

บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมความรู้ด้านความปลอดภัยให้แก่ชุมชน จึงจัดกิจกรรม BKI ส่งเสริมความปลอดภัย ห่วงใยชุมชน โดยมีนายธีรยุทธ กิจวรพัฒน์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจสาขา นำพนักงานจิตอาสาบรรเทาภัย (Emergency Response Team: ERT) รวมถึงวิทยากรจากบริษัท ชิลด์ ไฟร์ เซฟตี้ เซ็นเตอร์ จำกัด ร่วมอบรมให้ความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แก่ชุมชนพื้นที่แขวงยานนาวา จำนวน 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านแบบ ชุมชนโรงน้ำแข็ง ชุมชนพระยานคร และชุมชนศรีสุริโยทัย รวมกว่า 40 คน เพื่อให้คนในชุมชนมีความรู้และทักษะการปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน สามารถช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยในเบื้องต้นได้อย่างถูกวิธีก่อนนําส่งโรงพยาบาล

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มอบอุปกรณ์การปฐมพยาบาล รถเข็นผู้ป่วย ชุดเฝือกสำเร็จรูป และกระเป๋ายาพร้อมเวชภัณฑ์ให้แก่ชุมชน โดยมีนายธวัชชัย แพงไทย ผู้อำนวยการเขตสาทร เป็นผู้แทนรับมอบ ณ ลานอเนกประสงค์ ใต้ทางด่วน (สาทร 17) ของชุมชนบ้านแบบ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568
“พฤกษา โฮลดิ้ง” เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 รายได้รวม 3,705 ล้าน จากการเปิดเกมรุกอสังหาฯ ครบเซ็กเมนต์ ผนึกกำลังด้านธุรกิจเฮลท์แคร์เดินหน้าสู่ผู้นำด้านเวลเนส เรสซิเดนซ์ การอยู่อาศัยที่ผสานความเป็นอยู่ที่ดีควบคู่การบริการด้านสุขภาพแบบยั่งยืน ยกระดับการอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” พร้อมเดินเกมรุกขานรับมาตรการรัฐในไตรมาส 2 ด้วยการจัดแคมเปญ “บิงโกล์ด” ลุ้นบิง ชิงทอง ให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์ครบทุกช่องทาง ทั้งได้ลุ้นรางวัล ได้ฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอน และได้ส่วนลดเพิ่มเติม เปิดโอกาสให้เป็นเจ้าของบ้านและคอนโดได้ง่ายขึ้น

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว การปฏิเสธสินเชื่อในระดับสูง และการชะลอการตัดสินใจซื้อในไตรมาสแรกเพื่อรอมาตรการผ่อนปรน LTV และมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองจากภาครัฐ แต่พฤกษา โฮลดิ้ง ยังรักษาความแข็งแกร่งของโครงสร้างรายได้ รวมถึงควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2568 ทำรายได้รวมอยู่ที่ 3,705 ล้านบาท และทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีที่ 30.6% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทั้งในด้านการตลาด พัฒนาประสิทธิภาพด้านการบริหารบุคคล และต้นทุนทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net gearing ratio) ต่ำที่ 0.3 เท่า ปรับตัวดีขึ้นจากการเน้นการลงทุนเฉพาะในธุรกิจหลักที่สร้างมูลค่าได้จริง และการบริหารเงินที่มีประสิทธิภาพ
นายทองมา กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของกองทุน CapitaLand Wellness Fund หรือ C-WELL การลงทุนสินทรัพย์เพื่อส่งเสริมสุขภาพและการอยู่อาศัยภายใต้คอนเซ็ปต์การอยู่อาศัยแบบยั่งยืน “อยู่ดี มีสุข” โดยร่วมกับ CapitaLand เป็นการผนึกกำลังผ่านการร่วมลงทุนในธุรกิจหลักของบริษัทฯ รวมทั้งเป็นการขยายขีดความสามารถด้าน Hospitality ไปยังธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของเราในการส่งเสริมการลงทุนขยายธุรกิจใหม่ การกระจายสินทรัพย์ และการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอให้กับกลุ่มธุรกิจพฤกษา โฮลดิ้ง โดยเลือกลงทุนในทำเลที่มีความโดดเด่นด้าน Location โดยมีความคืบหน้าของโครงการที่กองทุนได้ลงทุนไป 1) โรงแรม Lyf Bugis ที่สิงคโปร์ พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ปีนี้ 2) The Palm Residences พัฒนาการ มูลค่าโครงการ 2,830 ล้านบาท จำนวน 57 ยูนิต ก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว เริ่มโอนในเดือนมีนาคม 3) The Reserve Villa สุขุมวิท 89/1 บ้านเดี่ยวสไตล์พูลวิลล่าระดับพรีเมียม มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท จำนวน 26 ยูนิต ออกแบบโดย A49 อยู่ระหว่างก่อสร้าง พร้อมโอนในไตรมาส 4 ปี 2568 และ 4) โรงพยาบาลวิมุต ทองหล่อ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกบนทำเลศักยภาพสูง พร้อมเปิดให้บริการในปี 2570 เป็นต้นไป

นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาส 1 ปี 2568 พฤกษา เรียลเอสเตท ทำยอดโอนได้ 2,888 ล้านบาท แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอการตัดสินใจของลูกค้าที่รอมาตรการรัฐรอบใหม่ รวมถึงยังไม่มีการโอนคอนโดใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่คาดว่ายอดโอนจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ที่มีโครงการใหม่รอโอนถึง 4 โครงการ รวมกว่า 10,000 ล้านบาท และทำยอดขาย 3,389 ล้านบาท ในไตรมาสแรก ปี 2568 เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นผลจากการเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม ในระดับราคาที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยจริงและการลงทุน ประกอบด้วย ทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 2 โครงการ ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท และ The Palm แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์ ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียมเปิดตัว 1 โครงการ ได้แก่ Chapter One Nord รามอินทรา มูลค่าโครงการ 1,760 ล้านบาท จำนวน 632 ยูนิต ราคา 2 - 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของโครงการในเฟสแรก

บริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ากว่า 4,378 ล้านบาท และสต็อกพร้อมขาย (Ready to move) รวม 6,781 ล้านบาท โดยกว่า 80% มีราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐในช่วงไตรมาส 2 และสามารถรับรู้รายได้ทันทีในปีนี้ สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 2 ปี 2568 นายธีระ กล่าวว่าจะมีการเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์แบรนด์พาทิโอ และบ้านเดี่ยวแบรนด์ภัสสร รวม 3 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการในระดับราคา 5 - 15 ล้านบาท ที่ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง และในไตรมาส 3 เตรียมพบกับการเปิดตัวโครงการ Chapter Charoenkrung Riverside โครงการริมแม่น้ำใจกลางเจริญกรุง ที่มอบความเป็นส่วนตัวเหนือระดับด้วยจำนวนครอบครัวเพียง 100 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วยทำเลทองริมแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติใจกลางเมือง พร้อมดีไซน์หรูหราและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับไฮเอนด์ที่ตอบโจทย์ทั้งการพักอาศัยและการลงทุน
"นอกจากนี้เรายังมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ส่งเสริมการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์สุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็นการพลิกโฉมครั้งแรกของวงการอสังหาฯ กับการเปิดตัวแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัยภายใต้คอนเซ็ปต์เวลเนส เรสซิเดนซ์ การพัฒนาการอยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแบบยั่งยืน “อยู่ดี มีสุข” " นายธีระ กล่าวเสริม

