December 06, 2025

จัดเต็มทั้งการทำงานและความบันเทิงในเครื่องเดียว พบกัน 15 ..นี้

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ได้ร่วมเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการผ่านระบบออนไลน์ ในหัวข้อ “Knowledge Sharing on the Use of Technology for Surveying Natural Disasters in Crop Insurance” จัดโดยสำนักงาน คปภ. ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) นำโดย นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร พร้อมด้วยผู้แทนจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย บริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศ และบริษัทตัวแทนและนายหน้าประกันภัย เข้าร่วมแลกเปลี่ยน องค์ความรู้เพื่อยกระดับระบบประกันภัยพืชผลของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบประกันภัยพืชผลมีบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยงของเกษตรกรไทยที่เผชิญกับภัยธรรมชาติ ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง โรคพืช และแมลงศัตรูพืช โดยสำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญกับการบูรณาการข้อมูลสถิติการใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อประเมินความเสียหายอย่างแม่นยำ โปร่งใส และยุติธรรม พร้อมทั้งผลักดันให้ระบบประกันภัยพืชผลกลายเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ โดยได้หารือร่วมกันถึงแนวทางการขยายความคุ้มครองจากข้าวไปสู่พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Big Data เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายค่าสินไหม ลดข้อพิพาท และสร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกร พร้อมเปิดเวทีแลกเปลี่ยน     ความคิดเห็นระหว่างนักวิชาการ ผู้แทนภาครัฐ และภาคธุรกิจประกันภัย โดยมุ่งเป้าสู่การสร้างระบบประกันภัยที่โปร่งใส เข้าถึงได้ และยั่งยืนในทุกมิติ นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสำรวจภัยธรรมชาติสำหรับการประกันภัยพืชผล โดยมีเนื้อหาที่ครอบคลุม ตั้งแต่วิวัฒนาการของระบบประกันภัยการเกษตรของไทย ความท้าทายในการประเมินความเสียหายของพืชผล ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมในการพัฒนาแบบจำลองและการตรวจสอบภัยธรรมชาติ            ในพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งเป็นโอกาสใหม่ที่สามารถนำมาใช้เป็นรากฐานของการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยพืชผลที่ตอบโจทย์เกษตรกรไทยได้อย่างแท้จริง

“การพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนนั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยลำพัง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศ รวมถึงบริษัทนายหน้าประกันภัยที่มีความเชี่ยวชาญ ร่วมกันขับเคลื่อนแนวทางนี้ไปสู่การปฏิบัติจริง สำนักงาน คปภ. และ สศก. พร้อมที่จะผลักดันและสนับสนุนภาคธุรกิจประกันภัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยพืชผลชนิดใหม่ ๆ และครอบคลุมพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ซึ่งกรอบความร่วมมือในวันนี้ จะเป็นก้าวสำคัญที่จะจุดประกายการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อพัฒนาและต่อยอดการประกันภัยภาคการเกษตรของประเทศให้ประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

แม้เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์  ที่เกิดขึ้นในภาคกลางของเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 จะผ่านไปแล้วกว่า 1 เดือน แต่ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) และ Let's Save The Strays, International LLC. ยังคงเร่งดำเนินการช่วยเหลือสัตว์ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานยังเสียหายหนัก ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คน ชุมชน และสัตว์อีกจำนวนมากยังรอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

"จนถึงขณะนี้ มีสัตว์กว่า 1,000 ตัวที่ได้รับการรักษาจากบาดแผลที่เกิดจากภัยพิบัติ กระดูกหัก โรคพาร์โว โรคไข้หัดสุนัข การติดเชื้อจากการกัดกัน และภาวะฉุกเฉินด้านระบบสืบพันธุ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น การติดเชื้อในมดลูกอย่างรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอดในสัตว์เพศเมียที่ไม่ได้ทำหมันและตั้งท้องโดยไม่คาดคิด

ปัจจุบัน เรากำลังให้อาหารสัตว์มากถึง 800 ตัวต่อวัน โดยแจกจ่ายอาหารจากสำนักงานเล็ก ๆ ของเราพร้อมกับผู้ให้อาหารข้างถนน ที่ช่วยนำอาหารไปให้สุนัขและแมวจรจัดจำนวนหลายพันตัวที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่หลังภัยพิบัติ  ซึ่งยังคงเอาชีวิตรอดตามกองขยะ อาคารร้าง และวัด” คุณเอมี ชอฟฟ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Let's Save The Strays, International กล่าว

หนึ่งเดือนหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมัณฑะเลย์ สถานการณ์ยังคงยากลำบากจากปัญหาสาธารณูปโภคขาดแคลน ถนนเสียหาย และคลินิกสัตวแพทย์บางแห่งยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ นอกจากการช่วยเหลือเร่งด่วนแล้ว องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกและ Let's Save The Strays, International ยังมีแผนการช่วยเหลือระยะยาวในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า ได้แก่:

