

CPF ผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน รวมใจจิตอาสาทั่วประเทศ เติมเต็มคลังเลือด เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
“โครงการทำความดีบริจาคโลหิต“ คือกิจกรรมที่บริษัทฯ ดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนหนึ่งในค่านิยมสำคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์และซีพีเอฟ ในการ “ตอบแทนคุณแผ่นดิน”

โดยร่วมมือกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนผู้บริหาร พนักงานจากสถานประกอบการทั่วประเทศ ตลอดจนประชาชนทั่วไป มาร่วม “ทำความดีด้วยการบริจาคโลหิต” เป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยทั่วประเทศ และตอกย้ำคุณค่าของการเป็น “ผู้ให้” ที่แท้จริง

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่าง CPF และภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เหล่ากาชาด ทหาร ตำรวจ โรงเรียน และชุมชน ร่วมกันสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน พร้อมปลูกจิตสำนึกถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิต เพื่อส่งต่อชีวิตและความหวังให้แก่เพื่อนมนุษย์
ฟังเรื่องจริงที่อบอุ่นหัวใจได้ที่ >> https://youtube.com/shorts/MlbORapwhAo
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ได้รับเกียรติจาก คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง(คนที่ 4 จากซ้าย) พร้อมด้วย คุณลวรรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง (คนที่ 3 จากซ้าย) คุณสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานการจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo (คนที่ 2 จากซ้าย) และคุณภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ (คนซ้าย) ประธานจัดงานร่วมงานมหกรรมการเงิน Money Expo ร่วมเปิดบูธในงานมหกรรมการเงิน กรุงเทพ ครั้งที่ 25 โดยมี คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (คนที่ 3 จากขวา) คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (คนที่ 2 จากขวา) คุณชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายจัดจำหน่าย (คนขวา) ให้การต้อนรับ และร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพค เมืองทองธานี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งด้านสุขภาพ ความคุ้มครอง การลงทุน พร้อมสิทธิพิเศษจากแคมเปญต่างๆ มากมาย และบริการตรวจสุขภาพฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ฯลฯ โดยมุ่งเน้นการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และพร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป ทั้งนี้สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/ หรือ โทร 1159 และทางอีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
นายภูวดล ทรงวุฒิชโลธร (แถวบน ที่ 9 จากซ้าย) Assistant Managing Director - Project Management บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) และนายโภไคย ศรีรัตโนภาส (แถวบน ที่ 6 จากขวา) ผู้ช่วยอธิการบดี ด้านบริหารงานบุคคล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเป็นประธานมอบรางวัลโครงการ CU NEX Hackathon ภายใต้หัวข้อ “Boost up Chula, Sustainable Lifestyle – พลังจุฬาฯ สู่ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน” เพื่อเฟ้นหาไอเดียสร้างสรรค์ที่ช่วยต่อยอดการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน เปิดโอกาสให้นิสิตได้ลงมือทำจริงในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ บนแอป CU NEX ผ่านฟีเจอร์ L.L.E. (Life-long Experimental) หรือ Open API โดยมีทีมที่ชนะการแข่งขัน ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ ทีม StephanNex กับไอเดียสุดล้ำ ฟีเจอร์ “C-Canteen” ที่ใช้ AI ตรวจจับความหนาแน่นของโรงอาหาร บอกที่นั่งว่าง และฟังก์ชันสั่งอาหารล่วงหน้า ได้รับรางวัลมูลค่า 60,000บาท และโอกาสในการฝึกฝนทักษะเพื่อพัฒนาศักยภาพร่วมกับทาง KBTG เป็นระยะเวลา 3 เดือน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีม REMTO พัฒนาฟีเจอร์ CU Connex เชื่อมต่อศิษย์เก่าและนิสิตปัจจุบันของจุฬาฯ สำหรับการค้นหาเมนเทอร์ ได้รับรางวัลมูลค่า 40,000 บาท และรางวัลจากการชนะ popular vote 5,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ ทีม CU FW พัฒนาแพลตฟอร์มการจ้างงานสำหรับชาวจุฬาฯ และรวบรวมเป็น Portfolio รูปแบบดิจิทัลบน CU NEX ได้รับรางวัลมูลค่า 30,000 บาท
ทั้งนี้ โครงการ CU NEX เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทยและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสร้าง Digital Lifestyle University ในการใช้ชีวิตของนิสิตในรั้วมหาวิทยาลัย ผ่านแอป CU NEX โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจาก KBTG มาช่วยให้ความรู้และคำแนะนำทั้งการทำ Workshop และเป็นพี่เลี้ยงที่คอยให้คำปรึกษา โดยมีการจัดกิจกรรมและเปิดโอกาสให้นิสิตมาร่วมคิดไอเดียดีๆ อย่างต่อเนื่อง
ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ยังซบเซา กำลังซื้อชะลอตัวและความเสี่ยงจากห่วงโซ่การค้าโลก ส่งผลให้ SME คาดหวังมาตรการสนับสนุนที่มีความเฉพาะเจาะจง ครอบคลุมทุกภาคธุรกิจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุด และสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่เปราะบางทั้งในและต่างประเทศ
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ประจำเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 51.5 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.1 ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2568 สาเหตุสำคัญมาจากแรงกดดันจากภาวะกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว ประกอบกับโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท (ระยะที่ 2) ที่ยังไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคได้ในระยะสั้น นอกจากนี้ภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญเริ่มมีแนวโน้มชะลอลง โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการภาคการค้าและภาคการบริการ ขณะที่ภาคการเกษตรมีความกังวลต่อทิศทางราคาผลผลิตในตลาดหลายรายการที่ปรับลดลงและในบางพื้นที่ยังได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาที่มีแรงสั่นสะเทือนถึงกรุงเทพมหานคร ยิ่งตอกย้ำความเปราะบางของภาคธุรกิจรายย่อยในระดับภูมิภาค ในทางกลับกันภาคการผลิตมีสัญญาณฟื้นตัว โดยเริ่มเร่งกำลังการผลิตตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม เพื่อเตรียมส่งมอบสินค้าช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นแรงบวกชั่วคราวแต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มของภาพรวมเศรษฐกิจได้ในวงกว้าง
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบดัชนี พบว่า ด้านปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ ทรงตัวที่ระดับ 56.0 เป็นระดับ 56.1 เนื่องจากเริ่มเข้าใกล้เทศกาลสงกรานต์ ธุรกิจส่วนใหญ่เร่งการผลิตก่อนถึงช่วงวันหยุดยาว นอกจากนี้องค์ประกอบด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 40.7 เป็นระดับ 41.2 ขณะที่ด้านคำสั่งซื้อโดยรวมปรับลดลงจากระดับ 58.8 อยู่ที่ระดับ 57.1 ด้านการลงทุนโดยรวมปรับลดลงจากระดับ 50.6 อยู่ที่ระดับ 50.2 ด้านกำไรปรับจากระดับ 56.3 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.7 และด้านการจ้างงานปรับลดลงจากระดับ 50.5 อยู่ที่ระดับ 49.9 สะท้อนให้เห็นภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เศรษฐกิจจะคึกคักก็ตาม
สำหรับดัชนี SMESI รายภาคธุรกิจ ประจำเดือนมีนาคม 2568 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ภาคการผลิต มีระดับความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 47.9 เป็นระดับ 50.6 ซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเร่งกำลังการผลิตเพื่อรองรับออเดอร์ระยะสั้นในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ ในขณะที่กลุ่มการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกและผลิตภัณฑ์จากยาง ขยายตัวจากการเร่งส่งออกของคู่ค้ารายใหญ่ เช่นเดียวกับกลุ่มการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ ขณะที่ภาคธุรกิจอื่น ๆ ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะภาคธุรกิจการเกษตร ปรับลดลงมากที่สุดจากระดับ 50.5 ลงมาอยู่ที่ระดับ 48.7 โดยระดับความเชื่อมั่นลดลงตามรายได้จากภาคธุรกิจการเกษตรที่ปรับตัวลดลง หลังสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายชนิดยังอยู่ในทิศทางอ่อนตัวต่อเนื่อง รองลงมาคือภาคการบริการ ปรับตัวลดลงจากระดับ 53.4 ลงมาอยู่ที่ระดับ 52.0 ซึ่งระดับความเชื่อมั่นปรับลดลงต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีนและมาเลเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่พึ่งพาการท่องเที่ยวสูง เช่น ภาคใต้และภาคตะวันออกเป็นสำคัญ ส่วนภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 52.0 ปรับลดลงจากระดับ 54.5 ของเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการแผ่วลงของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะที่ 2 ซึ่งยังกระตุ้นกำลังซื้อได้ไม่เต็มที่ ส่งผลต่อกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
