

สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เผยตัวเลขผู้เข้าร่วมงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 27 ภายใต้คอนเซปต์ BOOKTOPIA หลังการกลับมาจัดงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์อีกครั้ง โดยตลอดการจัดงาน 12 วันมีผู้เข้าร่วมงานจำนวน 1,355,893 คน สร้างยอดขาย 347 ล้านบาท หมวดหนังสือนิยายและวรรณกรรมครองแชมป์ขายดี ตามมาด้วยหนังสือการ์ตูนและวัยรุ่น
นางสาวทิพย์สุดา สินชวาลวัฒน์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) กล่าวว่า มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 27 ภายใต้คอนเซปต์ “BOOKTOPIA: มหานครนักอ่าน เพราะการอ่านคือจุดเริ่มต้นของการสร้างเมือง” ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่กลับมาจัดงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์อีกครั้ง พบตัวเลขที่น่าสนใจจากการสรุปภาพรวมงานทั้งหมด ได้แก่ ผู้เข้าร่วมชมงานจำนวน 1,355,893 คน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดอย่างวันหยุดต่อเนื่องในสัปดาห์แรกและวันเสาร์-อาทิตย์ของสัปดาห์ที่สอง สร้างรายได้ให้กับสำนักพิมพ์ที่เข้าร่วมงานจำนวน 347,331,734 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้น 74% เมื่อเทียบกับงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 50ฯ ที่จัดไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมปีนี้ แสดงให้เห็นถึงพลังของการอ่านที่เริ่มฟื้นตัว และผู้คนยังนิยมการอ่านหนังสือในรูปแบบรูปเล่มอยู่มากพอสมควร สำหรับหมวดหนังสือขายดีได้แก่หมวดหนังสือนิยายและวรรณกรรม และหนังสือการ์ตูนและวัยรุ่นตามลำดับ
“ตลอดการจัดงานทั้ง 12 วันพบว่าความต้องการอ่านหนังสือของผู้คนยังคงคึกคัก แม้จะเป็นวันธรรมดาแต่ก็มีผู้ให้ความสนใจเข้ามาชมงานกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเริ่มเปิดงาน โดยความเห็นบางส่วนของผู้เข้าร่วมงานพบว่ารู้สึกพอใจกับการเดินทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย และหลายคนรอคอยให้กลับมาจัดงานที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์ มีนักอ่านหลากหลายกลุ่มช่วงวัยแวะเวียนมาถามหาหนังสือหรือสำนักพิมพ์ที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนักอ่านชาวต่างชาติที่ต้องการหาหนังสือต่างประเทศด้วย
จากกลุ่มหมวดหนังสือนิยายและวรรณกรรมที่เป็นหมวดขายดีอันดับหนึ่งนั้น นอกจากงานวรรณกรรมจากนักเขียนชั้นครูหลายท่านแล้ว ในกลุ่มของนิยายวายที่เกิดจากฝีมือนักเขียนรุ่นใหม่ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งได้รับความนิยมจากนักอ่านเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ควบคู่ไปกับการมีนักแสดงวัยรุ่นที่มีกลุ่มแฟนคลับที่ช่วยกระตุ้นกระแสการอ่านของคนรุ่นใหม่ ขณะที่หมวดหนังสือการ์ตูนและวัยรุ่น ในปีนี้มีหลายสำนักพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จจากการจำหน่ายหนังสือและของที่ระลึกแบบลิมิเต็ดอิดิชั่น โดยมีแฟนคลับที่ต้องการสะสมมาต่อคิวเพื่อเข้าไปซื้อในทุกรอบเวลาที่สำนักพิมพ์จัดจำหน่าย”
ส่วนกิจกรรมที่สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ได้จัดขึ้นเป็นพิเศษ มีผู้ให้ความสนใจตลอดทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการ BOOKTOPIA ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และพลังของการมีส่วนร่วม โดยเปิดให้นักอ่าน
ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเมืองหนังสือในฝัน ก็มีผู้แสดงความคิดเห็นกันเต็มบอร์ดนิทรรศการ ซึ่งทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ จะรวบรวมความคิดเห็นเหล่านี้เพื่อส่งต่อยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ขณะที่โซนถนนนักอ่าน (Reader Road) ที่สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ร่วมกับสมาคมป้ายยา เพื่อจัดกิจกรรมมากมายในโซนดังกล่าว ก็มีนักอ่านร่วมกิจกรรมต่างๆ ทุกวัน ทั้ง Envelope letters on the wall เขียนความในใจใส่ซองจดหมายติดไว้บนกำแพงในบูธ Book Blind Date แลกเปลี่ยนหนังสือ หรือ Book Playlist จัดลิสต์หนังสือตามหัวข้อและอารมณ์ที่พร้อมจะส่งต่อให้นักอ่านคนอื่นๆ ได้อ่านตาม
อีกกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมาก แม้จะจัดแค่ไม่กี่วันคือ “หนังสือมนุษย์ : Human Book” ในโซน กิจกรรม Live-Brary โดย PUBAT x ความสุขประเทศไทย x ธนาคารจิตอาสา x กางใจ Creation ขณะเดียวกันเวทีกลางที่แต่ละสำนักพิมพ์หมุนเวียนกันมาจัดกิจกรรมนั้น ก็มีผู้คนมานั่งฟังกันอย่างต่อเนื่องตลอดทุกวัน
“บางสำนักพิมพ์เพิ่งเคยมาออกงานหนังสือแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ และอินไซต์ของนักอ่านเพิ่มมากขึ้นเพราะก่อนนี้จำหน่ายเพียงแค่รูปแบบออนไลน์ทำให้ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากนัก หรือบางสำนักพิมพ์ก็ได้โอกาสสร้างลูกค้าใหม่จากงานนี้นอกเหนือจากแฟนคลับเดิม ซึ่งการได้พูดคุยพบปะกับผู้อ่านโดยตรงทำให้สำนักพิมพ์ได้กลับไปวางแผนสำหรับการคัดเลือกหนังสือเพื่อมาจำหน่ายในครั้งต่อไป และนักอ่านเตรียมพบกันใหม่ได้ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 วันที่ 30 มีนาคม-9 เมษายน 2566 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ก็จะนำความเห็นจากผู้อ่านจากการเข้าร่วมงานครั้งนี้ไปพัฒนาสำหรับงานครั้งหน้าต่อไป” นางสาวทิพย์สุดา กล่าวสรุป
![]()
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดโปรโมชันพิเศษเอาใจสมาชิกบัตรฯ ที่ชื่นชอบการเดินทาง ในงาน “Klook Travel Festival 2022” ที่รวบรวมดีลด้านการเดินทางท่องเที่ยวไว้มากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายในงานสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีรับสิทธิพิเศษสุดคุ้ม 2 ต่อ ดังนี้
1) รับ e-Coupon Starbucks มูลค่า 100 บาท จำนวน 1 ใบ (จำกัดสูงสุด 6 ใบ/ท่าน/วัน) เมื่อใช้จ่ายครบทุก 4,000 บาท สามารถรวมเซลส์สลิปภายในงานได้ โดยใช้คูปองได้ภายใน 60 วัน ผ่านแอป KTC Mobile
2) แลกรับเครดิตเงินคืน 12% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป (ไม่จำกัดยอดใช้จ่ายขั้นต่ำและไม่จำกัดการแลกเครดิตเงินคืนสูงสุด)
สมาชิกบัตรฯ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษสุดคุ้มทั้ง 2 รายการได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/travel/tour-and-travel-packages/ktcdealdd นอกจากนี้ เมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี เจซีบี ภายในงาน รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม อาทิ เมื่อใช้จ่ายครบ 3,000 บาท รับทันทีร่มพับ Tri Fold และเมื่อใช้จ่ายครบ 5,000 บาท รับทันทีกระเป๋าจัดเก็บ Travel Pouch โดยงานดังกล่าวมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2565 – 30 ตุลาคม 2565 ณ ลานสแควร์ ซี ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World 02 123 5050 หรือติดตามโปรโมชัน ของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/travel/tour-and-travel-packages/ktcdealdd สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้ดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์ชั้นนำของประเทศไทย กำหนดยุทธศาสตร์องค์กรโดยมุ่งหน้าสู่การเป็นองค์กรที่จะขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล (Digital Transformation) โดยล่าสุดได้ผนึกความร่วมมือกับ OutSystems เพื่อจะนำเทคโนโลยี Low-Code เข้ามาใช้พัฒนาแอปพลิเคชันและสร้างระบบ Digital โดยมีเป้าหมายที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ตั้งแต่ในปี 2561 บริษัทฯ ได้วางแผนและเตรียมพร้อมในการทำ Digital Transformation โดยเน้นไปที่การเข้าไปยกระดับและสร้างความเปลี่ยนแปลงใน 3 แกนหลักขององค์กร หรือที่รู้จักกันภายในว่า Triple Transformation ประกอบด้วย Business, Technology และ People โดย GC ให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนองค์กร และได้มีการตั้งทีม Digital Transformation ขึ้นมาเฉพาะ เพื่อสร้างสรรค์ไอเดียแก้ Pain Point ต่าง ๆ