  • การสร้างคลินิกสัตวแพทย์ขึ้นใหม่เพื่อฟื้นฟูการรักษาขั้นสูง
  • การเพิ่มการฉีดวัคซีนเร่งด่วนเพื่อป้องกันการระบาดของโรค
  • การกลับมาดำเนินโครงการ TNVR (การทำหมันและฉีดวัคซีนสัตว์จรจัด) ซึ่งเป็นภารกิจหลัก
    เพื่อควบคุมประชากรสัตว์และลดความทุกข์ทรมาน

“เราตระหนักดีว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติ มนุษย์และสัตว์ต่างต้องการความช่วยเหลือ การดูแลสัตว์ในช่วงเวลาวิกฤตไม่เพียงช่วยชีวิตสัตว์ แต่ยังบรรเทาความทุกข์ใจของผู้คนที่รักและห่วงใยสัตว์เหล่านั้น และจากบทเรียนในการช่วยเหลือสัตว์จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเนปาลเมื่อปี 2558 เราเรียนรู้ว่าการวางแผนระยะยาวยิ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการช่วยเหลือเร่งด่วน" คุณโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าว

องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) มุ่งมั่นในการช่วยเหลือสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติมานานกว่า 50 ปี ผ่านการให้บริการด้านอาหาร น้ำสะอาด การรักษาพยาบาล และการอพยพสัตว์จากพื้นที่เสี่ยงภัยต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่า และพายุไต้ฝุ่น โดยได้ดำเนินภารกิจช่วยเหลือสัตว์กว่า 250 ครั้ง และช่วยชีวิตสัตว์มาแล้วกว่า 7 ล้านตัวทั่วโลก

นอกจากนี้ องค์กรฯ ยังรณรงค์ให้รัฐบาลและชุมชนทั่วโลกรวมการคุ้มครองสัตว์ไว้ในแผนการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เพื่อปกป้องชีวิตสัตว์และรักษาแหล่งรายได้ของชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะยากจน ให้สามารถฟื้นตัวและกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างยั่งยืนหลังภัยพิบัติ

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) เดินหน้าพัฒนาหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ตอบรับความต้องการของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล เปิดรับสมัครเรียนการบัญชีมหาบัณฑิตและบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) ปีการศึกษา 2568 เน้นการอัพสกิลผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถรอบด้าน พร้อมนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพสู่ภาคธุรกิจ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้

ดร.อริสรา ธานีรณานนท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยว่า หลักสูตรปริญญาโทการบัญชีมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียน ให้สามารถวิเคราะห์ งบการเงิน และวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือมีการเพิ่มทักษะของผู้บริหาร รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สร้างรายงาน และคาดการณ์ธุรกิจ รวมถึงการเรียนรู้ด้าน Big Data และ Data Analytics นอกจากนี้ หลักสูตรยังให้ความสำคัญกับการบัญชีเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของโลก ครอบคลุมประเด็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการคำนวณต้นทุนคาร์บอนเครดิตในภาคอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของวิชาชีพบัญชีในบริบทของยุคสมัย

"จุดเด่นของหลักสูตรการบัญชีมหาบัณฑิต คือ ใช้เวลาเรียน Coursework เพียง 1 ปี เรียนเฉพาะวันอาทิตย์ ทำให้ผู้เรียนสามารถนำวุฒิการศึกษาไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเนื้อหายังคงเข้มข้น และเรายังมีการปรับพื้นฐานสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบสาขาบัญชีโดยตรง นอกจากนี้ หลักสูตรนี้เน้นการเรียนการบัญชีดิจิทัลและพัฒนาทักษะ 10 ด้านใน 10 รายวิชา อาทิ การวางแผนบัญชี เทคโนโลยีสำหรับวิชาชีพบัญชี การบริหารความเสี่ยงในองค์กร การบัญชีเพื่อความยั่งยืน โดยได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากหลากหลายกลุ่ม ทั้งเจ้าของกิจการ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานบริษัท ที่ต้องการอัพสกิลความรู้ด้านบัญชีดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ” ดร.อริสรา กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.ปิยะวิทย์ ทิพรส ผู้อำนวยการหลักสูตร MBA มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า หลักสูตร MBA ของ DPU เปิดสอนมากว่า 40 ปี มีจุดเด่นคือมุ่งเน้นการสร้างวิธีคิดแบบผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล (Entrepreneurial Mindset) และเสริมแนวคิดด้าน ESG ซึ่งประกอบด้วย Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) รวมถึง SDGs (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังรองรับการเรียน 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย อังกฤษ และจีน มีการบูรณาการภาคทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ ผ่านการจำลองโมเดลทางธุรกิจและกรณีศึกษาจริง ที่สำคัญอาจารย์ผู้สอนมีความเชี่ยวชาญ การันตีจากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในฐานข้อมูลระดับชาติและนานาชาติ โดยสามารถเรียนจบได้ภายใน 1.8 ปี และเลือกเรียนได้ทั้งวันเสาร์หรือวันอาทิตย์

“ผู้เรียนส่วนใหญ่มาจาก 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ พนักงานบริษัท พนักงานรัฐวิสาหกิจและข้าราชการ เจ้าของธุรกิจ และนักศึกษาจบใหม่ สำหรับเจ้าของธุรกิจที่เข้ารับการศึกษา จะได้รับองค์ความรู้ใน 3 ศาสตร์หลักอันเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ การบริหารจัดการ การตลาดดิจิทัล และการเงิน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งทางด้านการยกระดับทักษะและการพัฒนาทักษะใหม่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของกิจการ ในส่วนของพนักงานบริษัท วุฒิการศึกษาที่ได้รับมีความเป็นสากล สามารถต่อยอดการปฏิบัติงานในหลากหลายบทบาท หรือสามารถนำความรู้ด้านการบริหารไปใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนตัวได้

อีกทั้งยังเป็นคุณสมบัติที่ได้รับการยอมรับในการสมัครเข้ารับราชการ เนื่องจากหลักสูตรมีความครอบคลุมและเปิดกว้างสำหรับทุกตำแหน่งงาน นอกจากนี้ หลักสูตร MBA ในปัจจุบันยังได้บูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนการสอน โดยเฉพาะในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และมีการสอนการประยุกต์ใช้ AI ในบริบททางธุรกิจด้วย" ผศ.ดร.ปิยะวิทย์ กล่าวในตอนท้าย

หลักสูตรปริญญาโททั้ง 2 หลักสูตรเปิดรับสมัครแล้ววันนี้ โดยมีทุนส่วนลดพิเศษ 20% สำหรับผู้ที่สมัครเรียนภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dpu.ac.th/th/course/profile/profile-master-of-accountancy-program-in-accountancy   และ https://www.dpu.ac.th/th/course/profile/profile-master-of-business-administration-program-in-business-administration

กรมควบคุมมลพิษ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) โครงการ “บูรณาการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวัดกลิ่นด้วยระบบ Electronic Nose” ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมอนามัย สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันศึกษา นำเสนอมาตรฐานของเครื่องมือ วิธีทดสอบ และการควบคุมคุณสมบัติของเทคโนโลยีการตรวจวัดกลิ่นด้วยระบบ Electronic Nose (E-nose) นวัตกรรมโซลูชัน เพื่อใช้สำรวจและตรวจวัดพื้นที่หรือกระบวนการผลิตที่ทำให้เกิดกลิ่น และสามารถประเมินผลกระทบกลิ่นจากกระบวนการผลิต รวมถึงตรวจวัดและเฝ้าระวังกลิ่น แก๊ส และมลพิษทางอากาศแบบต่อเนื่อง พร้อมแสดงผลบนเว็บแพลตฟอร์ม มาใช้ในความร่วมมือนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการจัดการด้านกลิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม และการพัฒนาเป็นกฎหมายตรวจสอบและควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษด้านกลิ่นเพิ่มเติมในอนาค

 

บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้สนับสนุนหลักในการจัดงานแถลงข่าว "วันหงส์แดงแห่งชาติ" ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่สำหรับสาวกหงส์แดงในประเทศไทย โดยงานนี้จัดขึ้นที่ เซ็นทรัลพระราม 9  เพื่อร่วมฉลองความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ของหงส์แดงในการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นสมัยที่ 20 โดยจะมีขบวนแห่ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก ทั่วกรุงเทพฯ ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้

คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทย- แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก กล่าวว่า "บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญให้กับแฟนบอลหงส์แดงในประเทศไทย โดยการจัดงานแถลงข่าว “วันหงส์แดงแห่งชาติ”ครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีผ่านการออกกำลังกาย และกีฬาฟุตบอล อีกทั้งยังสอดคล้องกับการเป็นพันธมิตรหลักอย่างเป็นทางการของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และร่วมสร้างพลังกายพลังใจ ความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าทุกคนทำได้ "Know You Can"  โดยบริษัทฯ พร้อมที่จะสนับสนุน อยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป”

"งานนี้ไม่ใช่แค่งานฉลองแชมป์ธรรมดา แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของแฟนหงส์แดงในประเทศไทยที่เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เราหวังว่าในวันงาน “วันหงส์แดงแห่งชาติ” กับการฉลองแชมป์ครั้งยิ่งใหญ่สำหรับหงส์แดงในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับทุกคน และเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการฟุตบอลในเมืองไทย"

คุณจิรายุ อาจสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAIN STAND CREATOR (THAILAND) เปิดเผยถึงจุดเริ่มต้นว่าโครงการเกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะจัดงานฉลองแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้หงส์แดง หลังจากการรวมตัวของทีมงานได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกัน โดยทุกฝ่ายเห็นตรง กันว่าต้องสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการฟุตบอลไทย และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ทั้งนี้ คุณจิรายุ ได้กล่าวขอบคุณบริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ที่เล็งเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่จนทำให้โครงการนี้เป็นจริง

คุณศุภวุฒิ ศรขวัญ (เกมส์เอง) เล่าว่า “ได้รับการติดต่อจากคุณกอล์ฟเพื่อร่วมงานฉลองแชมป์นัด สุดท้ายให้กับแฟนหงส์แดงไทย โดยเสนอให้ยกระดับเป็นงานใหญ่ด้วยการจัดขบวนแห่ฉลองแชมป์ หลังจากนั้นได้ชักชวนทีม THE STADIUM เข้าร่วมจนเกิดเป็นโครงการ "วันหงส์แดงแห่งชาติ" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่ ให้แฟนบอลหงส์แดงได้แสดงตัวตน ความรักและความภาคภูมิใจ ต่อสโมสร ซึ่งการได้รับการสนับสนุน จาก กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต และ CRC Sports   ทำให้มั่นใจในความสำเร็จของงาน พร้อมกับ เชิญชวนแฟนบอลหงส์แดงทุกท่าน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ของประวัติศาสตร์ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้”

คุณเบลล์ ขอบสนาม เปิดเผยว่า แม้จะเป็นแฟนแมนยูฯ แต่รู้สึกตื่นเต้นกับโครงการนี้มาก เนื่องจากเคยมีแนวคิดจัดงานในลักษณะนี้ ตั้งแต่หงส์แดงได้แชมป์คราวก่อน แต่ต้องยกเลิก เพราะสถานการณ์ โควิด ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมในวันงานที่ Central World จะเริ่มตั้งแต่ 13.00 น. ด้วยกิจกรรมฟุตบอลคลินิกตามด้วยการรวมตัวของแฟนบอลเพื่อร่วมขบวนแห่ฉลอง แชมป์ตามเส้นทางที่กำหนด และกลับมาสิ้นสุดที่ Central World โดยทีมงานตั้งใจทำงานนี้อย่างเต็ม ที่เพื่อแฟนบอลหงส์แดงโดยเฉพาะ”

คุณสุวินัย โพธิไพโรจน์ (แจ็คเล็ก) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THE STADIUM กล่าวว่า เมื่อได้รับการติดต่อให้ร่วมโครงการนี้ ทาง THE STADIUM รู้สึกตื่นเต้นและพร้อมสนับสนุน เต็มที่ เนื่องจากมีความตั้งใจที่จะสร้างชุมชนแฟนบอลหงส์แดงให้แข็งแกร่งอยู่แล้ว พร้อมยังเน้นย้ำ ว่างานนี้จะไม่เพียงเป็นที่พูดถึงในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแฟนบอลต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย และแฟนบอลจากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของ แฟนหงส์แดงและความรักที่มีต่อหงส์แดงแม้จะอยู่ห่างไกลกัน

คุณจิตกร ศรีคำเครือ (ยักษ์) Content Director ของ MAIN STAND เปิดเผยว่า “เมื่อได้รับการติดต่อเกี่ยวกับโครงการนี้จากคุณกอล์ฟ ตนตอบรับทันที เพราะเห็นว่าเป็น โครงการที่ยิ่งใหญ่สำหรับแฟนหงส์แดงประเทศไทย และจะเป็นจุดเด่นของเอเชีย โดยความพิเศษ ของงานนี้จะเป็นครั้งแรกของการจัดงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ในประเทศไทย เพื่อฉลองแชมป์หงส์แดงโดยได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของหงส์แดงในประเทศไทย ได้แก่ CRC Sports และ กลุ่มแฟนคลับอย่างเป็นทางการ ซึ่งช่วยให้กิจกรรมได้รับการรับรองและการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ”

คุณสุภาภรณ์ ปรีเปรม Head of Soccer Brands, CRC Sports กล่าวว่า “CRC Sports รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานประวัติศาสตร์ "วันหงส์แดงแห่งชาติ" โดยในฐานะผู้นำใน วงการธุรกิจกีฬาของประเทศไทย CRC Sports มุ่งมั่นสนับสนุนกิจกรรมที่เชื่อมโยงแฟนกีฬาชาวไทย กับสโมสรระดับโลกอย่างหงส์แดง และมองว่างานนี้เป็นโอกาสสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงพลัง และความแข็งแกร่งของชุมชนแฟนบอลหงส์แดงในประเทศไทย”

เผยเสน่ห์และเอกลักษณ์ของอาหารไทยจากสองท้องถิ่น ผ่านการประชันของสองเชฟชื่อดัง ให้คุณลิ้มรสความกลมกล่อมของอาหารภาคเหนือและความจัดจ้านเข้มข้นเป็นเอกลักษณ์จากอาหารภาคใต้

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ เยอรมนี ประกาศจัดงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในเอเชีย “THAIFEX – ANUGA ASIA 2025ในวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเวทีให้ผู้ประกอบการได้มาค้นหาสินค้าและนวัตกรรมอาหาร สร้างโอกาสทางธุรกิจ และเปิดมุมมองใหม่ทางธุรกิจ พร้อมทั้งตอกย้ำบทบาทไทยในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารโลก ภายใต้นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกของกระทรวงพาณิชย์ เปิดเจรจาธุรกิจทั้ง 5 วัน และเปิดให้ประชาชนเข้าชมและซื้อสินค้าในวันสุดท้าย

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบในด้านอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งจากความหลากหลายของวัตถุดิบ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ และความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาและปรับตัวได้อย่างสอดคล้องกับตลาดโลก จากจุดแข็งดังกล่าว รัฐบาลจึงเดินหน้านโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมทั้งส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านอาหารของภูมิภาค

ในส่วนของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันการค้าไทยสู่ตลาดโลก ได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยกว่า 700 กิจกรรม โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าการค้ารวมกว่า 92,000 ล้านบาท และช่วยเหลือผู้ประกอบการกว่า 260,000 ราย โดยมีทูตพาณิชย์ 58 แห่งทั่วโลกทำงานเชิงรุก ติดตามสถานการณ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ได้ยกระดับโครงการ Thai SELECT ที่มี 1,779 แห่งทั่วโลก โดยจะปรับเกณฑ์การรับรองเป็นระบบดาวผ่านสัญลักษณ์รูปดอกกล้วยไม้

“งาน THAIFEX – ANUGA ASIA ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของกรมฯ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้แสดงศักยภาพ เจรจาธุรกิจ และเรียนรู้แนวโน้มอุตสาหกรรมระดับโลก ภายในงานจะมีทั้งการแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ควบคู่กับกิจกรรมให้ความรู้ เวิร์กชอป และการแข่งขันระดับนานาชาติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก” นางสาวสุนันทนา กล่าว

สำหรับ THAIFEX - ANUGA ASIA 2025 มีกระแสตอบรับที่ดีมาก ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้ารวม 3,233 บริษัท 6,205 คูหา จากประเทศไทยและอีกกว่า 56 ประเทศทั่วโลก นำสินค้ามาจัดแสดงอย่างครบครัน ทั้งเครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูป เทคโนโลยีอาหาร อาหารแช่แข็ง ผักและผลไม้ เนื้อ ข้าว อาหารทะเล ขนมและของขบเคี้ยว โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงาน (trade visitor) ตลอดทั้ง 5 วัน กว่า 90,000 ราย จากทั่วโลก คาดการณ์มูลค่าการสั่งซื้อสินค้าทันทีและการสั่งซื้อสินค้าภายใน 1 ปี รวมกว่า 98,000 ล้านบาท

“จากความร่วมมือของพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศอย่างหอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ เยอรมนี จะทำให้งาน THAIFEX - ANUGA ASIA 2025 เป็นมากกว่างานแสดงสินค้า แต่จะเป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางธุรกิจระดับภูมิภาค และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต” นางสาวสุนันทา กล่าว

ดร.กฤษณะ วจีไกรลาศ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า THAIFEX - ANUGA ASIA ถือเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ขยายตลาดอาหารและเครื่องดื่มสู่เวทีนานาชาติ โดยปัจจุบันประเทศไทยครองอันดับ 12 ของโลกด้านการส่งออกอาหาร และมีแนวโน้มว่าการส่งออกอาหารในปี 2568 จะมีมูลค่าถึง 1,750,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 จากปีก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ที่มุ่งผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการส่งออกอาหารของโลก

THAIFEX – ANUGA ASIA ในฐานะงานแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมอาหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของไทย ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการ SME สตาร์ตอัป และบริษัทขนาดใหญ่ ให้สามารถเชื่อมโยงกับผู้นำเข้า ผู้ซื้อ และพันธมิตรทางธุรกิจจากทั่วโลก โดยในปีนี้คาดว่าจะมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 1,184 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการ SME มากกว่า 500 ราย ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดระหว่างประเทศ ทั้งยังมีผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้าร่วมอีกกว่า 2,000 ราย จากภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ เอเชียตะวันออก อาเซียน ยุโรป สหรัฐอเมริกา ลาตินอเมริกา และแอฟริกา

สำหรับ THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ปีนี้ เน้นการเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยเข้ากับเมกะเทรนด์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ Plant-Based, Sustainable Products, Functional Foods และสินค้าเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดยุโรปและจีน ผู้ประกอบการจะมีโอกาสนำเสนอนวัตกรรมสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสามารถต่อยอดสู่ตลาดสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการ SME รายหนึ่งเข้าร่วมงานด้วยบูธขนาดเล็ก แต่สามารถคว้ารางวัล THAIFEX – ANUGA tasteInnovation Award จากงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 และได้นำตรารางวัลไปต่อยอดสร้างแบรนด์จนสามารถปิดดีลกับผู้ซื้อจากอินเดียได้สำเร็จ สะท้อนให้เห็นว่า THAIFEX – ANUGA ASIA ไม่เพียงเป็นเวทีการเจรจาธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจและโอกาสใหม่ ๆ สำหรับผู้ประกอบการไทยในการก้าวสู่เวทีโลก” ดร.กฤษณะ กล่าว

นายแมธเธียส คูเปอร์ กรรมการผู้จัดการและรองประธานภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก โคโลญเมสเซ่ ย้ำถึงบทบาทเชิงกลยุทธ์ของงาน THAIFEX - ANUGA ASIA ในฐานะศูนย์กลางระดับภูมิภาคสำหรับการพบปะและเชื่อมโยงธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก โดยกล่าวว่า “จุดเด่นที่ทำให้ THAIFEX – ANUGA ASIA แตกต่าง คือความสามารถในการสะท้อนภาพพฤติกรรมผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการเป็นแรงผลักดันให้นวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้าง”

สำหรับงานปีนี้ได้รับการตอบรับจากผู้นำในอุตสาหกรรมที่กลับมาเข้าร่วมงานจากทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิก ยุโรป อเมริกาเหนือ และตะวันออกกลาง ขณะเดียวกันยังได้ต้อนรับผู้จัดแสดงสินค้ารายใหม่จากเอเชียกลาง แอฟริกา และยุโรปตะวันออก อาทิ สโลวีเนีย คีร์กีซสถาน และสโลวาเกีย โดยบูธแสดงสินค้าทั้งหมดถูกจองเต็มล่วงหน้า พร้อมรายชื่อผู้รอคิวเข้าร่วมงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความต้องการที่สูงเกินกว่าพื้นที่ที่มี และตอกย้ำความสำคัญของงานในฐานะแหล่งจัดหาสินค้าและเครื่องชี้วัดเทรนด์สำคัญของภูมิภาคนี้

นอกจากนี้ ปีนี้ยังมีการเพิ่มพาวิลเลียนใหม่จากออสเตรเลีย ฮ่องกง และเนเธอร์แลนด์ เพื่อขยายโอกาสในการจัดซื้อให้แก่ผู้ซื้อจากทั่วเอเชียแปซิฟิก

การมีส่วนร่วมจากผู้ซื้อในปีนี้จะขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยเกือบ 80% ของผู้เข้าร่วมในโครงการ Hosted Buyer Programme เป็นผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ ทั้งจากภูมิภาคอินโดจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงผู้ค้าปลีกชั้นนำระดับโลก อาทิ AEON (ญี่ปุ่น), Angliss (ฮ่องกง) และ Choithrams (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เป็นการตอกย้ำบทบาทของ THAIFEX – ANUGA ASIA ในการเป็นประตูเปิดสู่ตลาดใหม่ และส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจข้ามพรมแดนในระดับภูมิภาค

สำหรับกิจกรรมพิเศษและกิจกรรมสนับสนุนในปีนี้จะเน้นการแสดงนวัตกรรมผ่านการจัดแสดงเฉพาะทาง อาทิ  THAIFEX – ANUGA tasteInnovation Show, THAIFEX – ANUGA Startup, THAIFEX – ANUGA Trend Zone ที่ร่วมมือกับ Innova Market Insights, Future Food Experience+,  การแข่งขัน Alternative Protein Taste & Flavour Challenge และโซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ฮาลาลและออร์แกนิก โดยทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย ทั้งในด้านเทคโนโลยี AI, โภชนาการจากพืช และอาหารเพื่อสุขภาพที่สนับสนุนการนอนหลับ การทำงานของสมอง และคุณภาพชีวิตโดยรวม

“ในขณะที่เอเชียมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางชองเทรนด์อาหารระดับโลก งาน THAIFEX – ANUGA ASIA จึงเปรียบเสมือนหน้าต่างสำคัญที่เปิดให้เห็นนวัตกรรมซึ่งกำลังเปลี่ยนไปทั้ง ‘สิ่งที่เราบริโภค’ และ ‘เหตุผลที่เราบริโภค’ ” นายคูเปอร์ กล่าว

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ได้ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) โทร.1169 หรือ www.ditp.go.th และลงทะเบียนเข้าชมงานได้ที่ https://registration.thaifex-anuga.com/el/9An5Wm  เจรจาธุรกิจวันที่ 27-30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-18.00 .  เจรจาธุรกิจและจำหน่ายปลีกสำหรับประชาชนทั่วไป ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 5-12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

“เมื่อเสียงระเบิดแห่งสงครามสิ้นสุดลง อาณาจักรธุรกิจของตระกูลใหญ่ในญี่ปุ่นกลับต้องเผชิญการล่มสลายจากภายใน ไม่ใช่ด้วยอาวุธ

หากแต่ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างอย่างถอนราก—ทว่า ในเถ้าถ่านแห่ง “ไซบัตสึ” กลับก่อเกิดเครือข่ายใหม่ที่เรียกว่า “เคเระสึ” ซึ่งแม้จะไร้ชื่อของตระกูล แต่กลับสืบทอดจิตวิญญาณของธุรกิจครอบครัว ไว้อย่างลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม”

ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นหลังสงครามไม่ได้สูญสลายไปกับโครงสร้างเดิม แต่สามารถปรับเปลี่ยนบทบาทจากการควบคุมแบบเดิม มาสู่การดำรงอยู่ในรูปแบบใหม่ที่ผสานทั้งความเป็นมืออาชีพและวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างลึกซึ้ง นี่คือบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึง “พลังของการปรับตัวโดยไม่สูญเสียแก่นแท้” ซึ่งเป็นหัวใจของความยั่งยืนในบริบทธุรกิจครอบครัว

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 1-2 https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=471

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 1/3 https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=471

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 2/3 https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=472

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 3/3 https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=473

ยุคดิจิทัลเปลี่ยนโลกการสื่อสารไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในแวดวงประชาสัมพันธ์ (PR) และการสร้างแบรนด์ ที่ไม่ได้วัดแค่เสียงตอบรับของลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึง “ความรู้สึก” ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ด้วย กู๋แมธธ์ หรือ “สุวิทย์ เอื้อศักดิ์ชัย” ผู้ก่อตั้ง บริษัท แบรนด์แมทเทอร์แพลน จำกัด ได้แนะนำแนวทางสำหรับ  “เทรนด์พีอาร์ยุคใหม่” ผ่านสายตานักสร้างแบรนด์ตัวจริง ว่าอะไรควรเดินต่อ และอะไรควรหยุด!

เทรนด์ “รุ่ง” ที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องรู้

  1. เล่าเรื่องมากกว่าขายของ
    แบรนด์ที่รุ่งคือแบรนด์ที่ไม่เพียงแค่ “พูด” แต่ “เล่า” ได้ เรื่องราวที่มีแก่นแท้และคุณค่า ทำให้ผู้บริโภครู้สึกมีส่วนร่วม ไม่ใช่เป็นแค่ผู้รับสารเฉยๆ ดังนั้น  การใช้คาแรกเตอร์เข้ามาสร้างอารมณ์ร่วม ไม่ใช่เพียงแค่เพราะมีความน่ารักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเชื่อมโยงกับความรู้สึกได้ด้วย  เช่น Starbucks ดึงความคลาสสิกของตัวการ์ตูนสนูปปี้มาเป็นคาแรคเตอร์ของสินค้าที่ระลึกและ สร้างสรรค์เมนูพิเศษในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้ฐานแฟนของคาแรคเตอร์รู้สึกสนุกและอยากสะสม  หรือร้านสะดวกซื้อที่เปลี่ยนคาแรคเตอร์จากหมีเนย “Butter Bear”มา เป็นตัวการ์ตูน “Stitch” เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ที่คนอยากสะสมต่อเนื่อง เรียกว่าเป็นโอกาสของแบรนด์ในการใช้ตัวการ์ตูนมาสร้างยอดขาย
  2. เจ้าของแบรนด์ต้องมี “ตัวตน” ที่จับต้องได้
    ยุคนี้ไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่ต้องขาย “บุคลิก” ของแบรนด์ด้วย การที่เจ้าของแบรนด์กล้าเปิดเผยตัวตนและสร้างคุณค่าที่น่าเชื่อถือ จะ เชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าการที่เจ้าของแบรนด์ซ่อนตัวตนอยู่เบื้องหลัง
  3. เข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง
    ไม่ใช่ทุกคนที่จะซื้อของด้วยเหตุผลเดียวกัน เจ้าของแบรนด์ต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายใช้ “เหตุผล” หรือ “อารมณ์” เป็นตัวตัดสินใจในการซื้อ หรือใช้ทั้งเหตุผลและอารมณ์มาผสมผสานในการตัดสินใจก่อนซื้อ เช่น กลุ่ม Gen Z จะให้ความสำคัญกับความรู้สึกและประสบการณ์มากกว่าฟังก์ชัน ดังนั้นการเล่าเรื่องที่ดี สื่อให้ลูกค้ารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับแบรนด์จะช่วยให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ รู้สึก “อิน” และตัดสินใจซื้อได้เร็วกว่าเจนเนอเรชั่นอื่นๆ
  4. แบรนด์ต้องมี Brand Value ที่แท้จริง
    สินค้าที่ดีต้องมีมากกว่าคุณสมบัติ รวมทั้งต้องมี “คุณค่า” ที่ผู้บริโภครู้สึกได้ เช่น Xiaomi แบรนด์มือถือชื่อดังของจีนที่ดูเหมือนจะเป็นแบรนด์เล็กมากแต่กลับมีแฟนคลับที่ เหนียวแน่นมาก เพราะเขารู้ใจ เข้าใจว่าผู้บริโภคต้องการอะไรและพัฒนาสินค้าตามความต้องการของลูกค้า เมื่อเกิดปัญหาหรือกระแสเชิงลบขึ้นมา ก็มีฐานแฟนที่พร้อม “เถียงแทน” เมื่อมีคนโจมตี แม้เจ้าของจะไม่ได้พูดอะไรเลย และบางทีอาจจะยังไม่รู้ว่าเกิดกระแสอะไรขึ้นมาด้วยซ้ำ

เทรนด์ “ร่วง” ที่ควรเลิกทำ

  1. เล่าเรื่องแบบ fact sheet ไม่อิน ไม่เชื่อมโยง
    การนำเสนอข้อมูลที่เหมือนอ่านเอกสารโรงงานไม่ใช่เรื่องราวที่ผู้บริโภคอยากฟัง ต้องเข้าใจก่อนว่าผู้บริโภคยุคนี้ไม่ใช่คนโง่ แต่เขาต้องการความรู้สึกที่ “เชื่อโดยไม่รู้ตัว” มากกว่าการยัดเยียดข้อมูล
  2. เปรียบเทียบกับคู่แข่งเพื่อชนะ
    แบรนด์ที่เอาแต่เปรียบเทียบกับทุกคู่แข่งมักเสียเวลาและเสียอารมณ์ เพราะทุกสินค้าไม่สามารถเทียบกันได้เสมอ การสร้างเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครดีกว่าแข่งขันด้วยสิ่งเดิมๆ
  3. พึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์แบบไม่ลืมหูลืมตา
    การเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์แบบไม่มีแผน หรือเลือกคนที่ไม่มีพลังบอกต่อที่ดีพออาจกลายเป็นดาบสองคม เพราะอินฟลูเอนเซอร์ยุคนี้ไม่ใช่แค่หน้าตาดี แต่ต้องมีคาแรกเตอร์ที่ผู้คน “จดจำ” ด้วยจริงๆ
  4. ขาดความมั่นใจในตัวเอง
    แบรนด์ที่ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนหรือหลงไปตามกระแส เอาความสำเร็จของคนอื่นมาใส่ตัวเอง โดยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วแบรนด์ของตนเองควร “เป็นใคร” และ “พูดกับใคร” ก็ยากจะอยู่รอดในระยะยาว

ต้องยอมรับว่าเพจหรือเว็บไซต์บนโลกออนไลน์ในยุคนี้ มีความเสี่ยงว่าจะเป็นมิจฉาชีพกันเยอะมาก โดยเฉพาะในกลุ่มท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม รีสอร์ทหรือบัตรท่องเที่ยวก็เจอปัญหาปลอมเพจ ปลอมบัญชี จนส่งผลเชิงลบให้แก่แบรนด์และลูกค้าก็ไม่กล้าใช้งานเพจจริง กู๋แมทท์ได้แนะนำการทำแบรนด์ “ไม่ให้ดูเป็นมิจฉาชีพ”  ไว้ดังนี้

  1. แสดงตัวตนด้วยข้อมูลที่ตรวจสอบได้ เช่น การใช้เบอร์โทรที่ขึ้นต้นด้วย 02 มีเว็บไซต์ทางการ หรือเลขบัญชีที่เป็นชื่อแบรนด์หรือบริษัทนั้น เป็นเรื่องที่มิจฉาชีพมักไม่มี
  2. มีคอนเทนต์ที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การที่แบรนด์ตัวจริงจะมีความเสมอต้นเสมอปลายในการสร้างเนื้อหา หรือ Brand Consistency ทั้งในแง่คอนเทนต์ โทนสี และภาพลักษณ์ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ไม่ใช่แค่การเปิดเพจหรือเว็บไซต์ไว้แล้วนานๆ ทีค่อยโพสต์เนื้อหา หรือมีการอัปเดตข้อมูลอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง จึงต้องวางแผนทำคอนเทนต์ในแต่ละเดือนให้ชัดเจน
  3. บอกเล่าที่มาที่ไปแบบ Storytelling การเล่าเรื่องที่ดีต้อง ไม่ใช่แค่ขายของ แต่ต้องเล่าถึงแนวคิดในการทำงาน การพัฒนาสินค้าและบริการ ไปจนถึงแรงบันดาลใจในการเกิดขึ้นของตัวสินค้า  เพื่อทำให้ลูกค้าได้รับรู้ว่าแบรนด์มีความตั้งใจจริงในการสร้างสรรค์สินค้านั้นๆ ขึ้นมา
  4. เปิดเผยข้อมูลการทำธุรกรรมอย่างโปร่งใส สิ่งที่ลูกค้าเป็นกังวลว่าจะโดนหลอกลวง ไม่ใช่แค่เรื่องของข้อมูล แต่เป็นเรื่องของการโอนเงินเพื่อจ่ายหรือซื้อสินค้า ดังนั้น หากต้องมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการอะไร ควรให้ลูกค้าโอนเงินเข้าบัญชีบริษัท ไม่ใช่บัญชีส่วนบุคคลของพนักงานคนใดคนหนึ่ง เพราะนอกจากดูไม่มืออาชีพแล้ว ยังเสี่ยงต่อการทุจริตอีกด้วย
  5. ไม่หลอกลวงผู้บริโภคด้วยสินค้าคุณภาพต่ำหรือของก็อป เพราะของปลอมไม่สามารถสร้าง Brand Loyalty ได้ รวมทั้งยังส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาวด้วย

ดังนั้น การที่แบรนด์ของคุณจะรุ่งหรือร่วง อยู่ที่ความเป็นตัวเอง เพราะสิ่งนี้จะเป็นการสร้าง“ความรู้สึก” และ “ความเชื่อมั่น” ในใจของผู้บริโภค เพราะแบรนด์ที่ดีก็ควรที่จะเข้าใจตัวเอง เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และสื่อสารด้วยหัวใจที่จริง เพื่อที่จะยืนหยัดในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและรักษาแบรนด์ได้อย่าง มั่นคง

X

Right Click

No right click