สำหรับดัชนี SMESI รายภูมิภาค ประจำเดือนมีนาคม 2568 พบว่า ภาคใต้ อยู่ที่ 50.9 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.3 และลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามกำลังซื้อที่ยังอ่อนตัวจากผู้บริโภคในพื้นที่ ขณะที่บรรยากาศการจับจ่ายช่วงเดือนรอมฎอนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าและบริการ นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียที่ลดลง ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันเศรษฐกิจในภูมิภาค เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 50.7 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.5 ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในพื้นที่ปรับลดลง จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชะลอตัว และแรงกดดันจากสถานการณ์แผ่นดินไหว ขณะที่ภาคการผลิตหลายสาขา เช่น เสื้อผ้า แป้งหอม ดินสอพอง และอาหารแปรรูป เริ่มเร่งกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเมษายน ภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 50.1 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.1 โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตามแรงกดดันจากภาคบริการและการค้าเป็นหลัก แม้ภาคการผลิตยังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ยอดขายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมภายในประเทศยังชะลอตัว โดยเฉพาะในกลุ่มโรงงานที่พึ่งพาการส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนและความไม่แน่นอนทางการค้า
ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 53.2 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.5 ตามทิศทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ยังซบเซา โดยเฉพาะภาคบริการ ธุรกิจการเกษตร และการค้า ซึ่งยังไม่ตอบสนองต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน ขณะที่ภาคการผลิตบางกลุ่ม เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก ยังได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อในกลุ่มลูกค้า B2B ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าอุปโภคบริโภค ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 51.8 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.1 แม้เชียงใหม่ยังเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลี แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน รวมถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวในบางพื้นที่ และการแผ่วของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เมืองรอง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวลง ภาคกลาง อยู่ที่ 51.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.6 ความเชื่อมั่นในภาคกลางอ่อนตัวลงตามกำลังซื้อที่ชะลอในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ภาคเกษตรเผชิญผลผลิตลดลงและราคาสินค้าเกษตรหลักตกต่ำต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ภาคการผลิตเริ่มปรับเพิ่มกำลังการผลิตบางส่วน เพื่อตอบสนองต่อคำสั่งซื้อช่วงเทศกาลเดือนถัดไป

สำหรับดัชนี SMESI คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ประจำเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 54.7 ซึ่งปรับลดลงจากระดับ 55.6 จากที่คาดการณ์ไว้ โดยมีสาเหตุจากความไม่ชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะถัดไป ในด้านระยะเวลา วิธีการโอน และกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิ์ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่รอคอยอานิสงส์จากนโยบายรัฐโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อผู้ประกอบการ SME ภาคการผลิตที่มีตลาดส่งออกเป็นสำคัญ สะท้อนความเปราะบางจากปัจจัยภายนอกที่ผู้ประกอบการยังไม่สามารถควบคุมได้
อย่างไรก็ดี จากเหตุแผ่นดินไหวในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มหดตัวแม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ที่ปีนี้มีระยะวันหยุดยาวหลายวัน และในหลายพื้นที่มีจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้กำลังซื้อในประเทศที่หายไปอย่างชัดเจนในหลายภาคธุรกิจ ไม่มีการจ้างแรงงานใหม่เพิ่มเติม ดังนั้นสิ่งที่ SME ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐคือ การสร้างรายได้ให้กับผู้บริโภคผ่านการลงทุนให้เกิดการจ้างงาน การเร่งออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ตรงจุดในระยะสั้น การดูแลปัจจัยด้านต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงควรพิจารณามาตรการบรรเทาต้นทุนในกลุ่มวัตถุดิบอาหารและปัจจัยทางการเกษตร แม้ต้นทุนน้ำมันจะเริ่มทรงตัว รวมถึงผู้ประกอบการยังคงประสบปัญหาด้านสภาพคล่องจากภาระหนี้เดิม ขณะที่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ในระบบยังไม่ทั่วถึงเพียงพอ จึงมีความต้องการให้มีมาตรการสนับสนุนทางการเงินที่ตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจมากขึ้น ทั้งนี้ สสว. ยังคงมีมาตรการความช่วยเหลือและที่ปรึกษาเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือ ผ่านhttps://coach.sme.go.th/ หรือ Application ‘SME Connext’ ที่รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจร ซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301