ปัจจุบันบริษัทในประเทศไทยกำลังเผชิญกับต้นทุนในการดำเนินธุรกิจมากมาย และอยู่ท่ามกลางกระแส Digital Disruption ทีมไอทีมีความสำคัญต่อเป้าหมายทางธุรกิจในยุคนี้ GC นำแพลตฟอร์ม Low-Code จากเอาท์ซิสเต็มส์มาใช้เพื่อปรับกระบวนการให้เป็นดิจิทัลและพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อแก้ Pain Point พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพต่อยอดการดำเนินงานให้มีความทันสมัยมากขึ้น
GC นำเทคโนโลยี Low-Code ประสิทธิภาพสูงจาก OutSystems มายกระดับบริการต่าง ๆ และใช้เป็นแพลตฟอร์มเพื่อทำงานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2562 โดยล่าสุดทีมงานได้นำแพลตฟอร์ม OutSystems ไปพัฒนาเป็นระบบสำคัญ (Critical Systems) ในโครงการ B-Leap Project ต่อยอดงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ ช่วยทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถลดเวลาการทำงานของนักวิจัยลงได้ 30 % และลดต้นทุนที่เกิดจากการวิจัยที่ซ้ำซ้อนได้มากถึง 75% นอกจากนี้ยังนำไปพัฒนา Smart Loading Application เพื่อใช้เป็น Digital Systems สำหรับจัดคิวรถบรรทุกน้ำมันจากโรงกลั่น และดีลกับบริษัทฯ ต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งหลังเปิดใช้ในปี 2564 สามารถช่วยลดเวลาการทำงานของทีมงานกลางที่หอกลั่นลงได้ถึง 12.5% และลดการผิดพลาดในการทำงานที่เกิดจากคน (Human Error) ได้ 10%
ในขั้นตอนการดำเนินการ (Implementation & Operation) บริษัทฯ ให้ความสำคัญใน 3 แกนหลักสำคัญ ได้แก่ Tech Foundation ซึ่ง OutSystems ได้จัดหาแพลตฟอร์มข้อมูล, เครื่องมือเทคโนโลยี, รวมถึงการพิจารณาโครงข่ายการสื่อสาร 5G และทดลองนำร่องในดิจิทัลโปรเจกต์ แกนที่สอง คือ Project Implementation ที่ OutSystems ทำงานร่วมกับตัวแทนของแต่ละหน่วยงาน (BUs) ภายในเครือ GC เพื่อศึกษา Pain Points สรรหาไอเดีย และสร้างโซลูชันเพื่อพัฒนานวัตกรรมได้อย่างตอบโจทย์เชิงธุรกิจ และในแกนสุดท้ายที่ีมีความสำคัญที่สุด คือ Organization Capability Building & Communication มุ่งเน้นพัฒนาความสามารถของทีมนักพัฒนาและการสื่อสารระหว่างทีม ช่วยทำให้ GC พัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตอบโจทย์ทางการตลาด (Time To Market) ได้อย่างรวดเร็ว
นายนัทพล จงจรูญเกียรติ Head of Digital Transformation บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า “สำหรับเป้าหมายด้านดิจิทัลในอนาคตของ GC เราตั้งเป้าเป็นองค์กรแบบกระจายศูนย์มากยิ่งขึ้น (Distributed Enterprise) พร้อมมุ่งสร้างทีมพัฒนา (Domain Expert) ขึ้นเองในแต่ละหน่วยงาน โดยสามารถทำงานร่วมกับทีมไอทีส่วนกลางและนำโซลูชันหรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปต่อยอดทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเทคโนโลยี Low-Code ของ OutSystems จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่เข้ามาช่วยพัฒนาได้เป็นอย่างดี เพราะที่ GC เราเชื่อว่าทีมงาน คือ พลังงาน ที่สำคัญที่สุดของเรา อันจะช่วยต่อยอดไปสู่การเป็นองค์กรที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้”
“นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี Low-Code ของเอาท์ซิสเต็มส์มาใช้ ทำให้ GC สามารถพัฒนาแอปฯ ใหม่ ๆ ได้มากกว่า 18 แอปฯ ในเวลา 2.5 ปี รวมถึงสามารถปรับปรุงหรืออัปเดตระบบต่าง ๆ จาก Manual ให้เป็น Digital ของบริษัทในเครือ สะท้อนความสำคัญของเทคโนโลยี Low-Code ของเอาท์ซิสเต็มส์ ในฐานะผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ของนักพัฒนาและธุรกิจ” นายนัทพล กล่าวสรุป
ผลวิจัยล่าสุด ‘Total Economic Impact™ of OutSystems’ ที่จัดทำขึ้นโดย ฟอร์เรสเตอร์ คอนซัลติ้ง ในนามของเอาท์ซิสเต็มส์ เผยให้เห็นว่าแพลตฟอร์ม Low-Code ช่วยลดค่าใช้จ่ายแก่องค์กรธุรกิจเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาและค่าใช้จ่ายของการพัฒนาและบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเองภายในกับการนำแพลตฟอร์ม OutSystems มาปรับใช้ ซึ่งจากผลการศึกษาระบุว่า OutSystems ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายแก่องค์กรธุรกิจได้ถึง 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น รวมถึงระยะเวลาการพัฒนาและการเปิดตัวที่สั้นลง
นายเติมศักดิ์ วีรขจรพงษ์ รองประธานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอาท์ซิสเต็มส์ กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการทำดิจิทัลทรานฟอร์มเมชั่นของ GC ซึ่งความร่วมมือนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า เทคโนโลยี Low-Code ประสิทธิภาพสูงของเอาท์ซิสเต็มส์ เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาเพียงอย่างเดียว แต่ยังต่อยอดไปสู่การออกแบบบริการ นวัตกรรม และลด Painpoints ทางธุรกิจได้”
![]()
ผลสำรวจผู้บริโภคในด้านการท่องเที่ยวของ EIC พบว่า
เทรนด์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยมีความหลากหลายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวพร้อมทั้งนำมาปรับใช้ให้สอดรับกับธุรกิจจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถนำเสนอบริการที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้นพร้อมทั้งสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ
กลุ่มนักท่องเที่ยวที่น่าจับตาและเป็นโอกาสทางธุรกิจสามารถแบ่งตามกิจกรรมหลักที่นักท่องเที่ยวสนใจได้ 13 สาย ซึ่งไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวแต่ละสายมีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน
13 สายนักท่องเที่ยวชาวไทยยอดนิยมและเป็นที่จับตามองต่อภาคการท่องเที่ยว ได้แก่
สายบุญสายมู สายยอดนิยมของกลุ่มนักท่องเที่ยว Gen X และ Baby boomer ซึ่งมักจะเดินทางเป็นกลุ่มครอบครัวและกลุ่มเพื่อน อีกทั้ง ยังชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การเลือกซื้อสินค้าท้องถิ่น และเที่ยวชมเมืองเป็นพิเศษ อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังมีความกังวลในความปลอดภัยและสุขอนามัยอยู่ค่อนข้างสูงเนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ
สายคาเฟ่ สายยอดฮิตของกลุ่ม Gen Y และกลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งมักเดินทางกับคู่รักและกลุ่มเพื่อน โดยไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวจะเน้นพักผ่อนและส่วนใหญ่เลือกพักโรงแรมระดับ 4-5 ดาวที่มีอุปกรณ์ทันสมัยและตกแต่งสวยงาม ดังนั้น
ที่พักที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวสายนี
สายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สายนี้จะมีลักษณะการท่องเที่ยวคล้ายสายบุญสายมู ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Baby boomer และเดินทางท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน แต่จะใช้เวลาในการท่องเที่ยวค่อนข้างนานกว่าและเน้นทำกิจกรรมหลากหลายมากขึ้น โดยนักท่องเที่ยวสายนี้ส่วนใหญ่จะเลือกแหล่งท่องเที่ยวจากความชื่นชอบส่วนตัวและให้ความสำคัญกับที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สายแอดเวนเจอร์ หนึ่งในนักท่องเที่ยวสายกิจกรรมที่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้สูง กลุ่ม Gen Z และกลุ่มเดินทางคนเดียว โดยจะเลือกแหล่งท่องเที่ยวจากความชื่นชอบส่วนตัวเป็นหลักและเข้าพักในโรงแรมระดับ 2 ดาวขึ้นไปที่ตั้งใกล้ชิดธรรมชาติและมีสไตล์การตกแต่งสวยงาม อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวสายนี้ส่วนหนึ่งยังนิยมเลือกพักในรูปแบบลานกางเต็นท์ รถบ้านเพื่อได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น
สาย Workation สายนี้เริ่มเป็นกระแสความนิยมจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานและการเรียนที่เน้นออนไลน์มากขึ้น ดังนั้น นักท่องเที่ยวสายนี้จะมีความหลากหลายตั้งแต่วัยเรียนถึงวัยทำงานนั่นคือ Gen Z ถึง Gen X รวมถึงกลุ่มธุรกิจด้วย โดยใช้เวลาท่องเที่ยวนานกว่า 5 วัน นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสายนี้ยังนิยมไปร้านอาหาร/คาเฟ่ เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมค่อนข้างเด่นชัด โดยจะเลือกพักโรงแรมระดับ 4-5 ดาวที่มีอุปกรณ์ทันสมัยและมีบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalization) เป็นหลัก
