

บริษัท ไซม์ ดาร์บี้ ออโต้ สปอร์ต จำกัด ประกาศเปิดตัว ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา (Porsche Centre Pattaya) โชว์รูมและศูนย์บริการระดับโลกแห่งใหม่บนถนนสุขุมวิท บางละมุง พัทยา บนพื้นที่กว่า 5,300 ตารางเมตร ด้วยสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดจากปอร์เช่ ภายใต้แนวคิด "Destination Porsche" เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในภาคตะวันออก
ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 โดยในงานนี้ทางไซม์ ดาร์บี้ ออโต้ สปอร์ต ได้เผยโฉมรถยนต์ที่เป็นไฮไลท์ ได้แก่ ปอร์เช่ 911 GTS T-Hybrid ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2025 พร้อมด้วย ปอร์เช่ 911 GT3 พร้อมชุดแต่งเพิ่มสมรรถนะ Manthey Performance Kit และ ปอร์เช่ 718 GT4 RS สร้างความตื่นตาตื่นใจและให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด

นายแอนดรูว์ บาแชม กรรมการผู้จัดการ ไซม์ มอเตอร์ส กล่าวว่า "ความร่วมมืออันยาวนานระหว่างเรากับปอร์เช่ดำเนินมายาวนานกว่าทศวรรษ และครอบคลุมหลายประเทศ รวมถึงมาเลเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และปัจจุบันคือประเทศไทย เส้นทางความร่วมมือของเราเต็มไปด้วยความสำเร็จที่น่าจดจำ ตั้งแต่การก่อตั้งโรงงานประกอบรถปอร์เช่แห่งแรกนอกยุโรปที่เมืองอิโนโคม ไปจนถึงการผลิตรถปอร์เช่ คาเยนน์เพื่อส่งออกมายังประเทศไทย เรายังคงมุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานระดับโลกพร้อมเดินหน้าพัฒนาขับเคลื่อนวงการยานยนต์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค"
นายฮานเนส รูออฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปอร์เช่ เอเชีย แปซิฟิก เผยว่า "ปอร์เช่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องในประเทศไทย โดยปี 2567 ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จที่โดดเด่น ตั้งแต่การนำเข้า Cayenne S E-Hybrid Coupé รุ่นแรกที่ประกอบในภูมิภาค ไปจนถึงการเปิด ปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก และป๊อปอัพคอนเซ็ปต์ Curvistan Bangkok (เคอร์วิสตาน แบงคอก) และในวันนี้ เราก้าวไปอีกขั้นในการขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายด้วยการเปิด Porsche Centre Pattaya แห่งใหม่ เพื่อส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษและความประทับใจที่ให้กับเจ้าของปอร์เช่ในภาคตะวันออกของประเทศไทย พร้อมเดินหน้าไปกับพันธมิตรทางธุรกิจของเราเพื่อสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วภูมิภาค”
นายไมเคิล เวตเตอร์ กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า "ปอร์เช่ ประเทศไทย ภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ แห่งที่ 4 เข้าสู่เครือข่ายของเรา ซึ่งบริษัท ไซม์ ดาร์บี้ ออโต้ สปอร์ต จำกัด ถือว่าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีประสบการณ์อันยาวนานในวงการปอร์เช่ โดยลูกค้าและแฟนของปอร์เช่มั่นใจได้ว่า รถสปอร์ตในฝันของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ภายใต้บริการที่มีมาตรฐานระดับโลก"
นายอาร์นท์ เบเยอร์ กรรมการผู้จัดการ ไซม์ ดาร์บี้ ออโต้ สปอร์ต กล่าวว่า "เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัว ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา ซึ่งเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย พนักงานทุกคนผ่านการฝึกอบรมระดับสูงและใส่ใจในทุกรายละเอียด พวกเราพร้อมให้บริการระดับพรีเมียมและรอต้อนรับลูกค้าทั่วภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย ทั้งในชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และพัทยา เข้าสู่ครอบครัวปอร์เช่"

สัมผัสประสบการณ์ "Destination Porsche"
ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา เป็นหนึ่งในศูนย์แห่งใหม่แห่งแรกของปอร์เช่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ผสมผสานแนวคิดสถาปัตยกรรมล่าสุดภายใต้แนวคิด "Destination Porsche" ส่วนหน้าของโชว์รูมภายนอกโดดเด่นด้วยการออกแบบในโทนสีแดงตัดกับสีเงินคลาสสิก ซึ่งสะท้อนถึงความหลงใหลและมรดกอันล้ำค่าของปอร์เช่ พร้อมสื่อถึงจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมอันไม่หยุดนิ่งซึ่งเป็นคุณค่าที่ฝังแน่นอยู่ในรถสปอร์ตทุกคันของปอร์เช่
โชว์รูมแห่งนี้โดดเด่นด้วยการออกแบบในเรื่องการประหยัดพลังงาน อาทิ หลังคา ผนัง และกระจกที่เป็นฉนวนกันความร้อนสูงเพื่อลดการได้รับความร้อนและทำให้ใช้พลังงานต่ำลง มีการนำระบบกักเก็บน้ำฝนมาใช้ร่วมกับ อุปกรณ์ประหยัดน้ำเพื่อลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้ ทำให้สามารถลดการใช้น้ำได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่า 255,000 ลิตรต่อปี นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคา ที่มีกำลังการผลิตสูงสุด 261 กิโลวัตต์ชั่วโมง ช่วยให้ผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 50% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ภายในโชว์รูมกว้างขวางทันสมัย มี ‘Racing Line' พื้นที่จัดแสดงยนตรกรรมชั้นเลิศได้ถึง 8 คัน มีแสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาช่วยทำให้รถโดดเด่นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านดิจิทัลมากมาย รวมถึง Porsche Car Configurator พื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานได้หลากหลาย เช่น Co-working Space และ การจัดกิจกรรมในโชว์รูม นอกจากนี้ ยังมีมุมสำหรับคอลเลคชั่นสินค้าไลฟ์สไตล์ของปอร์เช่ที่นำเข้าจากเยอรมนี ทั้งรถจำลอง เครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์เสริมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ช่วยให้ลูกค้าได้เติมเต็มจิตวิญญาณปอร์เช่ในทุกช่วงเวลา

Porsche Service Pattaya การฝึกอบรมและการให้บริการระดับพรีเมียม
ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา พร้อมส่งมอบประสบการณ์ด้านบริการที่ครอบคลุมครบวงจรตอบโจทย์ผู้ใช้รถยนต์ปอร์เช่ทุกรุ่น รองรับด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมขั้นสูง มั่นใจได้ว่ารถยนต์ของท่านจะได้รับการบำรุงรักษาและซ่อมแซมอย่างดีที่สุด
ภายในศูนย์บริการครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือเฉพาะทาง อาทิ ห้องซ่อมแบตเตอรี่ สำหรับปอร์เช่ EV แบตเตอรี่แบบโมดูลาร์ ห้องซ่อมเครื่องยนต์–ระบบส่งกำลัง ระบบทดสอบไฟหน้าพร้อมระบบกล้อง เครื่องถ่วงล้ออัตโนมัติที่จำลองแรงเสียดทานจริง รวมถึงการตั้งศูนย์ล้อ 3D แบบออนไลน์ และเครื่องเปลี่ยนยางแบบไร้คานงัด โดยเครื่องมือทั้งหมดได้รับการรับรองมาตรฐานสูงสุดเหมือนกับศูนย์บริการปอร์เช่ทุกแห่ง นอกจากนี้มีการติดตั้งรอกยกแบบฝังใต้ดิน ทำให้สภาพแวดล้อมดูสะอาดตา และใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า สามารถเข้าถึงช่วงล่างของรถและห้องโดยสารได้อย่างสะดวกสบาย โดยรอกแบบฝังใต้ดินนี้ยังปลอดภัยและมีความทนทานมากกว่าเมื่อเทียบกับรอกที่อยู่เหนือพื้นดิน บนชั้นสองของศูนย์บริการเป็นห้องทำสีและซ่อมตัวถังมาตรฐานโลกรับรองโดย VAS พร้อมห้องเชื่อมควบคุมอุณหภูมิ เพื่อการประมวลผลการซ่อมแซมตัวถังเหล็กและอลูมิเนียม นอกจากนี้ ยังมีห้องเตรียมสีแบบปิด 2 ห้อง พื้นที่ทำงาน และห้องพ่นสีทันสมัย 2 ห้องที่พร้อมดูแลซ่อมแซมปอร์เช่ทุกคัน อีกทั้งยังมีบริการเสริมหลากหลาย อาทิ การเคลือบสี ติดตั้งฟิล์มกันรอย (PPF) ฟิล์มกรองแสงสำหรับซันรูฟและมูนรูฟ งานตกแต่งภายใน และการดูแลเบาะหนัง
ทีมงานปอร์เช่ เซอร์วิส พัทยา รวบรวมทีมงานที่มีประสบการณ์สูงทั้งช่างเทคนิคที่มีทักษะและผู้เชี่ยวชาญด้านตัวถังและสีที่ได้รับการฝึกอบรมด้านการดูแลรักษารถยนต์ปอร์เช่โดยเฉพาะ ซึ่งพร้อมที่จะให้บริการลูกค้าปอร์เช่ทุกคนในภาคตะวันออกของประเทศไทย

การเปิดตัวรถสุดพิเศษในงานเปิดตัว ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา
ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 โดยหนึ่งในไฮไลท์ของงานนี้คือการเผยโฉม 911 GTS T-Hybrid ซึ่งเป็น 911 รุ่นแรกที่มาพร้อมกับระบบไฮบริดสมรรถนะสูงน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ โดยเปิดตัวครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ และยังสร้างกระแสในงานเปิดตัว ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา อีกด้วย 911 GTS ถือเป็นก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญของรุ่น 911 ที่ได้รับการเสริมประสิทธิภาพด้วยระบบ T-Hybrid นวัตกรรมใหม่ซึ่งช่วยปรับปรุงอัตราเร่งและการตอบสนองได้ดีขึ้น ระบบช่วงล่างยังได้รับการพัฒนาปรับปรุงเพื่อการควบคุมที่รวดเร็วและคล่องตัวยิ่งขึ้น ด้วยการผสานเทคโนโลยี T-Hybrid ส่งผลให้ 911 GTS มีพละกำลังและสมรรถนะที่เหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ปอร์เช่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมรถสปอร์ตอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดง 718 GT4 RS รุ่นที่มีความสมบูรณ์แบบและทรงพลังที่สุดในสาย ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์สันดาปภายในรอบสูง ผสานโครงสร้างน้ำหนักเบา การตั้งค่าแชสซีปรับจูนให้คล่องแคล่ว อากาศพลศาสตร์ขั้นสูง และเสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ เมื่อนำมารวมกันแล้วทำให้สร้างประสบการณ์การขับขี่ปอร์เช่ที่เหนือระดับ รถยนต์คันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 4.0 ลิตรที่นำมาจากรุ่น 911 GT3 Cup โดยตรง และพละกำลัง 500 PS (493 แรงม้า) พร้อมด้วยอุปกรณ์เสริมที่ครบครัน รวมถึงแพ็คเกจ Weissach และระบบเบรกคอมโพสิตเซรามิกของปอร์เช่ ตอบสนองทุกความต้องการของนักแข่งมอเตอร์สปอร์ต และ 718 GT4 RS ยังโดดเด่นด้วยสี Shark Blue ซึ่งเป็นสีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศไทย
สำหรับ 911 GT3 สี Arctic Gray โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีรถแข่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรุ่นการผลิต ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบนอนขนาด 4.0 ลิตร ให้กำลัง 510 แรงม้า มาพร้อมกับชุดแต่งของ Manthey ประกอบด้วยสปอยเลอร์หลังที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น และระบบกันสะเทือนแบบคอยล์โอเวอร์ที่ปรับได้ 4 ทิศทาง สมรรถนะที่โดดเด่นได้รับการพิสูจน์ด้วยเวลาต่อรอบที่ดีขึ้นถึง 4.19 วินาทีที่ สนามแข่ง Nürburgring Nordschleife

ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา พร้อมเปิดให้บริการเพื่อสัมผัสประสบการณ์เหนือระดับ
ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัทยา พร้อมต้อนรับลูกค้าและแฟนปอร์เช่ทุกท่านที่มีใจรักในนวัตกรรมและสมรรถนะของรถปอร์เช่ มาร่วมเดินทางเพื่อสัมผัสประสบการณ์ความตื่นเต้นของปอร์เช่ในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เพลิดเพลินไปกับการต้อนรับสุดพิเศษ จาก Back to School Café ที่นำเสนอกาแฟระดับพรีเมียมอย่าง “911 roast” เมนูสูตรพิเศษที่ได้รับการรังสรรค์เพื่อลูกค้าที่มีรสนิยมเช่นคุณ พร้อมเมนูเครื่องดื่มเอ็กซ์คลูซีฟอื่น ๆ ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่โชว์รูมแห่งนี้เท่านั้น
บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาขน) หรือ NT ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการทดสอบระบบแจ้งเตือนภัย ผ่านการส่งข้อความแจ้งเตือนโดยตรงถึงโทรศัพท์มือถือของประชาชนในพื้นที่ทดสอบ หรือCell Broadcast สำหรับการแจ้งเตือนภัยสาธารณะผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ณ สถานที่บัญชาการเหตุการณ์การทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระดับกลาง (อำเภอ/เขต) ห้องวอร์รูม (War Room) ชั้น 6 อาคารศูนย์ปฎิบัติการแพร่ภาพออกอากาศการกระจายเสียงวิทยุและการให้บริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ กรมประชาสัมพันธ์ ถนนวิภาวดี