เว็บไซต์ข่าว ออนไลน์ นิวส์ไทม์ : www.onlinenewstime.com ได้จัดกิจกรรม “ปล่อยปูคืนสู่ทะเล” เป็นครั้งแรก ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 ภายใต้โครงการ “จากมือเรา สู่ทะเล: ปูม้ากลับบ้าน ทะเลไทยคืนสมดุล” เพื่อตอกย้ำพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อม และการนำเสนอข่าวสาร ความรู้บนหลักการของข่าวสารที่มีคุณประโยชน์และพลังแห่งการคิดบวกและความรู้สู่ความยั่งยืน
กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้า สถานีวิจัยประมงศรีราชา คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปล่อยลูกปูม้าระยะแรกฟักจำนวน 3,750,000 ตัว และแม่ปูม้าที่มีไข่แก่นอกกระดองสีเทาดำทั้งหมด อีกจำนวน 15 ตัวลงสู่ทะเล คืนชีวิตสู่ทะเลไทย เสริมวงจรระบบนิเวศ ฟื้นปูม้าสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของประเทศ พร้อมนิสิตร่วมเรียนรู้การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน
จากข้อมูลทางวิชาการที่ระบุว่าแม้อัตรารอดของลูกปูจะอยู่เพียงราว 1% แต่นั่นก็หมายถึงการต่อชีวิตให้ปูม้าอีกกว่า 37,500 ตัว ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญทั้งในเชิงนิเวศและเศรษฐกิจ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทะเลไทยได้เผชิญ “วิกฤตปูม้า” จากการจับเกินขนาด ภาวะโลกร้อน และการลดลงของถิ่นอาศัย
ปูม้า ยังถือเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย ที่เป็นผู้ส่งออกปูม้าอันดับ 18 ของโลก สร้างรายได้กว่า 2,087 ล้านบาท ในปี 2564 และถือเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวประมงพื้นบ้านทั่วประเทศ การอนุรักษ์ปูม้า จึงไม่เพียงรักษาสมดุลธรรมชาติ แต่ยังเป็นการเสริมรากฐานของเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

นางสาวชนิตา งามเหมือน บรรณาธิการข่าวและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ข่าว ออนไลน์ นิวส์ไทม์ กล่าวว่า
“ในโอกาสที่เว็บไซต์ของเราก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 เราอยากสร้างสิ่งที่จับต้องได้เพื่อตอบแทนสังคมและธรรมชาติ เพราะเรามีความเชื่อว่า ลูกปูตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ คือพลังแห่งความหวังของท้องทะเลไทย และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในวันที่เทคโนโลยีล้ำหน้าไปไกลกว่าคลื่นลม หัวใจของมนุษย์... ยังต้องเรียนรู้จากธรรมชาติอยู่เสมอ หากเราต้องการให้ข่าวสารของเรามีชีวิต — ก็ต้องไม่ลืมส่งคืน ‘ชีวิต’ ให้กับโลกใบนี้เช่นกัน”
ภายในกิจกรรมยังมีการให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ปูม้าอย่างยั่งยืน โดย อาจารย์สาโรจน์ เริ่มดำริห์ นักวิชาการประมง สถานีวิจัยประมงศรีราชา พร้อมกิจกรรมตอบคำถามความรู้สิ่งแวดล้อมเพื่อชิงรางวัลจากทางเว็บไซต์ และสร้างการมีส่วนร่วมของ นิสิตนักศึกษาฝึกงาน จากสถานีวิจัยประมงศรีราชา ที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก
นายอลงกต อินทรชาติ หัวหน้าสถานีวิจัยประมงศรีราชา ให้เกียรติกล่าวต้อนรับคณะผู้จัดงาน พร้อมร่วมกิจกรรมอย่างใกล้ชิด โดยกล่าวว่า “กิจกรรมนี้เป็นโอกาสที่ดี และเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ดีระหว่างภาควิชาการและสื่อสารมวลชน เพื่อจุดประกายให้คนรุ่นใหม่เข้าใจบทบาทของความหลากหลายทางชีวภาพ และเห็นคุณค่าของระบบนิเวศทะเลไทย เราหวังว่าจะได้สานต่อความร่วมมือนี้ไปยังโอกาสต่อ ๆ ไป เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนให้กับท้องทะเลไทย”

กิจกรรมครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนหลักจาก บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งร่วมส่งเสริมภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจาก กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ที่ร่วมสร้างสีสันให้กับงาน ด้วยการสนับสนุนสแน็กบ็อกซ์และเครื่องดื่มสำหรับผู้ร่วมกิจกรรม
การจัดกิจกรรม “ปล่อยปูคืนสู่ทะเล” ของเว็บไซต์ข่าวในปีที่ 9 ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน แต่ยังเป็นเวทีแห่งความร่วมมือระหว่างภาควิชาการ ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ เพื่อฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ระบบนิเวศของทะเลไทย และปลุกจิตสำนึกอนุรักษ์ให้กับคนรุ่นใหม่ ร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติในยุคโลกเดือด