในการเอาตัวรอด เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างยืนยาว แต่หากไม่มีการอนุรักษ์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง สัตว์ทะเลที่มีคุณค่านี้อาจเหลือเพียงภาพจำในอนาคตอันใกล้

ด้วยพระวิสัยทัศน์อันยาวไกลของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเล็งเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมทางทะเล และได้มีพระราชเสาวนีย์ให้กองทัพเรือดำเนินการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการฟื้นฟูประชากรเต่าทะเลในประเทศไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน สืบเนื่องจากแนวพระราชดำริ ดังกล่าว โครงการ "ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา" ครั้งที่ 51 จึงได้จัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ฐานทัพเรือพังงา จังหวัดพังงา เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน และงานอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากให้คงอยู่คู่ท้องทะเลไทยสืบไป

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวคิดของโครงการว่า "ศาสตร์พระราชาคือหลักแห่งการพัฒนาที่เคารพธรรมชาติ เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นป่า ภูเขา หรือท้องทะเล ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราทั้งสิ้น การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน คือคำตอบของการเอาชนะวิกฤตสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน และเป็นกุญแจสู่การอยู่รอดของโลกในวันข้างหน้า"

ศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดยกองทัพเรือเมื่อปี พ.ศ. 2538 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในโอกาสครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และยังเป็นสถานที่สืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการดูแลระบบนิเวศทางทะเลและสัตว์ทะเลหายาก โดยคณะผู้เข้าร่วมได้รับฟังการบรรยายพิเศษเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล บทบาทของกองทัพเรือในการอนุรักษ์ และกระบวนการดูแลลูกเต่าตั้งแต่ฟักไข่จนถึงการปล่อยกลับสู่ทะเล  ไฮไลท์สำคัญของกิจกรรมคือการที่ผู้เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสปล่อยเต่าทะเลคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งไม่เพียงสร้างความประทับใจแต่ยังปลูกฝังจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ให้แก่เยาวชนและผู้เข้าร่วมทุกคน

จากนั้น คณะผู้เข้าร่วมได้เดินทางไปยังโรงแรมอัปสรา บีชฟร้อนท์ รีสอร์ท แอนด์ วิลล่า เขาหลัก ซึ่งเป็นต้นแบบของการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  โดยมี นางกันทิมา แสงหลี รองกรรมการผู้จัดการ ให้การต้อนรับ และร่วมบรรยายในหัวข้อ "Green Hotel ต้นแบบโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการโรงแรมอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลดการใช้พลาสติก การจัดการของเสีย ไปจนถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศโดยรอบ ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

กิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ "Mind Spa" ซึ่งประกอบไปด้วย การเดินจงกรมภาวนาบนชายหาดเพื่อฝึกสติ และเชื่อมโยงจิตใจกับธรรมชาติ การตักบาตรพระสงฆ์บริเวณสะพานไม้ชายทะเล และการปล่อยปูดำคืนสู่ป่าชายเลนของโรงแรม ซึ่งไม่เพียงเป็นการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตแต่ยังส่งเสริมการฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งอันเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำที่สำคัญ

นอกจากกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม โครงการยังให้ความสำคัญกับมิติด้านการศึกษาและการพัฒนาเยาวชน โดยมีการมอบทุนการศึกษาจากมูลนิธิธรรมดีให้แก่นักเรียนในพื้นที่ และมอบหนังสือจากโครงการ "อมรินทร์อาสา อ่านพลิกชีวิต" เพื่อส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ให้กับโรงเรียนที่มีความต้องการ

การสัมมนาและเวิร์กช็อปเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญ โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมแบ่งปันความรู้ อาทิ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม
ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี และอาจารย์อดุลย์ ดาราธรรม ที่ปรึกษาและอดีตนายกสมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย ผู้คิดค้นนวัตกรรมสื่อการสอนสำหรับเยาวชนในศตวรรษที่ 21 หรือ Interactive Board Game หนึ่งเดียวในโลก เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2030

โครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) คุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย มูลนิธิธรรมดี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพังงา ภายใต้แคมเปญ The Joys of Phangnga ที่มุ่งเน้นกิจกรรมที่สร้างประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่มีความหมาย และได้รับการสนับสนุนหนังสือจากโครงการอมรินทร์อาสาอ่านพลิกชีวิต อมรินทร์กรุ๊ป

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “เคทีซี” ตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำตลาดด้านไลฟ์สไตล์ เดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกในทุกมิติ ด้วยการจับมือกับคลูก (Klook) ผู้นำด้านแพลตฟอร์มการจองกิจกรรมและบริการต่างๆเกี่ยวกับการท่องเที่ยว มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกผู้ที่หลงรักในคาแรกเตอร์โดราเอมอนและผองเพื่อนในงาน “100% DORAEMON & FRIENDS TOUR IN THAILAND” เชื่อมโยงโลกแห่งจินตนาการในวัยเด็กเข้ากับนิทรรศการจริงที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ โดยนิทรรศการครั้งนี้มีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” กล่าวว่า เคทีซีพร้อมมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เพียงซื้อบัตรเข้าชมนิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS TOUR IN THAILAND” ผ่านคลูก (Klook) และใช้คะแนน KTC FOREVER ตั้งแต่ 1,000 คะแนนขึ้นไป แลกรับโค้ดส่วนลดเมื่อจองผลิตภัณฑ์ที่ร่วมรายการสูงสุด 1,400 บาท จากราคาเริ่มต้น 450 บาท หรือใช้คะแนน KTC FOREVER จำนวนเท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ / เซลส์สลิป แลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 13%

ผู้สนใจสามารถซื้อบัตรได้ที่ลิงค์ https://www.klook.com/th/activity/151491-100-doraemon-friends-tour-in-thailand/ หรือแอปพลิเคชัน Klook ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/travel/online-travel-agency/klook-point-redemption 

นิทรรศการดังกล่าวแบ่งเป็น 2 โซน ได้แก่ โซนนิทรรศการและงานศิลปะเต็มรูปแบบ 100% Manga Art Exhibition Hall จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 – วันที่ 22 มิถุนายน 2568Attraction Hall ชั้น 6 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม และโซนกองทัพโดราเอมอนริมน้ำสุดอลังการ 100% Doraemon River Park Exhibition จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 – วันที่ 22 มิถุนายน 2568 ลานริเวอร์ ปาร์ค ชั้น G ศูนย์การค้าไอคอนสยาม

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่  https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

หากคุณมีอาการถ่ายบ่อย ถ่ายเหลว และถ่ายมีมูกเลือดเป็นระยะเวลานานกว่า 4 สัปดาห์ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง หากปล่อยทิ้งไว้ อาจเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีความพร้อมทางด้านทีมแพทย์และเทคโนโลยีในการรักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในฐานะจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของผู้ป่วยทั่วโลก

โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง คือโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของทางเดินอาหาร โดยเฉพาะลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และรูทวารหนัก ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม ความไม่สมดุลระหว่างภูมิคุ้มกันของร่างกาย การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การสูบบุหรี่ และความเครียด ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของทางเดินอาหารเป็นระยะเวลานาน โดยสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยทุกเพศและทุกช่วงวัย ส่วนใหญ่พบในช่วงอายุระหว่าง 30-40 ปี และมักพบในยุโรปและอเมริกามากกว่าในเอเชีย และปัจจุบันพบโรคนี้มากขึ้นในประเทศไทย จากสถิติของ Gastroenterology Advisor ในปี 2566 พบว่ามากกว่า 0.7% ของชาวอเมริกัน ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง และพบได้ในประเทศแถบอเมริกาเหนือมากที่สุดในโลก ในขณะที่ 0.4% เป็นชาวเอเชีย

โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง สามารถแบ่งได้เป็น 2 โรค คือ

  1. โรคลําไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง (Ulcerative Colitis) เกิดบริเวณลำไส้ใหญ่เท่านั้น มักมีอาการถ่ายบ่อย ถ่ายปนมูกหรือเลือดสด ถ่ายไม่สุด ปวดเบ่ง และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ข้ออักเสบ ตาอักเสบ
  2. โรคโครห์น (Crohn’s Disease) สามารถพบได้ทุกส่วนของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งการอักเสบสามารถลุกลามจนลำไส้ทะลุหรืออุดตันได้ มักมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักตัวลดลง มีฝีที่ทวารหนัก อาจพบภาวะทุพโภชนาการ ภาวะซีด หรือโลหิตจาง และอาจเกิดเป็นแผลลึกจนทะลุไปยังอวัยวะใกล้เคียง เช่น ช่องคลอด กระเพาะปัสสาวะ บริเวณผิวหนังรอบทวาร รวมถึงฝีหนองในช่องท้อง หากการอักเสบมีความรุนแรง

คลินิกลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ทางเดินอาหาร ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่มีประสบการณ์การรักษาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รังสีแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านเอกซเรย์และอ่านภาพวินิจฉัย และพยาธิแพทย์ รวมถึงทีมสหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ พยาบาลที่ได้รับการอบรมเฉพาะทาง เภสัชกรที่มีความเชี่ยวชาญในการจ่ายยาที่เหมาะสม นักโภชนาการ และผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีการวินิจฉัยที่ทันสมัย และห้องปฏิบัติการเป็นของตัวเอง ทำให้ผลการตรวจชิ้นเนื้อเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งยังมีโปรแกรมการรักษาเฉพาะบุคคล ทั้งในเรื่องการปรับใช้ยา การปรับพฤติกรรมและอาหาร รวมถึงการส่งเสริมเรื่องโภชนาการ

 

รศ.พญ. สติมัย อนิวรรณน์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร - โรคตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้การดูแลรักษาขั้นตติยภูมิ (Tertiary Care) และมุ่งมั่นพัฒนาไปสู่ระดับจตุตถภูมิ (Quaternary Care) เรามีความพร้อมทางด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่จำเป็นต่อการตรวจรักษาอย่างครบถ้วน รวมถึงมีทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางมากประสบการณ์ที่เข้าใจในทุกความคาดหวังของผู้ป่วย ที่ให้การตรวจ วินิจฉัย และรักษาอย่างแม่นยำและตรงจุด ด้วยความมุ่งหวังที่จะเป็นที่พึ่งและจุดมุ่งหมายอันดับต้น ๆ ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วยทุกท่าน”

นอกจากนี้ ศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและผู้ให้การบริบาลทางการแพทย์ที่เป็นเลิศ ซึ่งให้การดูแลรักษาตามมาตรฐานสากลเทียบเท่ากับโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยังได้รับการกล่าวถึงใน MD Edge วารสารทางการแพทย์ของ The American Gastroenterology Association (AGA) ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร โดยศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการยอมรับในเรื่องการนำเทคนิคและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เป็นแห่งแรก ๆ ในโลกและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็น การส่องกล้องเย็บกระเพาะอาหารแบบไม่ต้องผ่าตัด (Bariatric Endoscopy) ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 44%, การรักษาโรคกรดไหลย้อนโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยเทคนิค Transoral Incisionless Fundoplication (TIF) และการนำเทคโนโลยีการส่องกล้องแบบ Full-Thickness Resection Device (FTRD) มาใช้ในการวินิจฉัยและรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหารในระยะเริ่มต้นโดยไม่ต้องผ่าตัด รวมถึงความสำเร็จในการตรวจพบเนื้องอกขนาดเล็ก ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งในระยะเริ่มต้น เพื่อการวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย ที่ให้บริการคลินิกลำไส้อักเสบเรื้อรัง ภายใต้ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ พร้อมส่งมอบการบริบาลทางการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ด้วยความพร้อมของทีมแพทย์และสหสาขาวิชาชีพ เทคโนโลยี และโปรแกรมการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมุ่งเน้นไปที่การรักษาอาการ ลดการอักเสบ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ป่วย

บลจ.อเบอร์ดีน เปิดตัว "ABALL-TESGX" กองทุนลดหย่อนภาษีน้องใหม่  ลงทุนแบบผสมในหุ้นและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน  ชูจุดเด่น "ปรับพอร์ตการลงทุน" ให้เหมาะสมทุกสภาวะตลาด ผสานมุมมองนักวิเคราะห์ระดับโลกและผู้จัดการกองทุนในประเทศ พร้อมความเชี่ยวชาญการลงทุนด้าน ESG กว่า 30 ปี  เปิดขาย IPO ชนิดหน่วยลงทุน "ABALL-TESGX1" ตั้งแต่ 2-9 ..68  และ "ABALL-TESGX2" รองรับนักลงทุนที่สับเปลี่ยนมาจาก LTF เริ่ม 14 ..นี้  โอกาสลงทุนภายใน 30 มิ..68

นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.อเบอร์ดีน เปิดเสนอขาย "กองทุนเปิด อเบอร์ดีน ออล ซีซันส์ ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ" หรือ "ABALL-TESGX" กองทุนลดหย่อนภาษีกองใหม่ ซึ่งเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) เน้นลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อความยั่งยืนของไทยในสัดส่วนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ในรอบปีบัญชี โดยมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยเพื่อความยั่งยืนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 65% ในรอบปีบัญชี โดยจะพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน

สำหรับนโยบายการลงทุนของกองทุน "ABALL-TESGX" ซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบผสม (มีความเสี่ยงระดับ 5) ลงทุนในหุ้น ESG และตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนที่ผ่านเกณฑ์ ESG โดยมีให้เลือก 2 ชนิดหน่วยลงทุน ได้แก่ 1.ABALL-TESGX1 ชนิดเงินลงทุนใหม่ 2568 เปิดขายผู้ลงทุนที่สนใจ เสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-9 พ.ค.2568 และเปิดให้ลงทุนอีกครั้งในวันที่ 14 พ.ค.-30 มิ.ย.2568 และ 2.ABALL-TESGX2 ชนิดเงินลงทุนเดิม 2568 เปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สับเปลี่ยนกองทุนเข้ามาตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.-30 มิ.ย.2568

จุดเด่นของกองทุน "ABALL-TESGX" ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่  1) Dynamic Moves Across Market Cycles มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตปรับสัดส่วนลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งแตกต่างจากกองทุนทั่วไปที่มักเป็นกองทุนผสมแบบ 70/30 ที่เน้นลงทุนหุ้น 70% และตราสารหนี้ 30%  โดยอเบอร์ดีนมองว่านักลงทุนที่สับเปลี่ยนกองทุน LTF มาเป็นกองทุน Thai ESGX ส่วนใหญ่ยังขาดทุนจึงไม่อยากสูญเสียเงินต้นแล้ว ประกอบกับการลงทุนที่มีเงื่อนไขถือครอง 5 ปีวันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน อาจทำให้นักลงทุนมีความกังวลการขาดทุนที่อาจไม่คุ้มกับภาษีที่ได้รับลดหย่อน อเบอร์ดีนจึงออกแบบกองทุนในรูปแบบดังกล่าวเพื่อตอบโจทย์นักลงทุน

"ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนมองตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วง Recession ตลาดขาลงซึ่งใกล้จุดต่ำสุดแล้ว จึงมีกรอบลงทุนในหุ้น 65-75% และตราสารหนี้ 25-35% โดยเลือกลงทุนหุ้นคุณค่า (Value) และหุ้นปันผลสูง ให้น้ำหนักหุ้นใหญ่มากกว่าหุ้นขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ตลาดหุ้นฟื้นตัว ผู้จัดการกองทุนก็สามารถลดน้ำหนักตราสารหนี้ลงเหลือประมาณ 15-25% และเพิ่มน้ำหนักหุ้นเป็น 75-85%  โดยเน้นหุ้นเติบโต (Growth) หุ้นที่เกาะกระแสตลาดฟื้นตัว และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเล็ก ขณะที่สัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ ในบางช่วงอาจเป็น Short Duration บางช่วงอาจเป็น Long Duration ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในช่วงเวลานั้น" นายโรเบิร์ต กล่าว

นอกจากนี้จุดเด่น  2) Robust Investment Process to Maximize Total Returns การวางกลยุทธ์และปรับพอร์ตเพื่อศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดอย่างแม่นยำเพื่อปรับ Allocation ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับวัฎจักรเศรษฐกิจและทิศทางตลาด มีการผสมผสานการปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ที่เหมาะสมกับความเชี่ยวชาญในการเฟ้นหาสินทรัพย์รายตัว เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเฟ้นหาสินทรัพย์รายตัวที่ตอบโจทย์ในแต่ละสภาวะตลาด เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกช่วงเวลา

จุดเด่นที่ 3) ESG Intergration วิเคราะห์ปัจจัยด้าน ESG เชิงลึกในทุกขั้นตอนการลงทุนและลงทุนเฉพาะบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ ESG ของอเบอร์ดีน ซึ่งอเบอร์ดีนเป็นบลจ.ที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มี ESG ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปีและมีสถาบันด้านความยั่งยืนของตัวเอง ที่ดูแลด้าน ESG  นอกจากนี้ยังมีทีมงาน ESG ในภูมิภาคเอเชียประจำอยู่ที่สิงคโปร์ที่คอยดูแลด้านการลงทุนเพื่อความยั่งยืนโดยเฉพาะ

ในส่วนของการวิเคราะห์ปัจจัยด้าน ESG ของฝั่งหุ้น ผู้จัดการกองทุนจะจัดอันดับบริษัทเป็น 5 กลุ่มก่อนพิจารณาเลือกลงทุน ประกอบด้วย 1.กลุ่ม Best in Class บริษัทที่มีการใช้ ESG เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์องค์กรและมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน 2.กลุ่ม Leader บริษัทที่มีการนำ ESG มาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร แต่ไม่ใช่ผู้นำตลาดและมีการเปิดเผยข้อมูลที่ดี 3.กลุ่ม Average บริษัทนำเอาปัจจัยความเสี่ยงด้าน ESG มาใช้ในการดำเนินธุรกิจและเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ข้อกำหนด 4.กลุ่ม Below Average บริษัทอาจมีประเด็นข้อโต้แย้งบางประการเกี่ยวกับข้อมูลทางการเงินและมีการกำกับดูแลประเด็น ESG ที่จำกัด และ 5.กลุ่ม Laggard บริษัทที่มีประเด็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับข้อมูลทางการเงินหลายประการและมีข้อกังวลหลายประเด็นเกี่ยวกับธรรมาภิบาลของบริษัท ซึ่งอเบอร์ดีนจะลงทุนเฉพาะบริษัทที่ผ่านเกณฑ์การประเมินด้าน ESG

ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยด้าน ESG ฝั่งตราสารหนี้ ผู้จัดการกองทุนประเมินและให้คะแนนความเสี่ยงด้าน ESG ก่อนตัดสินใจเลือกลงทุน โดยแบ่ง rating เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ความเสี่ยงตํ่า ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ อเบอร์ดีนยังช่วยส่งเสริมและแนะนำให้บริษัทและผู้ออกตราสารที่เราจะเข้าไปลงทุนมีการพัฒนาด้าน ESG ที่ดีขึ้นอีกด้วย

นางสาวดรุณรัตน์  ภิยโยดิลกชัย  หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงมุมมองตลาดหุ้นไทยว่า  "เรามองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นไทย 2 ปีผ่านมา ได้สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยไปมากแล้ว ปัจจุบัน SET Index ณ ระดับ 1150 คิดเป็น forward P/E ประมาณ 12X ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับในอดีต การลงทุนกอง Thai ESGX ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ จึงน่าเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะได้ทั้งประหยัดภาษีและยังได้โอกาสในสร้างผลตอบแทนที่ดีในอีก 5 ปีข้างหน้า และถ้าเราพิจารณาส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของ SET Index กับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี หรือ Earnings yield gap ในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับสูงกว่า 6%  ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงโควิด ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ สุดท้ายเรามองว่า โอกาสที่นักลงทุนจะขาดทุนอย่างหนักจากจุดนี้ไป มีค่อนข้างน้อย เนื่องจากตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาลง ไม่เหมือนช่วงก่อนเกิด crisis ในอดีตที่ตลาดเป็นขาขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนปันผล หรือ Dividend yield ในปัจจุบันที่ค่อนสูง ยิ่งน่าจะช่วยพยุงตลาดขาลงได้ อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นแบบไหน หากเรามีกลยุทธ์ กระบวนการ การวางแผน และทีมงานที่มีความชำนาญ เราจะสามารถมองหาโอกาสในการลงทุนและโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในแต่ละสภาวะตลาดได้”

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนนี้ พิเศษ! รับ หน่วยลงทุน ABCC 100 บาท เมื่อลงทุนทุก ๆ 50,000 บาท ใน ABALL-TESGX1 และ ABALL-TESGX2 ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

X

Right Click

No right click