ทางด้านกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า ธุรกิจเฮลท์แคร์ของโรงพยาบาลในไตรมาส 1 ปี 2568 สามารถทำรายได้รวม 513 ล้านบาท เติบโตขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจโรงพยาบาล และคนไข้บางส่วนมีความกังวลเรื่อง Co-Payment โดยโรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน ยังคงเติบโตขึ้นจากกลุ่มบริการที่มีมูลค่าสูง เช่น ศูนย์ศัลยกรรม ศูนย์อายุรกรรม ศูนย์กระดูกและข้อ แผนกฉุกเฉิน และศูนย์กุมารเวช รวมถึงการเติบโตของผู้ป่วยประกัน และผู้ป่วยต่างชาติจากออสเตรเลีย จีน กัมพูชา และพม่า
สำหรับโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ที่ครบรอบ 40 ปีไปนั้น แม้รายได้จะลดลงจากปีก่อนจากคนไข้ประกันสังคมที่อยู่ระหว่างการต่ออายุ แต่ขณะนี้ได้ต่ออายุเรียบร้อยแล้ว และยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายแพทย์สุวาณิช กล่าวเพิ่มเติมว่า ความคืบหน้าของโครงการโรงพยาบาลวิมุต ทองหล่อ จะมีการประกาศรายชื่อผู้รับเหมาหลัก (main contractor) ในเดือนพฤษภาคมนี้ และคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2570
ส่วนการพัฒนาศูนย์เฉพาะทางของโรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน ทั้งในส่วนของศูนย์สุขภาพปอด ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด และศูนย์สมองและระบบประสาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงสถานที่ พร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งจะเป็นศูนย์เฉพาะทางที่สร้างรายได้เพิ่มให้แก่โรงพยาบาลวิมุตต่อไป
กรุงเทพประกันชีวิต ร่วมกับ ธนาคารกรุงเทพ ออกโครงการพิเศษ ‘Gain & Save ส่งมอบความคุ้มครองชีวิตพร้อมรับสิทธิ์ดอกเบี้ยพิเศษ’ ตอบโจทย์ลูกค้าออมระยะสั้นและระยะยาว ลดความเสี่ยงจากตลาดทุนผันผวน-ดอกเบี้ยต่ำ พร้อมให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ด้วยประกันชีวิตสุดฮิต 3 แบบ เกนเฟิสต์ 810 เกนเฟิสต์ สปีดอัพ 15/8 และเกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10 จ่ายเบี้ยรายปีเริ่มต้น 100,000 บาท รับสิทธิ์เปิดบัญชีเงินฝากประจำ 6 เดือน บัวหลวงซุปเปอร์โบนัส รับดอกเบี้ยอัตราพิเศษเพิ่มอีก 2.5% ต่อปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม – 8 กรกฎาคม 2568
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงเทพประกันชีวิตและธนาคารกรุงเทพ เป็นพันธมิตรที่มีความร่วมมือกันอย่างมั่นคงมายาวนาน ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้คนไทย จึงได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินเพื่อความมั่นคงด้วยผลตอบแทนที่แน่นอนโดยไม่มีความเสี่ยง และยังได้รับความคุ้มครองจากประกันชีวิตผ่านแบบประกันสะสมทรัพย์ “เกนเฟิสต์” (Gain 1st) ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าของธนาคารกรุงเทพ
นายโชนกล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลให้การลงทุนมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำในปีนี้ กรุงเทพประกันชีวิตและธนาคารกรุงเทพ จึงได้มีความร่วมมือครั้งสำคัญในการนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ได้รับความนิยมมารวมกันเป็นอีกหนึ่งทางเลือก กับ โครงการพิเศษ ‘Gain & Save รับความคุ้มครองชีวิตพร้อมรับสิทธิ์ดอกเบี้ยพิเศษ’ โดยได้คัดเลือกแบบประกันที่เป็นที่นิยมของธนาคารกรุงเทพทั้งสิ้น 3 แบบ ได้แก่ เกนเฟิสต์ 810 เกนเฟิสต์ สปีดอัพ 15/8 และ เกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10 ลูกค้าที่สมัครประกันชีวิตและชำระเบี้ยประกันภัยรายปี ตั้งแต่ 100,000 บาท ขึ้นไปต่อกรมธรรม์ ต่อคน จะได้รับสิทธิ์เปิดบัญชีเงินฝากประจำ 6 เดือน บัวหลวงซุปเปอร์โบนัส พร้อมดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มอีก 2.5% ต่อปี โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม – 8 กรกฎาคม 2568

ทั้งนี้ แบบประกันทั้ง 3 แบบ เป็นแบบประกันชีวิตสะสมทรัพย์ที่ให้ความคุ้มครองชีวิตยาว และให้ผลตอบแทนสูงเมื่อครบสัญญา มีเงินคืนระหว่างสัญญา ได้แก่
ด้านนางสาวพรพิมล ตรงเที่ยงธรรม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพ ร่วมมือกับ บริษัทกรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ออกโครงการพิเศษ ‘Gain & Save รับความคุ้มครองชีวิตพร้อมรับสิทธิ์ดอกเบี้ยพิเศษ’ ให้แก่ลูกค้าที่ซื้อแบบประกันชีวิตสะสมทรัพย์ยอดนิยม สามารถสมัครเปิดบัญชีเงินฝากประจำ 6 เดือน บัวหลวงซุปเปอร์โบนัส พร้อมรับสิทธิ์อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มจากอัตราดอกเบี้ยฝากประจำปกติ (ณ วันที่ฝาก) อีก 2.5% ต่อปี สร้างโซลูชันการออมให้แก่ลูกค้าที่มองหาช่องทางออมเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาวและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ ทั้งตลาดทุนที่ผันผวน อัตราดอกเบี้ยต่ำ เสริมความมั่นคงทางการเงินให้แก่ลูกค้าได้อย่างมั่นใจ

“เนื่องจากแนวโน้มของดอกเบี้ยโลกและในไทยอยู่ในช่วงขาลง ลูกค้าที่มีกำลังซื้อและความสามารถออมสูง ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ชีวิต จึงมองหาช่องทางการออมและหลักประกันที่มั่นคงให้แก่ตนเองและครอบครัว ธนาคารซึ่งมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้ค่อนข้างมาก อีกทั้งกลุ่มประกันสะสมทรัพย์ “เกนเฟิสต์” ยังเป็นกลุ่มแบบประกันสะสมทรัพย์ ที่ลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสนใจ เพราะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ในปัจจุบัน โครงการ Gain & Save จึงตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งเรื่องการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนแน่นอนปิดความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาด และให้ความคุ้มครองชีวิต ซื้อได้ง่ายเพราะไม่ต้องตรวจและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ จึงเหมาะสำหรับกลุ่มคนทำงานไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัท หรือเจ้าของกิจการที่กำลังมองหาเครื่องมือวางแผนการเงินในอนาคต เพื่อต่อยอดความมั่นคงในชีวิตได้อย่างมั่นใจ” นางสาวพรพิมลกล่าว
สำหรับผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการพิเศษ ‘Gain & Save รับความคุ้มครองชีวิตพร้อมรับสิทธิ์ดอกเบี้ยพิเศษ’ ได้ที่ธนาคารกรุงเทพทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สาขาธนาคารกรุงเทพ หรือบัวหลวงโฟน โทร. 1333 หรือ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2777 8888 หรือ www.bangkoklife.com
สสว. จับมือ มศก. เดินหน้าผลักดันผู้ประกอบการ MSME ไทย ให้ปรับตัวตามแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และมาตรฐานการค้าสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ยกศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจไทยให้พร้อมสู่สากล และอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของโลกได้ โดยไม่ถูกกีดกันทางการค้า ผ่านโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญและภาครัฐ หวังช่วยให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการ สามารถลดต้นทุนเพิ่มรายได้ และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษกิจได้ถึง 270 ล้านบาท

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า “สสว. ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ของประเทศ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการปรับตัวเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ตอบสนองต่อมาตรฐาน/การกีดกันทางการค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวภายใต้สภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน ประกอบกับการที่สหประชาชาติได้ประกาศเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) มาตั้งแต่ปี 2015 ภายใต้แนวคิดนี้ สสว. จึงริเริ่มดำเนินโครงการขับเคลื่อนให้ MSME ปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ตอบสนองต่อมาตรฐาน/การกีดกันทางการค้า เพื่อผลักดันผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สร้างความตระหนักรู้สู่มาตรฐาน และผู้ให้บริการที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) รวมทั้ง การประเมินศักยภาพธุรกิจตามแนวคิดธุรกิจสีเขียวด้วยแบบประเมินตนเอง Green SME Index ซึ่งเริ่มต้นโครงการตั้งแต่ 2566 ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว”
นางสาวปณิตา กล่าวต่อไปว่า “การดำเนินโครงการดังกล่าว สสว. ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีการวางแผนและดำเนินการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง และภาคใต้ เพื่อเผยแพร่มาตรฐานนานาชาติที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ สามารถเตรียมความพร้อมช่วงเปลี่ยนผ่านให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานทางการค้า และแนวทางในการปรับตัวให้เกิดความสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงเศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy รวมถึงการให้คำปรึกษาธุรกิจเชิงลึก ณ สถานประกอบการ เพื่อขับเคลื่อนและเพิ่มศักยภาพ SME ให้เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล และเป็นกำลังสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตและเข้มแข็งยิ่งขึ้น”

นางสาวปณิตา เผยด้วยว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ผ่านมา สสว. ได้มีการผลักดัน หนุนเสริม ผู้ประกอบการ สร้างความตระหนักรู้ รวมทั้งการให้มีการประเมินศักยภาพธุรกิจตามแนวคิดธุรกิจสีเขียว สสว. โดยมีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือและเชื่อมโยงผู้ให้บริการเศรษฐกิจสีเขียวกับ MSME ผลักดันและส่งเสริม MSME ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ส่งผลต่อรายได้ในการดำเนินธุรกิจของ SME ทำให้ผู้ประกอบการ SME ได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม และประกอบธุรกิจที่ยั่งยืน

“สำหรับรอบปีงบประมาณนี้ สสว. ได้จัดให้มีโครงการขับเคลื่อนให้ MSME ปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ตอบสนองต่อมาตรฐาน/การกีดกันทางการค้า ประจำปี 2568 ขึ้น เพื่อยกระดับศักยภาพในการแข่งขันในเศรษฐกิจสีเขียวให้แก่ MSME อย่างเข้มข้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยเรากำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหามลภาวะ และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ มาตรฐานและกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) และ กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป หรือ European Union Deforestation Regulation (EUDR) ที่บังคับใช้ในยุโรป ล้วนส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปฏิบัติตามมาตรฐานการค้าใหม่”
“แม้กฎเกณฑ์เหล่านี้อาจมองว่า เป็นอุปสรรคทางการค้า แต่เรามองว่านี้เป็นสิ่งที่ท้าทาย และนับเป็นโอกาสสำคัญ ที่เราจะผสานพลังกันผลักดันให้ MSME ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่าของระบบเศรษฐกิจโลก รีบพัฒนาตัวเองให้เป็นธุรกิจ สีเขียว เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน “ด้วยเล็งเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ สสว.จึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากรจัดโครงการนี้ขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับ MSME ของไทย โดยจัดให้มีจุดบริการให้คำปรึกษา MSME ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคใต้ เน้นกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มเกษตรแปรรูปและอาหารที่เป็นภาคการผลิต และกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม ที่เป็นภาคบริการ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในปัจจุบัน เพื่อนำเสนอแนวทางการในลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แก่ MSME”

รักษาการแทน ผอ.สสว. ยังเผยด้วยว่า โครงการนี้ สสว. พร้อมจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้แก่สถานประกอบการ โดยจะมีที่ปรึกษาเข้าไปให้คำปรึกษาเชิงลึกแบบ On-the-Job Training จำนวน 5 วัน เพื่อวิเคราะห์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเสนอแนะแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แก่สถานประกอบการ นอกจากนั้น จะมีการอบรมให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องอีก 2 วัน โดยจัดตามภูมิภาคต่างๆ อีก 6 ครั้ง รวมทั้งการประเมินศักยภาพความเป็นธุรกิจสีเขียวผ่านเครื่องมือประเมินตนเองที่เรียกว่า Green SME Index เพื่อวิเคราะห์ความพร้อมและโอกาสทางธุรกิจ และเพื่อให้ธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุน และเพิ่มรายได้
“เราเชื่อมั่นว่าการดำเนินโครงการนี้ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษกิจได้ถึง 270 ล้านบาท นางสาวปณิตาทิ้งท้าย”
เรียกได้ว่าเป็นปีทองของวงการซีรีส์ไทย เมื่อผลงานคุณภาพอย่างซีรีส์ "Good Doctor TH หมอใจพิเศษ" ผลิตโดย บริษัท ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ จำกัด ซึ่งออกอากาศทาง TrueID ได้รับความชื่นชมจากผู้ชมและนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม ซึ่งล่าสุดถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลใหญ่ระดับประเทศอย่าง รางวัล “นาฏราช ครั้งที่ 16” และรางวัล “คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 21” ตอกย้ำความสำเร็จของซีรีส์ที่นำเสนอมุมมองพิเศษของแพทย์ออทิสติก
"Good Doctor TH หมอใจพิเศษ" เป็นการหยิบนำซีรีส์น้ำดีอย่าง Good Doctor โดยมีต้นฉบับมาจากเกาหลี ซึ่งเคยคว้ารางวัลไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นละครยอดเยี่ยมหรือบทละครยอดเยี่ยม จนถูกนำไปรีเมคต่อในหลาย ๆ ประเทศทั้ง อเมริกา, ญี่ปุ่น, จีน รวมถึงเวอร์ชั่นไทย โดยมี "เน๋ง ศรัณย์ นราประเสริฐกุล" รับบทนำเป็นแพทย์ผู้มีภาวะออทิสติก ร่วมด้วยนักแสดงคุณภาพมากฝีมืออย่าง โทนี่ รากแก่น, แพต ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช และ สัญญา คุณากร ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากแฟนซีรีส์อย่างล้นหลาม พร้อมคว้ารางวัลการันตีมากมาย อาทิ รางวัล Best Adaptation Series Of The Year จาก Thailand Box Office Awards 2024, รางวัลละครและซีรีส์แพลตฟอร์มออนไลน์ยอดเยี่ยม จาก Pantip TV Awards ครั้งที่ 4 และ "เน๋ง ศรัณย์ นราประเสริฐกุล" คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากงานประกาศรางวัลวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ พิฆเนศวรครั้งที่ 13 ประจำปี 2568 ที่ผ่านมา และยังคงเดินสายรับรางวัลอย่างต่อเนื่อง

และล่าสุดได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงใน 2 เวทีอันทรงเกียรติอย่างรางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 21 และรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 16 ซึ่งถือเป็นรางวัลที่มีเกียรติคุณและได้รับการยอมรับในแวดวงสื่อและวงการบันเทิงไทย โดยรางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 21 ซีรีส์ Good Doctor TH หมอใจพิเศษ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งสิ้น 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยม และรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 16 เข้าชิง 6 รางวัล ได้แก่ รางวัลละครยอดเยี่ยม, รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม, รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และรางวัลบทโทรทัศน์ยอดเยี่ยม ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจและสะท้อนถึงความทุ่มเทของเหล่านักแสดง ผู้กำกับ พร้อมด้วยทีมงานเบื้องหลัง ที่ร่วมสรรค์สร้างซีรีส์คุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ
ร่วมลุ้น ร่วมเชียร์ "Good Doctor TH หมอใจพิเศษ" ในงานประกาศรางวัลแห่งเกียรติยศ “คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 21” ในวันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2568 ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม และงานประกาศรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ “นาฏราช ครั้งที่ 16” ในวันอาทิตย์ ที่ 18 พฤษภาคม 2568 ณ สถานที่จัดงาน สเฟียร์ ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ รับชมถ่ายทอดสดทางช่อง one31 และออนไลน์ ตั้งแต่เวลา 19:30 น. เป็นต้นไป
และสำหรับแฟน ๆ ที่ยังคิดถึงซีรีส์ "Good Doctor TH หมอใจพิเศษ" ยังสามารถรับชมได้ยาวๆ แบบจุใจ 20 ตอนรวด ทางแอปพลิเคชัน TrueID ดูฟรีที่เดียวที่ ทรูไอดี
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดยคุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (คนที่ 4 จากซ้ายแถวหลัง) และ คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (คนที่ 3 จากซ้ายแถวหลัง) จัดกิจกรรม KTAXA Family Day ภายใต้ธีม “ONE Family, ONE KTAXA” เมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในวันครอบครัวสากลซึ่งตรงกับวันที่ 15 พฤษภาคม ของทุกปี ด้วยความเชื่อมั่นว่าครอบครัว คือรากฐานแห่งความสำเร็จและความสุขของพนักงาน

บริษัทฯ จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและเพื่อนร่วมงานในบรรยากาศที่อบอุ่น โดยนิยามของคำว่า “ครอบครัว” ครอบคลุมถึงสัตว์เลี้ยงที่รักของพนักงานอีกด้วย ภายในงานมีกิจกรรมหลากหลายอาทิ ออกกำลังกายยามเช้า กิจกรรมนวดโดยผู้พิการทางสายตา กิจกรรมแฟชั่นโชว์สัตว์เลี้ยง Green Market กิจกรรม DIY จัดสวนด้วยต้นไม้ฟอกอากาศ รวมถึง Kids Carnival ที่เราจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่น พัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง และเป็นสถานที่ทำงานที่สนับสนุนให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานอย่างสูงสุด ในเรื่องสวัสดิการ การเติบโตในอาชีพ การพัฒนาศักยภาพ ความเป็นอยู่ของพนักงานที่ครบถ้วนรอบด้าน รวมถึงการดูแลครอบครัวของพนักงาน ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่พร้อมทั้งเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
Aleph เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลระดับโลก และผู้นำด้านนวัตกรรมสื่อและระบบชำระเงิน ประกาศขยายความร่วมมือกับ Spotify แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลก เพื่อเดินหน้าบริหารจัดการงานขายโฆษณาของ Spotify ในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมผู้ลงโฆษณากว่า 20,000 ราย
Spotify Advertising เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีด้านโฆษณา (Ad Tech) อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเสริมความแข็งแกร่งด้านพันธมิตร และการใช้ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ลงโฆษณาสามารถซื้อโฆษณา สร้างสรรค์เนื้อหา และวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพบนแพลตฟอร์ม สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Spotify ในด้านระบบอัตโนมัติและนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อแพลตฟอร์มโฆษณาและอุตสาหกรรมดิจิทัลออดิโอที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ Spotify ยังคงพัฒนาแพลตฟอร์มแบบบริการตนเอง (self-serve) อย่าง Spotify Ads Manager อย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มความสามารถในการกำหนดเป้าหมายให้แม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมเสริมแกร่งระบบวัดผลโดยใช้ข้อมูลภายใน (1st party) และข้อมูลจากพันธมิตรข้างนอก (3rd party) รวมถึงการกำหนดเป้าหมายตามผลลัพธ์ เพื่อให้ผู้ลงโฆษณาทุกระดับสามารถสร้าง ปรับแต่ง และวัดผลแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังมีเครื่องมืออย่าง Spotify Pixel, Custom Audiences, การร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ และเพิ่มเป้าหมายการโฆษณาแบบใหม่ที่เน้นการติดตั้งแอปพลิเคชัน (App Installs Objective)
Aleph เป็นพันธมิตรกับ Spotify ตั้งแต่ปี 2556 โดยเริ่มต้นความร่วมมือใน 4 ประเทศ ซึ่งการลงนามในความร่วมมือครั้งใหม่นี้จะทำให้ Aleph สามารถนำเสนอบริการได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นงานขายโฆษณาระดับท้องถิ่น โซลูชันด้านการชำระเงิน การสนับสนุนด้านครีเอทีฟ และระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่โฆษณาของ Spotify และเชื่อมโยงแบรนด์กับผู้ลงโฆษณา พร้อมพัฒนาและขยายโซลูชันโฆษณาของ Spotify ให้ครอบคลุมกว่า 80 ประเทศ อาทิ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไทย และเวียดนาม
ทีมงานของ Aleph จะสามารถเข้าถึง Spotify Ads Manager เพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้ลงโฆษณาและเอเจนซี ในการใช้แพลตฟอร์มให้เต็มศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย หรือการกำหนดเป้าหมายขั้นสูง เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ในทุกช่วงเวลาสำคัญ อาทิ ระหว่างการออกกำลังกาย การทำงาน หรือระหว่างเดินทาง ช่วยเพิ่มโอกาสให้แบรนด์สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในช่วงเวลาที่ผู้ฟังมีส่วนร่วมมากที่สุด และสามารถบรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ที่ผู้ลงโฆษณาจะได้รับจากการใช้งาน Spotify Ads Manager ผ่าน Aleph ได้แก่:
ปีเตอร์-ฌอง เดอ ครูน กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Aleph กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Spotify ในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก โดยเราต่างมีความมุ่งมั่นร่วมกันในด้านนวัตกรรมและการมอบคุณค่าที่ดีที่สุดให้กับผู้ลงโฆษณา ทำให้ความร่วมมือครั้งนี้เป็นไปได้อย่างราบรื่น”
แซม บีแวน หัวหน้าฝ่าย Emerging & Scaled Global ของ Spotify กล่าวเสริมว่า “ธุรกิจโฆษณาของเรายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเราได้ร่วมมือกับ Aleph เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน มอบโซลูชันที่ดีขึ้นให้กับผู้ลงโฆษณา และขยายธุรกิจของเราอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านระบบอัตโนมัติและเครือข่ายระดับโลกของ Aleph ทำให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันใหม่ ๆ ให้กับนักโฆษณาทั่วโลกได้อย่างครอบคลุม”
*หมายเหตุ: ปัจจุบัน Aleph เป็นพันธมิตรการขายระดับโลกกับ Spotify ในแอลเบเนีย แอลจีเรีย อาร์เจนตินา อาร์เมเนีย ออสเตรีย บาห์เรน บังกลาเทศ เบลารุส เบลเยียม โบลิเวีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา บัลแกเรีย ชิลี โคลอมเบีย คอสตาริกา โครเอเชีย ไซปรัส สาธารณรัฐเช็ก สาธารณรัฐโดมินิกัน เอกวาดอร์ อียิปต์ เอลซัลวาดอร์ เอสโตเนีย กานา กรีซ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ฮ่องกง ฮังการี ไอซ์แลนด์ อินโดนีเซีย ไอร์แลนด์ อิสราเอล จอร์แดน คาซัคสถาน เคนยา โคโซโว คูเวต คีร์กีซสถาน ลัตเวีย เลบานอน ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มาเลเซีย เม็กซิโก มอลโดวา มอนเตเนโกร โมร็อกโก เนปาล นิการากัว ไนจีเรีย มาซิโดเนียเหนือ โอมาน ปากีสถาน ปานามา ปารากวัย เปรู ฟิลิปปินส์ โปแลนด์ โปรตุเกส เปอร์โตริโก กาตาร์ โรมาเนีย ซาอุดีอาระเบีย เซอร์เบีย สิงคโปร์ สโลวาเกีย สโลวีเนีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ศรีลังกา สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน แทนซาเนีย ไทย ตูนิเซีย ตุรกี ยูกันดา ยูเครน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อุรุกวัย อุซเบกิสถาน เวียดนาม และอีกมากมาย
มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ร่วมกับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เดินหน้าสานต่อโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “อาสาบำรุงราษฎร์” ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ ชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ร่วมกับ ทีมอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) โดยได้รับเกียรติจาก รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวรายงาน พร้อมด้วย นายอนันต์ บันลังน้อย ประธานชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดโครงการ

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “อาสาบำรุงราษฎร์” เป็นการสานต่อโครงการฯ ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ด้วยจุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ผ่านบริการตรวจรักษาเบื้องต้นแก่ประชาชนในชุมชนต่าง ๆ โดยรอบโรงพยาบาลฯ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อกระจายความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง

สำหรับโครงการฯ ในครั้งนี้ ได้ผนึกกำลังร่วมกับแพทย์จากศูนย์อายุรกรรม ศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์เด็ก และศูนย์ทันตกรรมวมถึง พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพบำบัด และบุคลากรของโรงพยาบาลฯ เป็นจำนวนกว่า 60 คน ซึ่งมีทั้งประสบการณ์และความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่พร้อมให้บริการตรวจรักษา ดูแล และคัดกรองผู้ป่วยตามอาการอย่างตรงจุด รวมถึงสนับสนุนอาหารกลางวันและยาสามัญประจำบ้าน เพื่อนำกลับไปดูแลตัวเองได้อีกด้วย โดยมีผู้เข้ารับการรักษากว่า 300 คน ละยังมอบถุงยังชีพและข้าวสารจากกองทุนทอมสันให้แก่ผู้ป่วยติดเตียงอีก 20 ชุด

รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “เป็นเวลากว่า 23 ปี ที่เราได้ดำเนินกิจกรรมสาธารณกุศลเพื่อช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยส่งมอบการบริบาลด้านการแพทย์และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพให้แก่ชุมชนภายใต้มาตรฐานของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยอาศัยความร่วมมือกับชุมชนในการสำรวจและจัดทีมแพทย์ให้เหมาะสมกับความต้องการ ซึ่งนับเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินงานของบำรุงราษฎร์มาโดยตลอด ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมแห่งสุขภาวะที่ดี สู่การสร้างสรรค์ชุมชนให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน”
กองทุนประกันวินาศภัย ร่วมกับกองทุนประกันชีวิต พร้อมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดชัยภูมิ จัดโครงการสร้างความเข้าใจในกระบวนการชำระบัญชี พร้อมสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันวินาศภัย แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจประกันภัย จังหวัดชัยภูมิ ณ ห้องประชุมลีลาวดี โรงแรมสยามริเวอร์ รีสอร์ท จังหวัดชัยภูมิ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการชำระบัญชีของบริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต พร้อมทั้งเผยแพร่บทบาท ภารกิจ และหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องในการคุ้มครองสิทธิของผู้เอาประกันภัย

ซึ่งงานนี้ นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย ได้ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “กระบวนการชำระบัญชีของบริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต” โดยเนื้อหาครอบคลุมประเด็นสำคัญเกี่ยวกับขั้นตอนการยื่นคำขอรับชำระหนี้ การพิจารณาคำขอชำระหนี้ ตลอดจนกระบวนการจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย ซึ่งเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับตัวแทนและนายหน้าประกันภัยในการให้คำแนะนำแก่ผู้เอาประกันอย่างถูกต้องและตรงตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
ในส่วนของกองทุนประกันชีวิต นายนพพล เบี้ยวไข่มุข ผู้จัดการกองทุนประกันชีวิต ได้ให้ความรู้ในหัวข้อบทบาท ภารกิจ และหน้าที่ของกองทุนประกันชีวิต โดยมุ่งเน้นการดูแลและคุ้มครองสิทธิของเจ้าของเงินตามกรมธรรม์ โดยเฉพาะกรณีเงินกรมธรรม์ที่ล่วงพ้นอายุความ

ขณะเดียวกัน ทางสำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดชัยภูมิ ได้เข้าร่วมกิจกรรมโดยนางสาวปรียดา พ่อค้าช้าง ผู้อำนวยการภาคอาวุโส สำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) และนายกฤติรัฐ วุฒิวงค์ผู้อำนวยการสำนักงาน คปภ. จังหวัดชัยภูมิ ได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ “ภารกิจของสำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดชัยภูมิ” โดยเน้นบทบาทของ คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยที่ทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิของประชาชนอย่างรอบด้าน
กิจกรรมภายในงานยังประกอบด้วยช่วงตอบข้อซักถาม เสวนา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมซึ่งเป็นตัวแทนและนายหน้าประกันภัยจากจังหวัดชัยภูมิ โดยมีการหยิบยกประเด็นปัญหาที่พบบ่อยในภาคสนาม เช่น การอธิบายสิทธิของผู้เอาประกันกรณีบริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาต หรือขั้นตอนการติดต่อเพื่อขอรับเงินคืนตามกรมธรรม์ที่หมดอายุความ ซึ่งบุคลากรจากทั้ง 2 กองทุน ได้ให้คำแนะนำที่ชัดเจนและนำไปใช้ได้จริง

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมให้ร่วมสนุก พร้อมแจกของที่ระลึกมากมาย เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมประกันภัย อันจะนำไปสู่ความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านการประกันภัยแก่ประชาชนในวงกว้าง