นายณัฏฐวิทย์ สุฤทธิกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มสื่อสารไร้สาย บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เปิดเผยว่า NT ร่วมกับ ปภ. ทำการทดสอบความพร้อมของระบบ Cell Broadcast ในพื้นที่จริงครั้งที่ 2 ในวันพุธที่ 7 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. เป็นการทดสอบ “การแจ้งเตือนระดับกลาง” ในระดับอำเภอ/เขต 5 พื้นที่ ได้แก่ อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี และเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ซึ่งการทดสอบส่งสัญญาณในระดับกลางนี้ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน ทุกตำบล ในอำเภอต่างๆ ทั้ง 5 พื้นที่เป้าหมายได้รับสัญญาณจาก Cell Broadcast และจากการทดสอบระบบ Cell Broadcast ของ NT ผลการทดสอบพบว่า ระบบสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนภัยถึงโทรศัพท์มือถือในพื้นที่เป้าหมายได้อย่าง รวดเร็ว ครอบคลุม และแม่นยำ รองรับการใช้งานได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS โดยไม่กระทบต่อการให้บริการปกติ ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าที่ใช้บริการ my by NT บนโครงข่าย 4G-700 MHz จะได้รับการแจ้งเตือนภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที พร้อมสร้างความมั่นใจในการใช้งานจริงยามเกิดเหตุฉุกเฉิน ทั้งนี้ ระบบส่งข้อความครั้งเดียว พร้อมเสียงเตือนยาว 8 วินาที แสดงข้อความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และจะค้างสัญญาณไว้เป็นเวลา 10 นาที เพื่อให้ผู้ที่เข้าสู่พื้นที่หลังจากการส่งยังสามารถรับข้อความได้ทันที

NT ยืนยันพร้อมในการเปิดใช้งานร่วมทดสอบระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast อย่างเต็มรูปอีกครั้งในวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ระดับใหญ่ (ระดับจังหวัด) ใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ จ.อุดรธานี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร โดยผู้ใช้บริการ my by NT ที่เปิดเครื่องและเชื่อมต่อเครือข่าย 4G/ 5G และอัปเดตซอฟต์แวร์เป็น Android 11 ขึ้นไป หรือ IOS 18 ขึ้นไปในพื้นที่ทดสอบจะได้รับการแจ้งเตือน

NT พร้อมพัฒนาระบบ Cell Broadcast ให้มีประสิทธิภาพให้มีการแจ้งเตือนที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยภายหลังจากการทดสอบ จะมีการเก็บข้อมูลประสิทธิภาพของระบบผ่านแบบสอบถามออนไลน์ (Google Form) ของ ปภ. เพื่อทบทวนประสิทธิภาพและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมสรุปผลการทดสอบและวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่การปรับปรุง ในการใช้งานระบบแจ้งเตือนภัยต่อไป เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจในระบบแจ้งเตือนภัยของประเทศไทยที่สามารถแจ้งเตือนถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้อย่างทั่วถึง ทันท่วงที สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง และอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้อย่างทันท่วงที
| สหรัฐ |
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวมากขึ้น หนุนเฟดปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ในเดือนเมษายน แม้การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 1.77 แสนตำแหน่ง แต่ชะลอลงจาก 1.85 แสนตำแหน่งในเดือนมีนาคม ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.2% อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ (JOLTS) ในเดือนมีนาคมปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 7.19 ล้านตำแหน่ง
แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานจะออกมาดีกว่าคาด แต่ข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ความเชื่อมั่นผู้บริโภค การบริโภคภาคเอกชน PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ รวมถึงตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ ยังคงบ่งชี้ถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และสอดคล้องกับ GDP ในไตรมาส 1 ที่หดตัวลง -0.3% QoQ annualized ซึ่งไม่เพียงเป็นผลจากการเร่งนำเข้าล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านราคาจากปรับขึ้นภาษีศุลกากร แต่ยังเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในวงกว้างโดยเฉพาะการบริโภคที่เติบโตต่ำสุดในรอบ 7 ไตรมาส ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่กลางปีนี้ และมีแนวโน้มปรับลดสู่ระดับ 3.50–3.75% ภายในสิ้นปี เพื่อพยุงเศรษฐกิจและผ่อนคลายภาวะการเงินในระยะข้างหน้า

| ญี่ปุ่น |
BOJ คงดอกเบี้ย พร้อมปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ สะท้อนความเสี่ยงขาลงเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 จาก 1.1% เหลือ 0.5% และคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) จาก 2.4% เหลือ 2.2% จากข้อพิพาททางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของญี่ปุ่นชะลอลง อย่างไรก็ตาม BOJ ยังส่งสัญญาณยึดแนวทางการขึ้นดอกเบี้ย
เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่คาดนำไปสู่การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญและกระทบกับภาคการผลิตและส่งออกของญี่ปุ่น แม้การอ่อนค่าของเงินเยนและการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนปรับภาษี (Frontloading) จะหนุนการส่งออกในไตรมาสแรก แต่การแข่งขันจากสินค้าจีนในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น อุปสงค์จากต่างประเทศที่ชะลอตัว รวมถึงความเสี่ยงจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) โดยเฉพาะหากอัตราภาษีกลับไปอยู่ที่ระดับ 24% ตามที่ทรัมป์ประกาศไว้รอบแรก หรือการเจรจาล้มเหลว อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะต่อไป ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีวิจัยจึงคาดว่า BOJ จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อเนื่อง ก่อนพิจารณาปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

| จีน |
เศรษฐกิจจีนเริ่มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ขณะที่ทิศทางการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ชัดเจน ทางการ (NBS) รายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตพลิกกลับมาหดตัวจาก 50.5 ในเดือนมีนาคมเป็น 49 ในเดือนเมษายน ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 เช่นเดียวกับดัชนีย่อยคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออก ซึ่งหดตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี จาก 49 เป็น 44.7 ส่วนดัชนี PMI นอกภาคการผลิตชะลอลงจาก 50.8 เป็น 50.4 ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาฯ 100 อันดับแรกหดตัวชะลอลงจาก -11.4% YoY เป็น -8.7%
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจล่าสุดของจีนสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการชะลอตัวในภาคการผลิตจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าตอบโต้กันระหว่างจีนและสหรัฐฯ จนแตะระดับสูงกว่า 100% รวมถึงแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังคงสงวนท่าทีและไม่เร่งเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่เลือกใช้แนวทางการช่วยเหลือธุรกิจแบบเฉพาะจุด โดยงดเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บางรายการ เช่น เภสัชภัณฑ์ ไมโครชิป และอีเทน รวมถึงให้ผู้ประกอบการระบุสินค้าสำคัญที่ต้องการงดเว้นภาษี แม้ท่าทีระหว่างสองชาติเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง แต่วิจัยกรุงศรีมองว่า จีนกำลังเลือกแบกรับผลกระทบเชิงลบในระยะสั้น เพื่อสร้างแรงกดดันอย่างหนักให้กับสหรัฐฯ และเป็นแต้มต่อในการเจรจาในระยะข้างหน้า

| เศรษฐกิจไทย |
เศรษฐกิจชะลอลงในเดือนมีนาคมจากการบริโภค การลงทุน และการท่องเที่ยว หลายสถาบันทยอยปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงใกล้ระดับ 2% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนมีนาคมชะลอลงจากเดือนก่อน ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับลดลงในทุกหมวด (-0.5% MoM sa) โดยเฉพาะในหมวดบริการที่ลดลงจากกลุ่มโรงแรมและภัตตาคารเป็นสำคัญ สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่ลดลง ด้านการลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงต่อเนื่อง (-1.0% MoM sa) โดยปรับลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และหมวดยานพาหนะเป็นสำคัญ ขณที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างทรงตัว สำหรับการส่งออกหากหักทองคำและขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน (-0.2% mom sa)
แม้เครื่องชี้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ในเดือนมีนาคมชะลอลงจากเดือนก่อน แต่โดยภาพรวมในไตรมาสแรกของปี 2568 เศรษฐกิจยังมีการฟื้นตัวจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน จากแรงขับเคลื่อนของการใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออกสินค้าที่เร่งขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันมากขึ้น สะท้อนจากการปรับลดคาดการณ์ของหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งธปท.และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งล่าสุดได้ปรับลดประมาณการ GDP ไทยในปีนี้ลงเหลือ 2% และ 2.1% ตามลำดับ นอกจากนี้ Moody’s สถาบันจัดอันดับความเชื่อถือได้ปรับลดแนวโน้ม (Outlook) ของไทยจากระดับมีเสถียรภาพ (Stable) เป็นเชิงลบ (Negative) เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นช้าหลังวิกฤตโควิดและมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ขณะเดียวกันสถานะทางการคลังอ่อนแอลงจากระดับหนี้สาธารณะที่เร่งตัวขึ้น อีกทั้งยังเผชิญความเสี่ยงที่ภาคส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1.75% และมีสัญญาณอาจผ่อนคลายต่อเนื่องซึ่งขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้า การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 30 เมษายน มีมติ 5 ต่อ 2 ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 1.75% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าจากประเทศเศรษฐกิจแกนหลัก ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดว่า GDP ไทยในปี 2568 จะขยายตัว 2% กรณีการเจรจาการค้ามีความยืดเยื้อและสหรัฐฯ คงภาษีไว้ที่ 10% แต่กรณีที่รุนแรงขึ้นหากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯอยู่ในอัตราที่สูงอาจส่งผลให้ GDP เติบโตเพียง 1.3%
ภายใต้บริบทที่ความเสี่ยงด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยทวีแรงขึ้น กนง. ได้ปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 ลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 2.9% เหลือ 2.0% (Reference scenario) พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายที่ 1% จึงตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.75% ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้นับเป็น pre-emptive move ในการรับมือกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง สาเหตุหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง
กนง. ยังส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายอย่างชัดเจนหรือเปิดโอกาสสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม โดยในแถลงการณ์ระบุว่า “นโยบายการค้าโลกของประเทศเศรษฐกิจหลักในอนาคตยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลต่อการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไป” นอกจากนี้ ในการแถลงข่าว ธปท. ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้เกี่ยวกับวัฏจักรขาลงของดอกเบี้ย โดยเฉพาะภายใต้แนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงและความไม่แน่นอนที่อาจยืดเยื้อไปถึงปีหน้า
ทั้งนี้ ด้วยจุดยืนเชิงผ่อนคลายของกนง.ข้างต้นและการสื่อสารในการแถลงข่าวของธปท.ดังกล่าว วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิถุนายน เนื่องจากความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้าจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออก สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีซึ่งเป็นช่วงที่กนง.ประเมินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐจะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้นนั้น แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายและ terminal rate จึงขึ้นอยู่กับพัฒนาการและการความคืบหน้าของการเจรจาการค้าเป็นสำคัญ

ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงจากนักลงทุนชั้นนำระดับโลกอีกครั้ง เมื่อคณะผู้บริหารระดับสูงจาก Global Infrastructure Partners (GIP) กลุ่มทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ BlackRock ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ นำโดยนายอเดบาโย โอกุนเลซี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน และซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโสของ BlackRock ในการนี้ นายโอกุนเลซีได้เข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแนวทางการลงทุนและความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย โดยมี นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) พร้อมด้วยผู้บริหารจาก True IDC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์และยืนยันความพร้อมของภาคเอกชนไทยในการยกระดับประเทศไทยสู่ ศูนย์กลางเทคโนโลยีและ AI ของภูมิภาค

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับ และแสดงความยินดี พร้อมระบุว่า ทางรัฐบาลจะพยายามทำให้กระบวนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเอกชนมีความสะดวกรวดเร็ว และราบรื่น นอกจากนี้ยังยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือของภาคเอกชน กับหน่วยงานการศึกษา เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล และดาต้าเซ็นเตอร์อย่างเต็มกำลัง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลและ AI ของภูมิภาคอาเซียน และกำลังเข้าสู่ยุคของ Giga Data Center ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับพลังงานระดับกิกะวัตต์ รองรับเวิร์กโหลดที่มีความเข้มข้นสูง ตอบสนองความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ต่างพากันเข้ามาลงทุนในไทย CP Group จึงมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับนานาชาติอย่าง GIP และภาครัฐไทย เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศให้ตอบโจทย์การเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน เพิ่มทุนพัฒนามนุษย์ ตลอดจนโครงการวิจัย และพัฒนาที่จะต้องมีรองรับ สามารถยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับลูกหลานของไทยในด้านการศึกษา และการคิดค้นนวัตกรรม ”
ด้านนายอาเดบาโย โอกุนเลสี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโส BlackRock กล่าวว่า “GIP มีเครือข่ายการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ และมีประสบการณ์ยาวนานในการสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สำคัญระดับโลก อาทิ สนามบิน ท่าเรือ ระบบพลังงานไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเครือข่ายศูนย์ข้อมูล ซึ่งล้วนแต่เป็นระบบพื้นฐานที่รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว เราเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งในด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการเติบโตในระยะยาว การลงทุนของ GIP ในประเทศไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่โอกาสทางธุรกิจ แต่คือความร่วมมือที่มีเป้าหมายเพื่อร่วมสร้างระบบดิจิทัลที่มั่นคง มีเสถียรภาพ และยั่งยืน พร้อมวางรากฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค”
ไฮไลต์สำคัญของการเยือนไทยในครั้งนี้ คือ GIP-BlackRock จะร่วมมือกับพันธมิตร ผ่านแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มูลค่ากว่า 3-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 105,000-175,000 ล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย โดยเฉพาะด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการรองรับเวิร์กโหลดของเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, Big Data และ Cloud Services การลงทุนดังกล่าวไม่เพียงสร้างการจ้างงานใหม่จำนวนมากในกลุ่มวิศวกรรมและเทคโนโลยี แต่ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

ในบริบทระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการเติบโตในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีรายงานการคาดการณ์มูลค่าตลาดจะเติบโตที่ 3.81 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 ถึง 2572 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 6.8% จากแรงขับเคลื่อนของ Edge Computing, AI และการใช้งานคลาวด์ในวงกว้าง ตลอดจนการคาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 7.5%-8.5% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่จะกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของอาเซียน
การเยือนไทยของ GIP-BlackRock ครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ การหลอมรวมวิสัยทัศน์ของภาครัฐ ผู้นำอุตสาหกรรมไทย และนักลงทุนระดับโลก เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคต ที่ประเทศไทยจะเป็นผู้กำหนดทิศทางใหม่ของภูมิภาค สู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะอย่างแท้จริง
นายเดนนิส แทน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารภูมิภาค สิงคโปร์ ไทย กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล และ นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย นำทีมคณะผู้บริหาร เปิดศูนย์ฝึกอบรมสำหรับตัวแทนแห่งแรก ณ ชั้น 8 มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ โดยเป้าหมายการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมแห่งนี้ เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทักษะและติดอาวุธด้านการทำงานสำหรับผู้บริหารตัวแทนและตัวแทนของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย

โดยมุ่งเน้นการต่อยอดความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะในการให้คำปรึกษาทางการเงิน การวางแผนประกันชีวิต ตลอดจนการพัฒนาภาวะผู้นำอย่างรอบด้าน ในการดูแลและให้บริการลูกค้าด้วยความเป็นมืออาชีพ ตอบโจทย์กับโลกยุคปัจจุบัน ทั้งนี้ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังมีแผนขยายศูนย์ฝึกอบรมไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของช่องทางตัวแทน และตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษาทางการเงินและการประกันชีวิตในประเทศไทย
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจประกันชีวิต และสุขภาพ เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรผ่าน 5 กลยุทธ์หลัก ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของกลุ่มแอกซ่า ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดของบริษัทฯ ที่พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต มุ่งมั่นพัฒนาฝ่ายขาย ผลิตภัณฑ์ พนักงานและวัฒนธรรมขององค์กร เพื่อให้ทุกคนได้เติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกันกับบริษัทฯ อย่างยั่งยืน โดยมีกลยุทธ์หลัก 5 กลยุทธ์ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์สำคัญของกลุ่มแอกซ่า คือ 1. การพัฒนาฝ่ายขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ก้าวสู่การเป็นนักขายมืออาชีพ ผ่านโครงการ AXA Prime และ AXA Prime Blue และการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่ง การรักษาความสัมพันธ์กับธนาคารกรุงไทย เพิ่มจำนวนผู้ช่วยด้านการวางแผนทางการเงินทั้งของบริษัทฯ และธนาคารกรุงไทย รวมถึงเพิ่มการเติบโตของลูกค้าตลาดธุรกิจองค์กร 2.การสร้างมิติใหม่ด้านผลิตภัณฑ์ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันในรูปแบบใหม่ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผ่านการสร้างพื้นฐานข้อมูล การพัฒนาด้านดิจิทัล เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายขาย และพนักงาน รวมถึงการร่วมมือกับทางแอกซ่าประกันภัยมากยิ่งขึ้น ภายใต้โครงการ One AXA เพราะถือเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่จะทำให้แผนกลยุทธ์ทั้งหมดบรรลุเป้าหมาย 4. การตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านการเงิน และภาพลักษณ์องค์กร ด้วยการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน และการเติบโตของธุรกิจประกันสุขภาพ และการบริหารจัดการธุรกิจตามมาตรฐาน IFRS 17 นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นด้านภาพลักษณ์องค์กร เพื่อตอกย้ำการเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำด้านประกันชีวิต และสุขภาพ รวมถึงให้ความสำคัญด้านความรับผิดชอบขององค์กร ที่ส่งผลให้บริษัทฯ ได้คะแนน Sustainability Index เป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มา 8 ปีซ้อน และสุดท้าย 5. Care & Dare ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของแอกซ่า โดยเน้นการดูแล หรือ Care ทั้งด้านพฤติกรรม การบริการลูกค้า การสนับสนุนพนักงาน การความเป็นหนึ่งเดียวกันและความหลากหลาย และการมีส่วนร่วมในสังคม ผ่านกิจกรรม Hearts in Action รวมถึง ความกล้า หรือ Dare ที่จะเติบโต แบ่งปันความคิด และเสนอแนะความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน”

คุณณัฐพิสิษฐ์ กล่าวเสริม “นอกจากบริษัทฯ และกลุ่มแอกซ่า จะมีกลยุทธ์หลักที่จะต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายแล้วนั้น ทางบริษัทฯ และกลุ่มแอกซ่ายังได้เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านศิลปะ วัฒนธรรม และกีฬา ด้วยเช่นกัน โดยได้สนับสนุนโครงการต่างๆ มากมาย อาทิ 1. พิพิธภัณฑ์ลูฟ ที่กลุ่มแอกซ่าได้สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2003 โดยปัจจุบันแอกซ่าเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งพนักงานของแอกซ่า สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ โดยเพียงแสดงบัตรพนักงาน 2. อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งกรุงปารีส ที่กลุ่มแอกซ่าได้มอบเงินสนับสนุนจำนวนกว่า 10 ล้านยูโร หรือ 365 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือในการปรับปรุงจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 2019 3. ไร่ไวน์ Chateau Pichon Baron เป็นไร่ไวน์ของกลุ่มแอกซ่า ซึ่งเป็นการตอกย้ำด้านการสนับสนุนทางด้านวัฒนธรรมของบริษัทฯ เพราะไร่ไวน์ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่สำคัญของฝรั่งเศสที่มีมาอย่างยาวนาน และ 4. สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พลู ซึ่งแอกซ่าร่วมเป็นพันธมิตรหลัก และพันธมิตรผู้สนับสนุนชุดฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการของสโมสรลิเวอร์พูลตั้งแต่ปี 2018 โดยในปี 2020 แอกซ่ายกระดับความร่วมมือกับสโมสรลิเวอร์พูล ในการตั้งชื่อศูนย์ฝึกอบรม “AXA Training Centre” ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเคิร์กบี ประเทศอังกฤษ และในปี 2023 แอกซ่า แสดงจุดยืนอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นต่อความเท่าเทียมทางเพศด้วยการเปิดศูนย์ฝึกอบรม AXA Melwood สำหรับทีม Liverpool FC Women's นอกจากนั้นทางบริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับสโมสรลิเวอร์พูลมากขึ้น โดยได้จัดแคมเปญ และกิจกรรมต่างๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์สุดพิเศษ อาทิ แคมเปญลูกค้า “ลุ้นทริปเที่ยวอังกฤษ พร้อมดูบอลเกาะติดขอบสนามแอนฟิลด์ สเตเดียม เมืองลิเวอร์พูล” ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 กิจกรรม KTAXA Exclusive Watch Party โครงการ “KTAXA Know You Can Football Youth (U15) Academy” ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และโครงการ KTAXA x LFC Football Clinic ที่ร่วมมือกับ LFC International Academy ประเทศไทย โดยทุกๆ โครงการดังกล่าว ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ ในการตอกย้ำจุดมุ่งหมายของบริษัทฯ และกลุ่มแอกซ่า ที่พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป”
พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ในฐานะประธานคณะทำงานบูรณาการการกำหนดยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ที่ได้รับแต่งตั้งจากประธานกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังการประชุม Kick Off นโยบาย Aviation Hub ที่จัดขึ้นตามนโยบายของคณะกรรมการกำกับฯ โดยเป็นการประชุมร่วมกับทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการบิน ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน และผู้ประกอบการสายการบิน ว่า จากการที่ประเทศไทยสามารถปรับระดับมาตรฐานการบินของไทย จาก Category 2 (CAT2) ยกระดับกลับไปสู่ Category 1 (CAT1) เป็นกลุ่มประเทศที่มีมาตรฐานการบินอยู่ในระดับมาตรฐานสากลนั้น ทำให้ CAAT และภาคส่วนการบินมั่นใจที่จะขับเคลื่อนนโยบายศูนย์กลางการบินของภูมิภาคของประเทศไทย โดยมีองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน MRO และศูนย์ฝึกอบรมด้านการบินครบวงจร (Training Center) พร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo) สัญชาติไทย และส่งเสริมกิจกรรมการทำการบินทั่วไป (General Aviation)
ด้านการส่งเสริมและจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul: MRO) คณะทำงานฯ Aviation Hub เตรียมจัดทำ Master Plan เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีเอกภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยคณะทำงานฯ Aviation Hub จะส่งเสริมให้ศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO ของไทยเป็นหมุดหมายหลักของสายการบินทั่วโลกที่มาแวะพักและซ่อมบำรุง โครงสร้างการให้บริการของศูนย์ MRO ที่จะเกิดขึ้นนั้น จะมีบริษัทต่าง ๆ จากทั่วโลกมาเปิดบริการ ตั้งแต่งานซ่อมบำรุงอากาศยาน งานซ่อมบำรุงส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน และงานซ่อมบำรุงรักษาบริภัณฑ์และชิ้นส่วนของอากาศยาน

“สายการบินที่ต้องการนำเครื่องบินมาซ่อมบำรุงที่ประเทศไทย จะมีทางเลือกมากขึ้น โดยจะเลือกซ่อมบำรุงกับบริษัทที่ตัวเองต้องการ หรือซ่อมกับบริษัทอื่น ๆ ก็ได้ เช่น ถ้าเป็นเครื่องบินของโบอิ้งก็อาจจะอยากซ่อมกับบริษัทที่มาจากสหรัฐฯ ถ้าเป็นเครื่องบินแอร์บัสก็อาจจะซ่อมกับบริษัทที่มาจากยุโรปถ้าเรามีทางเลือกเราก็จะได้ลูกค้ามากขึ้น ก็จะกลายเป็น Aviation Hub จริง ๆ” พลอากาศเอกมนัทฯ กล่าว
ด้านการส่งเสริมธุรกิจ Air Cargo สัญชาติไทย คณะทำงานฯ Aviation Hub จะเร่งส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการไทยมากขึ้น โดยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ (Barrier to Entry) เช่น การเสนอการปรับปรุงกฎระเบียบในเรื่องของสัดส่วนผู้ถือหุ้นชาวไทยของผู้ประกอบการสายการบินที่ให้บริการการขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo) เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้มีโอกาสในการรวบรวมทุนค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนเงินทุนและเติบโตเป็นสายการบินขนส่งสินค้าสัญชาติไทยอย่างสมบูรณ์ และเตรียมประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้ประกอบกิจการขนส่งสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone)

ด้านการสนับสนุนให้มี Aviation Training Centre คณะทำงานฯ Aviation Hub เตรียมจัดทำแผนการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านการบินครบวงจร ณ ท่าอากาศยานที่มีศักยภาพ เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต เป็นต้น โดยมีการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากด้านการบินพลเรือนด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาตรฐานระดับโลกมาใช้ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตด้านอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย องค์ประกอบของศูนย์ฝึกอบรมฯ เช่น ศูนย์ปฏิบัติการฝึกบินจำลองสำหรับวิศวกรรมการบิน ศูนย์ฝึกช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน ศูนย์ฝึกปฏิบัติการควบคุมการจราจรทางการอากาศจำลองแบบ 360 องศา ศูนย์ฝึกนายช่างภาคพื้นดิน เป็นต้น ซึ่ง CAAT ตั้งเป้าหมายให้มีการจัดทำแผนการจัดสร้างศูนย์ฝึกภายในปี 2569 นอกจากนี้ ยังได้จัดทำแนวทางพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก โครงสร้างพื้นฐาน เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำการบินสำหรับการบินทั่วไป (General Aviation) อีกด้วย

พลอากาศเอก มนัทฯ กล่าวต่อว่า CAAT มีแนวทาง เพื่อสนับสนุนนโยบาย Aviation Hub เช่น การส่งเสริมการทำการบินส่วนบุคคล (Private Jet) โดยเร่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานและอำนวยความสะดวกในการทำการบินประเภทการบินส่วนบุคคล (Private jet) เพื่อดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายจ่ายสูง (Luxury Tourism) ทบทวนหลักเกณฑ์และข้อกำหนดด้านอายุอากาศยานที่ปฏิบัติการบินการส่งเสริมการใช้อากาศยานไร้คนขับ (Drone) เพื่อการขนส่งในเขตเมือง การพัฒนากฎระเบียบและ
บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Sea plane ในประเทศไทย การนำระบบการดำเนินงานแบบเร่งด่วน (Fast track) มาใช้ในการออกใบอนุญาต เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ

ประธานกรรมการกำกับฯ และคณะกรรมการกำกับฯ และ CAAT มั่นใจในความพร้อมและศักยภาพของอุตสาหกรรมการบินของไทย พร้อมเดินหน้าผลักดันนโยบาย Aviation Hub อย่างจริงจังและต่อเนื่องด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคอย่างแท้จริง โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน บูรณาการทุกกลไก และลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในทุกด้าน เพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่งและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการบินไทย
สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ได้จัดประชุมระหว่างประเทศในหัวข้อ “OECD Competition Peer Review พัฒนาเศรษฐกิจผ่านแนวคิดการแข่งขัน” เพื่อเผยแพร่ผลงานการประเมินผลสัมฤทธิ์และประสิทธิผลของกฎหมายการแข่งขันทางการค้าฉบับปัจจุบัน รวมทั้งรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแข่งขันทางการค้าทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กขค. และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ภายใต้โครงการ OECD Thailand Country Programme ระยะที่ 2 ต้องการผลักดันการแข่งขันทางการค้าของไทยสู่มาตรฐาน
โดยบรรยากาศการจัดงาน นายไมตรี สุเทพากุล ประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า กล่าวถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์การจัดงาน รวมทั้งต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมงาน และ Mr. Mathias Cormann เลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา กล่าวปาฐกถาสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการแข่งขันทางการค้า ที่จะช่วยทำให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อีกทั้งได้รับเกียรติจาก นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ปรับการแข่งขัน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พลิกชีวิตคนไทย” ว่าการแข่งขันเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การปฏิรูปกฎหมายและบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยส่งเสริมนวัตกรรมการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเป็นธรรม โดยประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD และปรับปรุงมาตรฐานกฎ ระเบียบให้เป็นสากล เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งงานนี้มีผู้แทนจากหลากหลายภาคส่วนทั้งจากภาครัฐและเอกชน ผู้เชี่ยวชาญด้านการแข่งขันทางการค้า นักธุรกิจ และที่ปรึกษากฎหมาย ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและผลักดันให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย

โดยภายในงานมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการดำเนินการที่จะต่อยอดจากข้อแนะนำของ OECD ประกอบด้วย การอภิปรายพิเศษ โดย Mr. Peter Crone กรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการแข่งขันทางธุรกิจของออสเตรเลีย โดยได้แบ่งปันประสบการณ์ของประเทศออสเตรเลียที่ได้เป็นสมาชิก OECD ในปี พ.ศ. 2514 รวมถึงประสบการณ์การพิชญพิจารณ์ (Peer Review) ที่ทำให้สามารถทราบถึงจุดแข็งจุดอ่อนของกฎหมายแข่งขันเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายในอนาคต ซึ่งเป็นหัวใจในการสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านตลาดที่มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และช่วงการอภิปราย “ผลการศึกษาและข้อเสนอแนะจากรายงานกระบวนการพิชญพิจารณ์ (Peer Review) ต่อ พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560” ที่ชี้ให้เห็นถึงประเด็นท้าทายในการพัฒนากฎหมายแข่งขันทางการค้าหลายประการ เช่น ขอบเขตและกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย การควบรวมธุรกิจ และมาตรการผ่อนผันโทษ (Leniency Program) รวมถึงข้อจำกัดด้านทรัพยากร เป็นต้น และช่วงต่อมาเป็นการอภิปรายเกี่ยวกับ “Competition Efficiency, Quality of Life” ที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายแข่งขัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เป็นธรรม อันส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมโดยรวม และช่วงสุดท้ายเป็นการอภิปรายเกี่ยวกับ “โอกาสและความท้าทายของภาคธุรกิจ” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่ส่งผลต่อการเพิ่มโอกาสและความท้าทายของภาคธุรกิจ อันเป็นรากฐานสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ผลจากการจัดงานดังกล่าวจะนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้า พัฒนาองค์ความรู้ กระบวนการทำงานในการกำกับการแข่งขันทางการค้าและทักษะของบุคลากรของสำนักงาน กขค. เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีของสากล และรองรับนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนไทยเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD ต่อไป

ในขณะเดียวกัน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เปิดเผยว่า การที่ไทยจะเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD นั้น จะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนากลไกต่าง ๆ ให้ได้มาตรฐาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันของไทยโดยปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่ดี การส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วขยายตัว 12.9% ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ก็โตขึ้น 10.5% ทั้งนี้ ขอให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะสามารถเจรจาทางการค้า เพื่อปรับลดภาษีได้อย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้การส่งออกขยายตัวได้ดีขึ้น
สำหรับกรอบการแข่งขันทางการค้า และ พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 นั้น ทางรัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการปรับแก้ไขก่อนเสนอร่างให้สภาฯ และตามที่ เลขาธิการ OECD ได้กล่าวไว้ว่า ไทยมีการแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์นัก อาจมีการผูกขาดในธุรกิจใหญ่ ๆ ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไม่ดี ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้มีการหารือกับสำนักงาน กขค. ให้เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากมีบทบาทสำคัญต่อการแข่งขันที่เป็นธรรมและส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs เกิดโอกาสทางการแข่งขัน และผู้เล่นรายใหม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างทัดเทียมกัน

นอกจากนี้สินค้าด้อยคุณภาพ เป็นเรื่องที่รัฐบาลมีข้อกังวลตั้งแต่ปีที่แล้ว จึงเกิดการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 17 หน่วยงาน ซึ่งได้ดำเนินคดีกับสินค้าด้อยคุณภาพแล้ว 29,000 กว่าคดี มีมูลค่ารวมกว่า 1,700 ล้านบาท และมีการจับกุมบริษัทที่เป็นนอมินี 852 บริษัท มีมูลค่าในทุนจดทะเบียนรวม 15,188 ล้านบาท จึงต้องการให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลมุ่งมั่นกำหนดมาตรฐานสินค้า และเร่งแก้ไขปัญหาการไหลทะลักของสินค้าด้อยคุณภาพและนอมินีอย่างเข้มข้นและจริงจัง เพื่อดูแลผู้ประกอบธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม

และ ดร.ปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล กรรมการการแข่งขันทางการค้า กล่าวว่า ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการพิชญพิจารณ์ (Peer Review) ของ OECD ในครั้งนี้คือ เป็นการทบทวนหรือตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าของไทยเทียบกับแนวปฏิบัติที่ดีของสากล ซึ่งมี 2 ประเด็นหลักที่สำคัญ ประเด็นแรกคือ “การแปลความและการสื่อสาร” ตัวบทกฎหมายให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าใจ ตัวอย่างเช่น ต้องสร้างความเข้าใจให้ได้ว่ากรณีที่กฎหมายฉบับนี้ยกเว้นมิให้ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจตามมาตรา 4 นั้น เป็นการยกเว้นเจาะจงเฉพาะในส่วนที่ดำเนินการตามกฎหมายหรือมติของคณะรัฐมนตรีที่มีความจำเป็นในการรักษาความมั่นคงของรัฐและประโยชน์สาธารณะ เช่นเดียวกับสาขาเศรษฐกิจที่มีหน่วยงานกำกับเฉพาะด้านที่ยกเว้นเฉพาะในกรณีที่กฎเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาการแข่งขันนั้นเปรียบเทียบได้เท่ากันในกรณีของ พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 อีกทั้งผู้บังคับใช้กฎหมายจะต้องมีความมั่นใจในการตีความและการบังคับใช้ด้วย ประเด็นที่สองคือ “ความโปร่งใส” โดย กขค. ตัดสินคดีด้วยเหตุและผล บนพื้นฐานของข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ และพิจารณาตามหลักที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงต้องการให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าของไทย ทั้งนี้ ตามข้อแนะนำของ OECD จะนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมาย และกระบวนการทำงานในการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าของไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยปรับปรุงกฎหมาย และกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง พัฒนาองค์ความรู้และทักษะของบุคลากร การสนับสนุนข้อมูลและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจาก OECD ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศทางการแข่งขันที่เป็นธรรม เพิ่มโอกาสทางธุรกิจและการเข้าสู่ตลาด ดึงดูดการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ อีกทั้งยังสอดคล้องกับการขับเคลื่อนไทยเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD ต่อไป

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้บริหารสายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า เข้าร่วมกิจกรรมส่งมอบความใส่ใจด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนในพื้นที่เขตบางซื่อ รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต เจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความสะอาดของกรุงเทพมหานคร ตลอดจนสื่อมวลชน โดยจัดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Vaxigrip Tetra) สำหรับปี 2025 จำนวน 740 เข็ม เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ภายในงานยังมีกิจกรรมตรวจสุขภาพการเงิน พร้อมสนับสนุนยาดม ไอศกรีม และ น้ำดื่มให้กับประชาชนที่มาร่วมงาน ณ ห้องประชุม ชั้น 7 สำนักงานเขตบางซื่อ เมื่อเร็ว ๆ นี้

นางสาวอรนาฎ เปิดเผยว่า ภายใต้กลยุทธ์ “ใส่ใจ” กรุงเทพประกันชีวิต ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ในระยะยาวเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี โครงการ BLA ใส่ใจชุมชน จึงเกิดจากความมุ่งมั่นของกรุงเทพประกันชีวิต ในการดูแลและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ในครั้งนี้ เนื่องจากเล็งเห็นถึงผลกระทบของไข้หวัดใหญ่ที่มีต่อกลุ่มเสี่ยง ทั้งผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นโรคเล็กน้อย แต่จริง ๆ แล้วสามารถพัฒนาเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เข้าไม่ถึงบริการทางการแพทย์

“การมีสุขภาพที่ดีเริ่มจากการป้องกัน และวัคซีนคือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ เราจึงเลือกการฉีดวัคซีนชนิดนี้เป็นจุดเริ่มต้น และตั้งใจขยายผลต่อเนื่องในอนาคต โดยมุ่งเน้นที่กลุ่มเปราะบางในชุมชนรอบพื้นที่ดำเนินงานของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อย หรือกลุ่มแรงงานที่ไม่สามารถลางานเพื่อไปฉีดวัคซีนได้ โดยเราทำงานร่วมกับหน่วยงานกรุงเทพมหานครในพื้นที่ เพื่อให้เข้าถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง เราหวังว่ากิจกรรมนี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพร่วมกัน และกรุงเทพประกันชีวิตยังคงเดินหน้าทำโครงการเพื่อสังคมด้วยหัวใจของความ “ใส่ใจ” ต่อไป” นางสาวอรนาฎกล่าว
31 ปีที่ผ่านมา พฤกษา เดินหน้าส่งมอบที่อยู่อาศัยเพื่อคนไทยไปแล้วมากกว่า 270,000 ครอบครัว บริษัทฯ ไม่เพียงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนทุกช่วงวัย แต่ยังวางเป้าหมายสำคัญในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นด้วย
พฤกษา ได้ขับเคลื่อนการส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือระดับให้ลูกบ้านในโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ ผ่านบริการที่มีมาตรฐานและเทคโนโลยีล้ำสมัย ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์และเพิ่มความมั่นใจให้ลูกบ้านอย่างต่อเนื่องเสมอมา โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เปิดตัว “Home Warranty Reminder” บริการใหม่ที่ช่วยแจ้งเตือนและตรวจสอบบ้านก่อนหมดประกัน เพื่อให้ลูกบ้านมั่นใจในคุณภาพบ้านและการดูแลจากพฤกษา พร้อมเดินหน้ายกระดับการบริการแบบไร้รอยต่อผ่าน “Pruksa Contact Center 1739” และ “น้องใส่ใจ” เพื่อพิชิตเป้าหมายการสร้างความอยู่ดี มีสุขให้ลูกบ้านอย่างแท้จริง
นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พฤกษาไม่ได้เป็นเพียงผู้สร้างบ้านที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้เท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทุกองค์ประกอบที่จะช่วยยกระดับการใช้ชีวิตของลูกบ้าน ด้วยการพัฒนาระบบหลังบ้านและบริการที่เป็นเลิศ ภายใต้ปรัชญาการทำงานที่ว่า 'พฤกษาใส่ใจเพื่อทุกชีวิต อยู่ดี มีสุข' ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของพฤกษาที่จะสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับทุกคน

"Home Warranty Reminder" บริการใหม่ล่าสุด แจ้งเตือนก่อนบ้านหมดประกัน ดูแลครบวงจร
เมื่อเร็ว ๆ นี้ พฤกษาเปิดตัว "Home Warranty Reminder" บริการช่วยแจ้งเตือนก่อนสิ้นสุดระยะประกันบ้าน 30 วัน พร้อมกับมีบริการเข้าตรวจสอบสภาพ และซ่อมแซมบ้านโดยทีมช่างมืออาชีพ เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดให้ผู้อยู่อาศัย บริการดังกล่าวได้เริ่มนำร่องให้บริการเต็มรูปแบบกับโครงการแนวราบทุกแห่งแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2568 ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับลูกบ้านจำนวนมาก

“Pruksa Contact Center 1739” ดูแลอย่างอุ่นใจ สร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อ
นอกจาก Home Warranty Reminder แล้ว พฤกษา ได้ยกระดับ “Pruksa Contact Center 1739” ให้เป็นศูนย์บริการครบวงจรที่พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกบ้านผ่านทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ อีเมล เว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดีย โดยทีมงานมืออาชีพ และให้บริการภายใต้ ISO27001 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลของลูกบ้านพฤกษาจะได้รับการป้องกันเป็นอย่างดี

“น้องใส่ใจ” Chatbot AI ผู้ช่วยอัจฉริยะ ให้บริการ 24 ชั่วโมง
พฤกษา เข้าใจในไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนทุกเจนเป็นอย่างดี จึงได้พัฒนา "น้องใส่ใจ" ซึ่งเป็น Chatbot AI ที่สามารถให้บริการลูกบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้ข้อมูลโครงการ นัดหมายเยี่ยมชม แจ้งซ่อม และลงทะเบียนกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองง่ายๆ ผ่าน 3 แพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ www.pruksa.com, Facebook: Pruksa Family Club และ Line @Pruksa ขณะเดียวกัน พฤกษาได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ช่วยดูแลลูกบ้านที่ต้องการพูดคุยโดยตรงอีกช่องทางหนึ่งด้วยเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อได้ทันทีอย่างไร้รอยต่อ

ปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการใส่ใจผ่าน "Voice of Customer Award"
เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นการให้บริการที่เป็นเลิศ พฤกษาได้จัดกิจกรรม "Voice of Customer Award" อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2567 เพื่อมอบรางวัลให้แก่พนักงานที่ได้รับคำชมเชยจากลูกบ้าน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานมุ่งมั่นในการให้บริการที่ดีที่สุด