สายงานเทศกาล คอนเสิร์ต วิ่งมาราธอน อีกหนึ่งสายกิจกรรมที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Gen Y โดยนักท่องเที่ยวสายนี้จะเลือกจุดหมายการท่องเที่ยวจากงานเทศกาลหรือคอนเสิร์ตเป็นหลักและส่วนใหญ่ใช้เวลาท่องเที่ยวอย่างน้อย 4 วัน อีกทั้ง ยังเลือกพักในโรงแรมระดับ 2 ดาวขึ้นไปที่มีสไตล์การตกแต่งสวยงามและตั้งอยู่ใจกลางเมืองหรือแหล่งช้อปปิ้งเพื่อความสะดวกในการเดินทาง
สายรักษ์ธรรมชาติ สายรักษ์ธรรมชาติส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ซึ่งมักเป็นการท่องเที่ยวในระยะสั้น โดยส่วนใหญ่นิยมท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่ เช่น อุทยาน ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
อีกทั้ง นักท่องเที่ยวสายนี้จะให้ความสำคัญกับที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปค่อนข้างมาก รวมถึงสนใจที่พักที่มีความใกล้ชิดธรรมชาติอย่างที่พักในอุทยานและลานกางเต็นท์
สายสุขภาพและเวลเนส สายเฮลตี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูงและเข้าพักระยะยาวมากกว่ากลุ่มอื่นเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่ควบคู่กับการตะเวนหาคาเฟ่จิบกาแฟในบรรยากาศสุดฟิน โดยส่วนใหญ่เลือกพักในโรงแรมระดับ 4-5 ดาวที่มีบริการด้านสุขภาพและเวลเนสชั้นนำเพียบพร้อมด้วยอุปกรณทันสมัยและบริการที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล นอกจากนี้ ที่พักที่มีสไตล์การตกแต่งและหากมีส่วนลดโปรโมชันจะยิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวสายนี้เป็นพิเศษ
สายฟรีแลนซ์ ฟรีแลนซ์เป็นเทรนด์ใหม่มาแรงตามการจ้างงานที่ลดลงจากวิกฤตโควิดซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y ที่รักอิสระชอบเดินทางคนเดียว และเนื่องจากนักท่องเที่ยวสายนี้เป็นกลุ่มทำงานอิสระที่สามารถทำงานได้ทุกที่จึงทำให้ส่วนหนึ่งนำงานไปทำระหว่างท่องเที่ยวพักผ่อนและใช้เวลาท่องเที่ยวระยะยาวมากกว่า 5 วัน โดยจะเลือกพักโรงแรมระดับ 2 ดาวขึ้นไปและเป็นการเข้าพักแบบไม่จองล่วงหน้า (Walk-in)
สายลุยเดี่ยว อีกหนึ่งนักท่องเที่ยวสายรักอิสระที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y, Gen Z และกลุ่มคนโสด โดยจะเน้นท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนแม้ส่วนหนึ่งยังนำงานไปทำระหว่างท่องเที่ยวด้วย อีกทั้ง นักท่องเที่ยวสายนี้ยังชื่นชอบทำกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งจะนิยมพักโรงแรมระดับ 2-3 ดาวเป็นหลักและเข้าพักแบบไม่จองล่วงหน้า (Walk-in)
สายเที่ยววันเดียว x สายเที่ยวสั้น x สายเที่ยวยาว นักท่องเที่ยวในสายเหล่านี้มักจะมีจุดประสงค์และรูปแบบในการท่องเที่ยวที่ค่อนข้างแตกต่างกันชัดเจน โดยสายเที่ยววันเดียวส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Z กลุ่มเดินทางคนเดียว และกลุ่มที่มีงบประมาณการท่องเที่ยวที่จำกัดจากรายได้ที่ไม่สูงมากนัก โดยเน้นการไปทำบุญไหว้พระกับทำกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากกว่าสายอื่น ส่วนนักท่องเที่ยวสายเที่ยวสั้นส่วนใหญ่จะเน้นเดินทางกับกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มครอบครัว
โดยท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนควบคู่กับการเข้าร้านอาหารคาเฟ่บรรยากาศดี และมักเลือกพักในโรงแรมระดับ 2-3 ดาว ขณะที่สายเที่ยวยาว ซึ่งแม้จะมีจำนวนไม่สูงนักแต่เป็นสายที่น่าสนใจ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม LGBTQIA+ กลุ่มคู่รัก กลุ่มผู้มีรายได้ค่อนข้างสูงและกลุ่มอาชีพที่มีเวลาท่องเที่ยวนาน เช่น กลุ่มเกษียณกับกลุ่มอาชีพอิสระ ทั้งนี้สายนี้จะนิยมท่องเที่ยวทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เที่ยวชมเมือง เที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมถึงทำกิจกรรมหลากหลายทั้งแอดเวนเจอร์ เอาท์ดอร์ คอนเสิร์ต สปาและออกกำลังกาย อีกทั้ง ยังเลือกพักในโรงแรมระดับ 4-5 ดาวเป็นส่วนใหญ่
จากการวิเคราะห์ 13 สายนักท่องเที่ยวชาวไทยยอดนิยมพบประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ นักท่องเที่ยว Gen Z ถือเป็นสายทำกิจกรรมหลากหลาย ขณะที่ Gen Y เน้นเที่ยวแบบชิล เข้าร้านคาเฟ่ นวดสปา ส่วน Baby boomer เน้นทำบุญไหว้พระ เข้าถึงวิถีคนท้องถิ่น ขณะที่ในด้านที่พัก โรงแรมระดับ 4-5 ดาวยังเป็นที่นิยมสูงของนักท่องเที่ยวในหลายสายตามด้วยโรงแรมระดับ 2-3 ดาว นักท่องเที่ยว Gen Z ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวสายกิจกรรม ด้วยความชื่นชอบการทำกิจกรรมที่หลากหลายจึงส่งผลให้นักท่องเที่ยว Gen Z เป็นนักท่องเที่ยวหลักในกลุ่มนักท่องเที่ยวสายกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นสายแอดเวนเจอร์ สายงานเทศกาล คอนเสิร์ต งานวิ่งมาราธอน รวมถึงสายรักษ์ธรรมชาติ โดยนักท่องเที่ยวสายกิจกรรมส่วนใหญ่จะเดินทางคนเดียวหรือเดินทางเป็นคู่เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง ขณะที่นักท่องเที่ยว Gen Y เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักของสายชิลทั้ง สายคาเฟ่ สาย Workation สายสุขภาพและเวลเนสที่ส่วนใหญ่เน้นท่องเที่ยวระยะยาวเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนกลุ่ม Baby boomer เป็นสายบุญ สายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เรียนรู้วิถีคนท้องถิ่นและซึมซับวัฒนธรรม แต่เป็นกลุ่มที่ยังมึความกังวลด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยค่อนข้างสูง ในด้านที่พัก นักท่องเที่ยวในหลายสายยังนิยมโรงแรมระดับ 4-5 ดาวเป็นหลักจากนั้นเป็นโรงแรมระดับ 2-3 ดาว ส่วนที่พักที่มีรูปแบบเฉพาะจะมีกลุ่มเป้าหมายของตนเองชัดเจน เช่น อุทยาน ลานกางเต็นท์จะเป็นที่นิยมในกลุ่มสายแอดเวนเจอร์ สายรักษ์ธรรมชาติ สายงานเทศกาล เป็นต้น
ทั้งนี้การเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในแต่ละสายที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้เร็วและเสริมจุดแข็งของธุรกิจตนเองให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวเป้าหมายได้ตรงจุดถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดึงดูดลูกค้าเป้าหมายได้เป็นอย่างดี เช่น ธุรกิจร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านกาแฟ อาจจะเน้นการตกแต่งและเพิ่มเมนูเพื่อสุขภาพเนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวสายคาเฟ่ สายสุขภาพและเวลเนส ส่วนธุรกิจร้านขายของที่ระลึก สินค้าท้องถิ่น อาจใส่ไอเดียในสินค้าที่สามารถสะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่นเพื่อดึงดูด กลุ่มลูกค้าหลักอย่างสายบุญ สายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสายคาเฟ่ เป็นต้น นอกจากนี้ การทำกิจกรรมทางการตลาดโดยเฉพาะทางออนไลน์ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากสำหรับการท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันจะเป็นอีกกลยุทธ์ที่ช่วยให้เข้าถึงนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การขยายบริการท่องเที่ยวอย่างครบวงจรจะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับนักท่องเที่ยวพร้อมทั้งสร้างโอกาสให้กับภาคธุรกิจ เนื่องจากเทรนด์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เน้นใช้จ่ายเพื่อสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ทำให้บริการท่องเที่ยวที่ครบวงจรทั้งที่พักและกิจกรรมภายใต้บริการที่ได้มาตรฐานและราคาเหมาะสมจะช่วยเพิ่มคุณค่าบริการและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น สุดท้ายนักท่องเที่ยวสายคาเฟ่ สายสุขภาพและเวลเนส สายแอดเวนเจอร์ เป็นสายนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเป็นโอกาสแก่ธุรกิจภาคการท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เที่ยวนาน และได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ไม่สูงนัก ทำให้มีแนวโน้มใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวค่อนข้างสูงตาม ทั้งนี้การจัดทำโปรโมชันส่งเสริมการขาย การบริการระดับพรีเมี่ยม และการตกแต่งที่ทันสมัยเป็นเอกลักษณ์คาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเหล่านี้ได้ค่อนข้างมาก
![]()
![]()
วิกฤตการณ์โควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนของใครหลายคนที่มีสถานะทางการเงิน คุณภาพชีวิตด้านการเงินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น หนี้ครัวเรือนของไทยสูงขึ้นถึงร้อยละ 91 ของ GDP อัตราค่าครองชีพสูง รวมไปถึงปัญหาการกู้ยืมหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะ GEN Z ที่มีสถิติเป็นหนี้เพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว คนสูงวัยก็ไม่มีเงินเก็บออมหลังวัยเกษียณและอีกหลายกลุ่มยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นข้อท้าทายของประเทศไทย เพราะทำให้คนไทยเริ่มห่างไกลจากการมี “Financial Well-being” หรือ “ชีวิตทางการเงินที่ดี” ซึ่งเป็นที่มาให้ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จัดงาน “Financial Well-being Hackathon for Thais” การแข่งขันเพื่อค้นหาโซลูชันทางการเงินเพื่อคนไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีและฐานข้อมูล (Tech & Data) มาเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหา รวมทั้งมีการรวมพลังจากทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับชีวิตทางการเงินของคนไทยให้เติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น
นายนริศ สถาผลเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้า ttb analytics ได้พูดถึงโจทย์ของการแข่งขันครั้งนี้ว่า “เราจะยกระดับชีวิตทางการเงินของคนไทยให้ดีขึ้นได้อย่างไร โดยนำ Tech & Data มาประยุกต์ใช้ให้ถูกจุด คือ ‘การเลือกปัญหาที่ใช่ ที่เราจะแก้ไข’ (Problem Worth Solving) เราต้องเข้าใจปัญหาของคนที่เราจะแก้ไขปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาจะเป็นแนวทางหลักในการตัดสินผลงานของผู้เข้าแข่งขัน Hackathon ในครั้งนี้ ซึ่งทีเอ็มบีธนชาตเล็งเห็นถึงความสำคัญที่ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้โดยเร็วที่สุดและต้องทำทันที เพื่อยกระดับชีวิตทางการเงินของคนไทยให้ดีขึ้นทั้งวันนี้ และอนาคต”
งาน “Financial Well-being Hackathon for Thais” มีนักศึกษา คนรุ่นใหม่ ร่วมกันส่งแนวคิดเพื่อช่วยยกระดับชีวิตทางการเงินของคนไทยกว่า 100 โครงการ ครอบคลุมปัญหาทางการเงินของคนไทย ตั้งแต่ GEN Z คนทำงาน SME เกษตรกร ผู้สูงวัย เพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สะท้อนให้เห็นมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่อการเงินและการจัดการปัญหาทางการเงิน โดยมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ (Mentor) จากทีเอ็มบีธนชาต และที่ปรึกษาจากบริษัทภายนอกหลากหลายสาขามาช่วยขัดเกลาไอเดียและต่อยอดให้ครอบคลุม 3 แกนหลัก ได้แก่ แผนธุรกิจ (Business), Tech และ Data ในการร่วมกันสร้างโซลูชันทางการเงินอย่างแท้จริง
1. Business ที่มีเคสที่น่าสนใจอย่าง ทีทีบี ออลล์ฟรี ที่เข้ามาแก้ปัญหาทางการเงินให้กับลูกค้า เช่น ปัญหาที่ว่าคนไทยกว่า 70% ไม่ทำประกัน เพราะมองว่าการทำประกันคือการสิ้นเปลือง แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ทีเอ็มบี
ธนชาตจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้หันมาสนใจทำประกันกันมากขึ้นด้วยการมอบวงเงินประกันให้กับลูกค้าฟรี และช่วยลดค่ารักษาพยาบาล ซึ่งการแก้ปัญหาที่ตรงจุดเริ่มจากการมองหาความต้องการของลูกค้า ศึกษาปัญหาของลูกค้า เพื่อสร้างสรรค์โซลูชันที่เข้าใจง่ายและได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
2. Tech เช่น การแก้ปัญหาด้วยการนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในประเทศไทย เริ่มต้นจากปัญหาที่เกษตรกรนำเงินทุนจากโรงงานผู้ผลิตน้ำตาลไปใช้ไม่เพียงพอ บ้างก็นำไปใช้ในด้านอื่นแทนการนำไปลงทุนปลูกอ้อย ทำให้เกิดผลกระทบแบบลูกโซ่ คือ เกษตรกรมีเงินทุนไม่พอ ทำให้ปลูกอ้อยได้น้อยหรือคุณภาพต่ำ ส่งผลให้โรงงานผลิตน้ำตาลได้น้อย เสียโอกาสทางการค้า จึงออกแบบโซลูชัน ‘แอปพลิเคชัน’ ที่ช่วยให้โรงงานสามารถติดตามการทำงานของเกษตรกรได้ ในขณะเดียวกันเกษตรกรก็จะสามารถรับเงินทุนสนับสนุนจากโรงงานผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกว่าจะออกมาเป็นโซลูชันเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคนั้น ธนาคารต้องศึกษาและสังเกตจากประสบการณ์สถานที่จริงเพื่อที่จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ผ่านเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่เหมาะสม
และ 3. Data ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มมากมายที่นำเอาข้อมูลมาใช้พัฒนาบริการ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตของคนไทยในด้านของการเกษตรให้ดีขึ้น เช่น การนำเอาข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมมาช่วยในการคาดการณ์การเพาะปลูก และพยากรณ์สภาพอากาศเพื่อให้เกษตรกรได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาพัฒนาโซลูชันแบบ Personalization หรือ แบบปัจเจกบุคคล ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนได้อย่างตรงจุด
ทั้งนี้ งาน “Financial Well-being Hackathon for Thais” จะจัดกิจกรรม “Hack Day” ขึ้นในวันที่ 29 - 30 ตุลาคมนี้ โดยมี 15 ทีมสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือกมานำเสนอโซลูชันทางการเงินต่อคณะกรรมการ และจะประกาศผลรางวัลแก่ทีมผู้ชนะ เพื่อคว้ารางวัลรวมมูลค่ากว่า 280,000 บาท พร้อมกับโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโซลูชันกับทีเอ็มบีธนชาต รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ https://www.ttbbank.com/ttbfb-hackathon2022
ล่าสุดในงาน WebexOne 2022 ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ได้เปิดตัวฟีเจอร์และความสามารถใหม่ๆ สำหรับ Webex Customer Experience (CX) ซึ่งนำเสนอแพลตฟอร์มแบบครบวงจรสำหรับการทำงานร่วมกัน รวมไปถึงคอลล์เซ็นเตอร์ และการติดต่อสื่อสารบนระบบคลาวด์ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าในการดำเนินงานในทุกขั้นตอน ด้วยการนำเสนอ Webex CX ซิสโก้จึงนับเป็น ‘บริษัทหนึ่งเดียว’ ที่สามารถให้บริการ Unified Communications-as-a-Service (UCaaS), Contact Center-as-a-Service (CCaaS) และ Communications Platform-as-a-Service (CPaaS) ได้อย่างครบวงจร รองรับ customer journey ของลูกค้าในแต่ละขั้นตอนได้อย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมช่องทางดิจิทัลและเสียง ขับเคลื่อนด้วยอีโคซิสเต็มส์ที่แข็งแกร่ง
จีทู พาเทล รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยและการทำงานร่วมกันของซิสโก้ กล่าวว่า “ปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าที่ใช้ช่องทางดิจิทัลเป็นหลักต้องการประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลที่มีการตอบสนองอย่างฉับไวจากแบรนด์ต่างๆ ที่พวกเราชื่นชอบ เทรนด์นี้ส่งผลให้หลายๆ บริษัทจำเป็นต้องทบทวนและปรับเปลี่ยนแนวทางเกี่ยวกับ CX บริษัทเหล่านี้จึงมองหาผู้ผลิตรายเดียวที่สามารถนำเสนอเทคโนโลยี CX ที่ก้าวล้ำได้อย่างพร้อมสรรพ เปี่ยมด้วยเสถียรภาพ และความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับจากเทคโนโลยีและบริการของซิสโก้”
Webex CX มุ่งเน้นการจัดหาเทคโนโลยีที่รองรับการนำเสนอประสบการณ์ลูกค้าในลักษณะเชิงรุก และมีการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ลูกค้าเกิดการยอมรับและภักดีต่อแบรนด์ โซลูชั่น Webex CX ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างง่ายดายในทุกขั้นตอนของ customer journey โดยครอบคลุมทั้งช่องทางดิจิทัลและการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคล (เสียงและข้อความ) ประสบการณ์แบบไร้รอยต่อผ่านหลากหลายช่องทางนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการบูรณาการอย่างกลมกลืนระหว่าง Webex Connect และ Webex Contact Center ซึ่งรองรับการสร้างสรรค์ประสบการณ์ลูกค้าที่มีการเชื่อมต่อถึงกัน
การปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า
เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ Webex จะพร้อมใช้งานใน Webex Contact Center รวมถึงการโทรติดต่อด้วยเสียง PSTN การตัดเสียงรบกวนรอบข้างจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า เพราะจะทำให้เสียงสนทนาระหว่างลูกค้าและเจ้าหน้าที่มีความชัดเจนมากขึ้น และทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ · ติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น: ตอนนี้ลูกค้าสามารถติดต่อผ่านช่องทางต่างๆ ได้มากกว่า 16 ช่องทาง รวมถึง Instagram และ Google Business Messages โดย Webex Connect จะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าและมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับการซื้อ-ขายสินค้าและบริการ
การปรับปรุงประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่
เพื่อเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน: Webex Contact Center ที่ผ่านการรับรองการใช้งานร่วมกับ Microsoft Teams จึงรองรับการติดต่อสื่อสารอย่างไร้รอยต่อและการโอนสายผ่านระบบ Teams นอกจากนี้ Webex Connect ยังบูรณาการเข้ากับระบบ CRM, Contact Center, คอมเมิร์ซ, ฐานข้อมูล/สตอเรจ และ Helpdesk จากบริษัทชั้นนำ เช่น Salesforce, AWS, Microsoft Azure และอื่นๆ · ปรับปรุงประสบการณ์ด้านเสียงสำหรับเจ้าหน้าที่: ชุดหูฟังรุ่นใหม่ล่าสุด Cisco Headset 720 Series ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษโดยคำนึงถึงการใช้งานของเจ้าหน้าที่ ชุดหูฟังดังกล่าวประกอบด้วยก้านไมโครโฟนน้ำหนักเบาที่
หมุนได้ 276° สามารถพลิกด้านเพื่อปิดเสียง และมีปุ่มกดสำหรับการเข้าร่วม Webex และ Microsoft Teams มีให้เลือกแบบสวมหูข้างเดียวหรือสองข้าง
การปรับปรุงผลลัพธ์ทางธุรกิจสำหรับลูกค้า ซึ่งครอบคลุม
· ปรับปรุงประสิทธิภาพของหัวหน้างาน: Webex Contact Center นำเสนอแดชบอร์ดบนระบบคลาวด์สำหรับหัวหน้างาน เพื่อรองรับการตรวจสอบผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การส่งข้อความภายใน Webex App และการดูข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ รวมถึงไฮไลต์ที่สำคัญของการโทรติดต่อ นอกจากนี้ Webex ยังขยายรายงาน Analyzer เพื่อให้หัวหน้างานสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของทีมงาน โดยอ้างอิงข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์และข้อมูลในอดีต
· รองรับการบูรณาการอย่างไร้รอยต่อ: Webex Connect บูรณาการเข้ากับ Sycurio รองรับการประมวลผลการชำระเงินอย่างง่ายดายและรวดเร็วสำหรับผู้ใช้งาน โดยเป็นส่วนหนึ่งของเวิร์กโฟลว์ และในอนาคตจะมีการร่วมมือกับ Epic และ Cerner ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าในธุรกิจเฮลท์แคร์สามารถบูรณาการระบบแบ็คเอนด์ที่มีอยู่ เพื่อปรับปรุงการติดต่อสื่อสารกับผู้ป่วยผ่านทุกช่องทางได้ทันท่วงที
· รองรับเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ: Webex Connect รองรับการใช้บอท (Bot) สำหรับ 93 ภาษา โดยใช้ประโยชน์จากโหนด Natural Language Processing (NLP) เพื่อปรับปรุงความสามารถทางด้านภาษา
· ปรับแต่งและขยายความเป็นไปได้: ล่าสุด Webex ได้เปิดตัว Customer Experience Developer Portal สำหรับการเข้าถึง API และเอกสารคู่มือ เพื่อใช้ในการปรับแต่งประสบการณ์คอลล์เซ็นเตอร์ ทั้งนี้ มี API สำหรับการปรับแต่งระบบเดสก์ท็อปของเจ้าหน้าที่ การโอนสาย การจัดการ ระบบอัตโนมัติ AI และอื่นๆ
พลิกโฉมพื้นที่ทำงานในออฟฟิศ ที่บ้าน และที่อื่นๆ
98% ของการประชุมจะมีผู้เข้าร่วมที่เชื่อมต่อผ่านวิดีโอทางไกล แต่พบว่ามีห้องประชุมเพียง 11% เท่านั้นที่รองรับระบบวิดีโอ (Frost & Sullivan “สถานะของตลาดอุปกรณ์วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ทั่วโลก (State of the Global Video Conferencing Devices Market), ตุลาคม 2565”) พื้นที่สำนักงานและโฮมออฟฟิศจำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์วิดีโอเพื่อให้บุคลากรประสานงานร่วมกันได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ และจากผลการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าในปี 2565 พบว่า 85% ใช้แพลตฟอร์มการประชุมมากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์ม ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่อุปกรณ์วิดีโอดังกล่าวจะต้องสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มที่เพื่อนร่วมงานและลูกค้าใช้งานอยู่ได้อย่างราบรื่น ความร่วมมือและความสามารถใหม่ๆ ของซิสโก้มีดังนี้: · ซิสโก้ร่วมมือกับไมโครซอฟท์ (Microsoft): ซิสโก้ร่วมมือกับไมโครซอฟท์ เพื่อรองรับการใช้งาน Microsoft Teams Rooms บนอุปกรณ์สำหรับการทำงานร่วมกันของซิสโก้ในทุกๆ ที่ ลูกค้าและฝ่ายไอทีจะได้รับประโยชน์จากชุดอุปกรณ์คุณภาพสูงจากซิสโก้ที่ใช้งานและจัดการได้อย่างง่ายดาย และมีความยืดหยุ่นสูง ตอบโจทย์ความต้องการในการประสานงานร่วมกันได้อย่างลงตัว · อุปกรณ์ใหม่สำหรับการทำงานร่วมกัน: Cisco Room Kit EQ เป็นโซลูชั่นอุปกรณ์สำหรับการทำงานร่วมกันที่ก้าวล้ำที่สุดในอุตสาหกรรม เหมาะสำหรับพื้นที่ทำงานขนาดใหญ่ ขับเคลื่อนด้วย Cisco Codec EQ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประมวลผลที่ใช้ AI โดย Room Kit EQ จะมอบประสบการณ์การประชุมที่สมจริง พร้อมการบูรณาการอย่างไร้รอยต่อเพื่อรองรับวิดีโอและพลิกโฉมพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับการทำงานแบบไฮบริดสำหรับทุกคน
· พิมพ์เขียวสำหรับพื้นที่ทำงานแบบไฮบริด: นับเป็นครั้งแรกที่ซิสโก้นำเสนอคู่มือการออกแบบพื้นที่ทำงานแบบไฮบริด ซึ่งอ้างอิงจากการใช้งานจริงที่สำนักงานของซิสโก้ในนิวยอร์กซิตี้ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถออกแบบพื้นที่ทำงานแบบไฮบริดที่ทันสมัย โดยครอบคลุมทั้งในส่วนของโซลูชั่นอาคารอัจฉริยะ (Smart Building Solutions) ของซิสโก้ รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับการทำงานร่วมกัน ระบบเครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย และอื่นๆ แนวทางของซิสโก้มุ่งเน้นการเชื่อมต่อผู้คน พื้นที่ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน โดยรองรับการใช้งาน 3 หน้าจอ มีระบบอัจฉริยะสำหรับกล้องและเสียง รวมถึงการตัดเสียงรบกวนโดยอัตโนมัติ และตัวเลือกในการเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ส่วนตัวสำหรับการประสานงานร่วมกัน ดังนั้นลูกค้าจึงสามารถรองรับการทำงานแบบไฮบริดได้อย่างเต็มศักยภาพ
· แอพใหม่สำหรับไวท์บอร์ด: หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุดของการทำงานแบบไฮบริดก็คือ ‘การเปิดโอกาสให้บุคลากรทั้งในและนอกสำนักงานสามารถระดมความคิดร่วมกัน หรือวาดภาพร่างบนกระดานไวท์บอร์ดระหว่างการประชุม’ ด้วยแอพใหม่ Webex Whiteboard ใน Webex Suite ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากประสบการณ์การใช้งานไวท์บอร์ดที่ง่ายดาย ไม่ว่าผู้ใช้จะทำงานอยู่ที่ใดก็ตาม ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นหรือเข้าร่วมไวท์บอร์ดและทำงานร่วมกันได้จากเบราว์เซอร์ หรือ Webex App หรืออุปกรณ์ของซิสโก้ นอกจากนี้ ไวท์บอร์ดยังผนวกรวมเข้ากับโพลล์
Slido บันทึกและแชร์ในพื้นที่ Webex สำหรับการคิดไอเดียแบบต่างคนต่างทำ · ความร่วมมือกับแอปเปิล (Apple): ตอนนี้ผู้ใช้ iPhone และ iPad สามารถแชร์คอนเทนต์จากกล้องหลังหรือกล้องหน้าของอุปกรณ์ผ่านแอพ Webex Meetings และใส่คำอธิบายประกอบเกี่ยวกับสิ่งที่เขามองเห็นโดยใช้ Mobile Camera Share นวัตกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงของอุปกรณ์ Apple ตัวอย่างเช่น สถาปนิกหรือคนงานที่ไซต์ก่อสร้างสามารถแชร์ภาพความคืบหน้าของโครงการให้แก่ลูกค้าในแบบเรียลไทม์ แทนการส่งภาพถ่ายหรือภาพหน้าจอ
· กิจกรรมแบบไฮบริด: Webex Events และ Webinars นับเป็นโซลูชั่นที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดสำหรับกิจกรรมแบบไฮบริด โดยทั้งหมดนี้รวมอยู่บนแพลตฟอร์มเดียว ตอนนี้ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงประสบการณ์ New Lobby ที่แปลกใหม่สำหรับงานเวอช่วลอีเว้นท์ ซึ่งรองรับการปรับแต่งที่หลากหลาย เช่น กำหนดการ ข้อมูลประวัติของวิทยากร สปอนเซอร์ และอื่นๆ และยังมีวิดเจ็ทคอนเทนต์รุ่นใหม่ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใส่องค์ประกอบเหล่านี้ไว้ในเว็บไซต์กิจกรรมภายนอกองค์กร นอกจากนี้ เครื่องมือโปรดักชั่นใหม่ล่าสุดใน Webex Webinars จะช่วยให้ผู้จัดงานสามารถเพิ่มแบรนด์และการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลได้อย่างง่ายดายสำหรับทุกกิจกรรมโดยใช้ Stage Manager ยิ่งไปกว่านั้น การบูรณาการเข้ากับ Network Device Interface (NDI) จะช่วยให้ทีมงานฝ่ายโปรดักชั่นมีเครื่องมือใหม่สำหรับการถ่ายทอดสัญญาณภาพการจัดงานในระดับมืออาชีพ
![]()
งานประชุม Ultra-Broadband Forum 2022 ได้เปิดฉากขึ้นที่กรุงเทพมหานครในเดือนตุลาคม นี้ โดยนาย เดวิด หวัง กรรมการบริหารและประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชันไอซีที ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ‘ก้าวอย่างมั่นคงสู่ยุคอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G’ และกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะเกิดขึ้นในหลายภาคส่วนภายในปีพ.ศ. 2573 เช่น ที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ แคมปัสอัจฉริยะ และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตสำหรับภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังเน้นย้ำอย่างชัดเจนว่าเทคโนโลยีอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G จะเป็นก้าวสำคัญบนเส้นทางสู่โลกอัจฉริยะและจุดประกายให้อุตสาหกรรมดำเนินการในสี่ขั้นตอนสำคัญเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งยังผลักดันผู้เล่นในอุตสาหกรรมร่วมมือกันเพื่อก้าวสู่ยุคอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G ได้เร็วยิ่งขึ้น
ขณะที่เรามุ่งหน้าสู่โลกอัจฉริยะในปี พ.ศ. 2573 ความเร็วเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะสูงถึง 10 Gbit/s ซึ่งถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากความเร็วปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 1 Gbit/s นอกจากนี้ ที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ถึง 20 เครื่อง และจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเพราะเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมจะได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้สถิติอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเพิ่มขึ้นถึง 150 ถึง 200 เครื่อง ดังนั้นในอนาคตทุกส่วนของบ้านจะต้องเข้าถึงเทคโนโลยีไฟเบอร์
ภายในปี พ.ศ. 2573 เครือข่าย Wi-Fi สำหรับแคมปัสขนาดกลางและขนาดใหญ่จะมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ความเร็ว 10 Gbit/s และจะต้องรองรับการดำเนินการและการจัดการที่ชาญฉลาด องค์กรต่าง ๆ จะต้องมีเครือข่าย Wi-Fi ที่มอบแบนด์วิดท์ขนาดใหญ่ ประสบการณ์ระดับพรีเมียมและบริการอินทราเน็ตแบบครบวงจร ในขณะที่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตสำหรับภาคอุตสาหกรรมจะต้องการแบนด์วิดท์ที่สูงกว่า 10 Gbit/s และค่าความหน่วงที่ต่ำกว่าหนึ่งมิลลิวินาที องค์กรต่าง ๆ จะประยุกต์ใช้กลยุทธ์มัลติคลาวด์ซึ่งเป็นเครือข่ายที่รองรับการกำหนดและเปลี่ยนแปลงเส้นทางแบบไดนามิก และเราจะบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 10 เท่า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การดำเนินการ และการบำรุงรักษาเครือข่าย ด้วยแนวคิดการพัฒนาเครือข่ายด้วยระบบอัตโนมัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“อัลตราบรอดแบนด์ 5.5G จะเป็นก้าวสำคัญบนเส้นทางสู่โลกอัจฉริยะ เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ผู้เล่นในอุตสาหกรรม รวมถึงองค์กรที่กำหนดมาตรฐานการใช้งาน หน่วยงานกำกับดูแล ผู้ปฏิบัติงาน และผู้จำหน่ายอุปกรณ์ จะต้องร่วมมือกันผลักดันเทคโนโลยีอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G สร้างเครือข่าย 5.5G และพัฒนาอีโคซิสเต็ม 5.5G ที่แข็งแกร่งไปพร้อมกัน เราจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้าและมุ่งหน้าอย่างมั่นคงสู่ยุคอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G ร่วมกัน” นายเดวิด หวัง กล่าวย้ำ
ทั้งนี้ สี่ปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมต้องดำเนินการร่วมกันเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G จะประกอบไปด้วย
ประการแรก การกำหนดมาตรฐานใหม่และบรรลุฉันทามติทั่วทั้งอุตสาหกรรม
สถาบันมาตรฐานโทรคมนาคมยุโรป (ETSI) เริ่มสร้างมาตรฐานของ F5G Advanced ด้วยมาตรฐาน Release 3 และสมุดปกขาว ETSI: Fixed 5th Generation Advanced and Beyond ที่ได้รับการปรับปรุงโดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใยแก้วนำแสงถูกเผยแพร่ในเดือนกันยายนพ.ศ. 2565 และภายในปีพ.ศ. 2568 ที่อยู่อาศัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ใยแก้วนำแสงจะได้รับการปรับตามมาตรฐาน
ในส่วนของอุตสาหกรรมการเชื่อมต่อข้อมูล (IP) หัวเว่ยเผยแพร่สมุดปกขาว Net5.5G ระหว่างการประชุมครั้งนี้ โดยมีแนวคิดว่าภายในปี พ.ศ. 2566 Net5.5G จะเพิ่มอัตราการรับส่งข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี SRv6 แบบครบวงจร และภายใน พ.ศ. 2568 เครือข่าย IP น่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการประมวลผลและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะมอบประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายและการรับประกันบริการที่ดีขึ้นสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม
ประการที่สอง ร่วมส่งเสริมมาตรฐานการใช้งานตลอดการใช้งานผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การใช้งาน และการดำเนินงาน
เทคโนโลยี GPON, 10G PON และ 50G PON Combo จะรองรับเครือข่าย ODN ของผู้ให้บริการ และทำให้การอัปเกรดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สถาปัตยกรรม C-WAN จะสามารถนำมาใช้งานได้บนเครือข่าย FTTR ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความเร็วระดับกิกะบิต Gbit/s ให้เสถียรทั่วทั้งบ้าน และลดเวลาบริการข้ามเครือข่ายให้น้อยกว่า 20 มิลลิวินาที
ในการส่งสัญญาณด้วยใยแก้วนำแสง สเปกตรัมสำหรับเครือข่าย 400G WDM จะเพิ่มขึ้นจาก 8 THz เป็น 12 THz โดยเพิ่มความยาวคลื่นมากขึ้นถึง 50% และทำให้ศักยภาพการส่งสัญญาณสูงถึง 100T ในส่วนของเทคโนโลยี metro WDM ซึ่งเป็นเทคโนโลยี WDM ใหม่ที่รวมความยาวคลื่นไว้ด้วยกัน จะเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการใช้งานได้อย่างมาก และสนับสนุนการทำงานของเทคโนโลยี WDM ที่ไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ
ในด้าน IP Wi-Fi 7 เทคโนโลยี CO-SR และ CO-OFDMA จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานระหว่างจุดเชื่อมต่อต่างๆ และปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานทั้งเครือข่าย ซึ่งจะต้องการการสนับสนุนจากเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น UL OFDMA และ UL MU-MIMO เพื่อให้การเชื่อมต่อมีเสถียรภาพ เทคโนโลยี APN6 และ SRv6 ยังช่วยตรวจจับประสิทธิภาพการประมวลผลและข้อกำหนดการใช้งานและประมวลทรัพยากรระบบคลาวด์ เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยี IP แบบ deterministic จะช่วยลดการรบกวนระหว่างการรับส่งข้อมูลจำนวนมาก และลดความล่าช้าของสัญญาณบนเครือข่าย IP ให้เหลือน้อยกว่า 20 ไมโครวินาที
ประการที่สาม เปิดตัวการใช้งานอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G อย่างรวดเร็วขึ้น โดยการพัฒนานโยบายและเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง
มาตรฐานและเทคโนโลยีใหม่สามารถสร้างมูลค่าได้รวดเร็วขึ้นเมื่อมีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลควรปรับใช้นโยบายที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการออกกลยุทธ์ด้านเครือข่ายในระดับประเทศ นโยบายเทคโนโลยีใยแก้วนำแสงและมาตรฐานการก่อสร้าง เพื่อเร่งการใช้งานเครือข่ายกิกะบิต FTTH จะทำให้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตใยแก้วสามารถเข้าถึงทุกห้องในบ้านทุกหลัง
ผู้ให้บริการก็มีบทบาทสำคัญในการร่วมผลักดันความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ด้วยการกำหนดสถาปัตยกรรมเครือข่ายเป้าหมายสำหรับปีพ.ศ. 2568 และ พ.ศ. 2573 นอกจากนี้ยังต้องเร่งการเปิดตัวเครือข่าย FTTH และ FTTR, เปิดใช้งานเทคโนโลยี metro WDM เพื่อเข้าถึงไซต์, อัปเกรดเครือข่าย IP เป็นเครือข่าย SRv6 และการใช้งานเทคโนโลยี 400G และ 800G สำหรับการส่งข้อมูลและเครือข่าย IP
ประการที่สี่ ค้นหาการประยุกต์ใช้งานใหม่ ๆ และฟูมฟักอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่ง
ผู้เล่นในอุตสาหกรรมและพันธมิตรในอีโคซิสเต็มต้องร่วมมือกันเพื่อค้นหาศักยภาพสูงสุดของอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G เพราะเทคโนโลยีนี้จะสามารถรองรับศักยภาพการใช้งานที่เหนือระดับ และเมื่อบรรลุความเร็วระดับ 10 กิกะบิตต่อวินาที (10 Gbit/s) ทุกหนทุกแห่ง การเล่นเกมบน MetaVerse และการโต้ตอบแบบเรียลไทม์จะได้รับการใช้งานอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ การสำรวจหานวัตกรรมจะดำเนินต่อไปสำหรับสถานการณ์การใช้งานในแคมปัส เช่น สำนักงานเสมือนจริงและสำนักงานที่มาพร้อมเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และบริการสำหรับองค์กรขนาดเล็ก เช่น เครือข่าย Wi-Fi แบบครบวงจร หัวเว่ยเน้นการสร้างพันธมิตรระหว่างอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและบริษัทอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นผู้เล่นที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเครือข่ายเชิงกำหนด และการเชื่อมต่อที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างคล่องตัวในอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยฟูมฟักการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมแบบอัตโนมัติและการเชื่อมต่อระดับองค์กรบนระบบมัลติคลาวด์
มาตรฐานนี้ยังเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอัลตราบรอดแบนด์อย่างต่อเนื่อง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการ FTTH ใหม่กว่า 790 ล้านคน และในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ผู้ใช้ 100 ล้านคนเริ่มใช้บริการกิกะบิต และในปีที่ผ่านมา บริการ FTTR ก็มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นอีกราวหนึ่งล้านคน
นอกจากนี้องค์กรต่าง ๆ ยังใช้งานเครือข่ายส่วนตัว OTN คุณภาพสูงประมาณ 50,000 สาย คลาวด์ส่วนตัว อีก 600,000 สายและจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 กว่า 27 ล้านจุดทั่วโลก โดยเพิ่มขึ้นจากเครือข่าย 400G WDM 130 แห่ง เทคโนโลยี ROADM แบบออปติคัลทั้งหมดกว่า 15,000 รายการ และเครือข่าย IP ที่รองรับ SRv6 กว่า 100 เครือข่ายที่เปิดตัวแล้วทั่วโลก

พล.อ.ต. ดร.ธนพันธ์ หร่ายเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้เกียรติขึ้นกล่าวปาฐกถาในงาน
ด้าน พล.อ.ต. ดร.ธนพันธ์ หร่ายเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยังได้ให้เกียรติขึ้นกล่าวในงาน Ultra-Broadband Forum 2022 ว่า “ผมขอกล่าวขอบคุณ บริษัท หัวเว่ย และ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ที่ได้จัดงานในครั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรมของทุกอุตสาหกรรมโดยรวม หลังจากเกิดวิกฤตโควิด-19 เทคโนโลยีดิจิทัลก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งต่อภาครัฐและภาคเอกชน โดยที่ผ่านมา กสทช. ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความพร้อมในการรองรับการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม รวมทั้งพัฒนาเครือข่ายบรอดแบรนด์เพื่อลดช่องว่างทางดิจิทัล และเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย โดยในปี พ.ศ. 2566 แผนการพัฒนาของเราจะมุ่งเน้นไปที่เรื่อง “กิกะไทยแลนด์” ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับภาคเศรษฐกิจดิจิทัลและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย โดย กสทช. ในฐานะที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านโทรคมนาคมที่สำคัญของประเทศไทย จะมุ่งมั่นสร้างคุณค่าทางเทคโนโลยีและคุณค่าทางสังคมให้กับสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนนโยบาย “Thailand 4.0” ของประเทศให้เป็นจริง เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับภาคเศรษฐกิจไทย และเราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อการก้าวไปสู่ยุคใหม่ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล”
![]()
นายเจ้า ฮู้หลิน เลขาธิการ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ระหว่างการกล่าวปาฐกถาในงาน
นอกจากนี้ นายเจ้า ฮู้หลิน เลขาธิการ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ยังได้กล่าวในงานเดียวกันนี้ว่า “เปิดงาน Ultra-Broadband Forum 2022 เป็นงานที่นำพันธมิตรระดับโลกมารวมกันทุกปี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วน และส่งเสริมความยั่งยืนของเครือข่ายบรอดแบนด์ในระบบนิเวศ สำหรับงานครั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณ หัวเว่ย และพันธมิตรทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมมาโดยตลอด ซึ่งในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที รวมถึงยกระดับการลงทุนด้านไอซีทีของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาให้ชุมชนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงบริการด้านไอซีทีได้ ผมขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนหน่วยงาน องค์กร และผู้ที่เกี่ยวข้องด้านไอซีทีทุกฝ่าย ให้ร่วมกันเร่งขับเคลื่อนความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเชื่อมโยงถึงกันมากยิ่งขึ้น”
บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี ผู้สร้างและดำเนินการ Bitkub Chain เครือข่ายบล็อกเชนของไทย และ ผู้ให้บริการ Blockchain Total Solution ชั้นนำ ได้จัดงาน Thailand Comic Con 2022 มหกรรมป๊อปคัลเจอร์แห่งปีที่ยิ่งใหญ่ใน Southeast Asia และ Festiverse มหกรรม NFT และดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ครั้งยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 28 - 30 ตุลาคม 2565 เวลา 10.30 - 21.30 น. ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน
งาน Thailand Comic Con 2022 คือ มหกรรมป๊อปคัลเจอร์แห่งปี ที่ยิ่งใหญ่มากใน Southeast Asia เป็นแหล่งรวมสินค้าจากแบรนด์ดังและกิจกรรมมากมาย เช่น Meet & Greet กับศิลปินสุดโปรดใกล้ชิดติดขอบเวที แข่งเกม ประกวดคอสเพลย์ รวมถึงงาน Festiverse มหกรรมศูนย์รวม NFT Creator ครั้งยิ่งใหญ่ ที่ท่านสามารถพบปะกับศิลปิน ผู้ออกแบบผลงานสุดสร้างสรรค์ พร้อมกิจกรรมรับ NFT ฟรี รวมถึงของรางวัลภายในบูธ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ในงานนี้ Bitkub Chain ได้ยกกิจกรรมสุดพิเศษที่ทุกท่านสามารถร่วมสนุกกันได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีกระเป๋า Bitkub NEXT ไม่ว่าจะเป็น การทำภารกิจผ่าน EarnKUB แพลตฟอร์มที่ผู้ใช้งานสามารถรับรางวัลเป็น NFT จากการทำภารกิจต่าง ๆ ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือนที่ทำงานผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึง Social DAO แพลตฟอร์มที่ทุกท่านสามารถนำ NFT บนระบบนิเวศของ Bitkub Chain ไปโหวต เพื่อรับของรางวัลสุดพิเศษ ทั้งนี้ หลังจากร่วมกิจกรรมผ่านทั้ง 2 แพลตฟอร์มแล้ว ท่านสามารถมีสิทธิ์รับรางวัลมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท ไม่ว่าจะเป็น Captain America: Avengers Endgame 1/4 Scale, Thanos: Avengers Infinity War 1/4 Scale, Thor: Avengers Endgame 1/4 Scale, Mr. Twisty Jungle Eidition, One Piece Blind Box (Warlords Edition) by Mighty Jaxx, X-KUN (Limited Edition) by Herocross เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรม พร้อมรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น
1. สมัครบัญชี Bitkub NEXT พร้อมรับ NFT Reward Discount สำหรับใช้แลกเป็นส่วนลดสินค้า Toytopia 5%, Fotomood Booth 10% และ Comic Products 30%
2. เช็กอินที่บูธเพื่อรับ NFT ส่วนลด 5% จาก Good Smile Company, Beast Kingdom, Mighty Jaxx และ Wonder Factory
3. เมื่อทำกิจกรรมครบแล้ว ท่านสามารถมีสิทธิ์รับรางวัลใหญ่ เช่น Captain America: Avengers Endgame 1/4 Scale, Thanos: Avengers Infinity War 1/4 Scale, Thor: Avengers Endgame 1/4 Scale, Mr. Twisty Jungle Eidition, One Piece Blind Box (Warlords Edition) by Mighty Jaxx, X-KUN (Limited Edition) by Herocross เป็นต้น
LINE BK หนึ่งในผู้ให้บริการ Social Banking ในเมืองไทย ล่าสุดได้ประกาศความสำเร็จในรอบ 2 ปี ด้วยยอดผู้ใช้บริการกว่า 5 ล้านราย พร้อมประกาศเดินหน้าสู่ปีที่ 3 มุ่งพัฒนาบริการทางการเงินใน LINE ให้สะดวกและตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดย LINE กำหนดยุทศาสตร์เตรียมรุกขยายฐานลูกค้าทั่วทุกภูมิภาคของไทย ปักหมุดเจาะตลาดอีสาน พร้อมดึง “เบิ้ล ปทุมราช ศิลปินค่ายอาร์สยาม” เป็นแอมบาสเดอร์ หวังช่วยสื่อสารให้คนรู้จักและเข้าถึงมากขึ้น
ธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด กล่าวว่า ตลอด 2 ปีที่ LINE BK เปิดให้บริการมา นำบริการทางการเงินเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้าอย่างแอป LINE ช่วยให้คนไทยรู้จักกับ Social Banking และใช้บริการทางการเงินได้สะดวกกว่าเดิม ตามคอนเซ็ปต์ ‘เรื่องเงินง่ายใน LINE คุณ’ ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการกว่า 5 ล้านราย โตขึ้นกว่า 50% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ผ่าน 4 บริการหลัก ได้แก่ บัญชีเงินฝาก 5.9 ล้านบัญชี, บัญชีเงินออมดอกพิเศษ 1.6 แสนบัญชี, บัตรเดบิต 2.8 ล้านบัตร และบริการยืมเงิน LINE BK ที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อถูกกฎหมายไปแล้วกว่า 6 แสนบัญชี โดยบริการธุรกรรมทางการเงิน ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา LINE BK ได้มีการทำแคมเปญเพื่อกระตุ้นการสมัครใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น สมัครด้วย K+ ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้มีลูกค้ามาสมัครบริการด้วยบัญชี KBank มากขึ้นกว่า 20% และ QR payment ที่ทำให้ผู้ใช้ LINE BK สามารถสแกนจ่าย QR พร้อมเพย์ ได้ใน LINE รวมทั้งยังร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น Shopee, LINE MAN, Foodpanda, Lazada และ VISA เพิ่มความคุ้มค่าทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต
ด้านบริการสินเชื่อ ทั้งผลิตภัณฑ์วงเงินให้ยืมและวงเงินให้ยืมนาโน มีการอนุมัติวงเงินให้กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีรายได้ประจำ (ผู้ประกอบอาชีพอิสระและเจ้าของกิจการ) ถึง 40% โดยมียอดปล่อยสินเชื่อไปแล้วรวม 47,000 ล้านบาท และมียอดสินเชื่อคงค้าง 18,500 ล้านบาท ทั้งนี้ LINE BK ยังคงมุ่งเจาะลูกค้าที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อของระบบธนาคารต่อไปอย่างมีคุณภาพ ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อที่เข้าถึงง่ายเพื่อคนไทยทุกคน ซึ่งจากทำแคมเปญในช่วงต้นปี 2565 (ก.พ. - เม.ย. 2565) ที่ผ่านมา ทำให้เข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่ว
ประเทศได้มากขึ้นและมองเห็นโอกาสในการบุกตลาดภาคอีสาน จากความสนใจสมัครสินเชื่อ LINE BK ในภาคอีสานเติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (เม.ย. 2564) ถึง 52% รวมทั้งเศรษฐกิจของภาคอีสานก็มีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย จึงคาดว่าความต้องการสินเชื่อทั้งเพื่อไปประกอบธุรกิจและใช้ในชีวิตประจำวันจะเพิ่มขึ้น โดยจะมี “เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม” ไอดอลอีสานรุ่นใหม่มาช่วยสื่อสารให้คนอีสานรู้จักและเข้าถึงสินเชื่อ LINE BK มากยิ่งขึ้น ล่าสุดได้จับมือกับศรีสวัสดิ์มอบทางเลือกให้กับลูกค้า LINE BK ที่มีทรัพย์สินต่าง ๆ เพื่อลงทะเบียนขอสินเชื่อกับศรีสวัสดิ์หลากหลายประเภท เช่น สินเชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ สินเชื่อบ้านและที่ดิน สินเชื่อรถบรรทุก และสินเชื่อผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร
สุดท้ายด้านธุรกิจประกัน ที่เริ่มต้นจับมือกับ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันพัฒนาช่องทางการให้บริการประกันชีวิตและสุขภาพผ่าน LINE BK โดยในช่วงแรกเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ทั้งนี้มีสัญญาณตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยพบว่ามีลูกค้ากว่า 60% ที่ให้ความสนใจศึกษาข้อมูลหลังจากได้รับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ผ่าน LINE Official Account ของ LINE BK ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่คนสนใจ 3 อันดับแรก ได้แก่ ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) ประกันชดเชยรายได้ (HIP) และประกันโรคร้ายแรงกลุ่มโรคมะเร็ง (D-Cancer)
ธนากล่าวถึง ทิศทางและเป้าหมายของการก้าวสู่ปีที่ 3 ว่า LINE BK จะยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการใหม่ ๆ และร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการอย่างครอบคลุม รวมทั้งเข้าถึงลูกค้าที่อยู่ใน Ecosystem ของ LINE ที่มีผู้ใช้บริการสูงถึง 53 ล้านราย ในด้านต่าง ๆ คือ
· ด้านบริการธุรกรรมทางการเงิน ในอนาคต LINE BK เตรียมพัฒนาบริการ เพื่อให้การใช้งานบริการทางการเงินและโลกโซเชียลเข้ามาใกล้กันมากขึ้น โดยในเร็ว ๆ นี้จะพัฒนาให้การโอนเงินหากันในแชท ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก
· ด้านสินเชื่อ เน้นคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อทั้งผลิตภัณฑ์วงเงินให้ยืมและวงเงินให้ยืมนาโน โดยเพิ่มความสามารถในการคัดเลือกลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้ข้อมูลทางเลือกในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถสมัครขอสินเชื่อได้โดยไม่ต้องส่งเอกสารรายได้ ที่ผ่านมา LINE BK มีการพัฒนาระบบ AI หลังบ้าน เพื่อวิเคราะห์ลูกค้าสินเชื่อที่เรียกว่า Behavioral scoring โดยรวมมิติของพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์เข้าไปในการประเมินความเสี่ยง เพื่อการเข้าถึงลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
· ด้านประกัน เตรียมแผนก้าวเป็นโบรกเกอร์เต็มตัวในปี 2566 ซึ่งจะทำให้ LINE BK สามารถมอบประสบการณ์การซื้อประกันที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว โดย LINE BK จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางคัดสรรผลิตภัณฑ์ เริ่มจากกลุ่มประกันสุขภาพ เน้นแพ็กเกจราคาเริ่มต้นถูกกว่าในตลาด โดยมีเป้าหมายเจาะกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยที่มีความสนใจดูแลเรื่องสุขภาพ แต่งบประมาณไม่เพียงพอในการซื้อประกันสุขภาพทั่วไป
ทั้งนี้ ความสำเร็จของ LINE BK ยังสามารถการันตีได้ด้วยรางวัลระดับโลกมากมาย โดยรางวัลล่าสุดที่ได้ในปี 2565 ได้แก่
· รางวัล Embedded Finance ในประเภท Celent Model Bank จากเวที Celent Model Awards 2022
· รางวัล ASIA’S BEST IN CUSTOMER INTERACTIONS จากเวที Financial Insights Innovation Awards 2022 (FIIA)
· รางวัล Winner ประเภท Best Digital CX in Banking – Social Channels จากเวที Digital CX Award 2022
· รางวัล Most Innovative New User Friendly Social Banking Platform จากเวที International Finance Awards 2022
· รางวัล Financial Inclusion Initiative of the Year - Thailand และ New Consumer Lending Product of the Year - Thailand จากเวที ABF Retail Banking Awards 2022
· รางวัล Winner ประเภท Best Digital Collaboration จากเวที The Asset Triple A - Digital Award 2022

เคมบริดจ์ ยูนิเวอร์ซิตี เพรส แอนด์ แอสเซสเมนต์ (Cambridge University Press & Assessment) หนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกในด้านคุณวุฒิทางภาษาอังกฤษ ขอเชิญชวนผู้เรียนและผู้ใช้ภาษาอังกฤษจากทั่วทุกมุมโลกมายกระดับทักษะภาษาอังกฤษให้สูงขึ้นไปอีกขั้นในปีข้างหน้า ผ่านการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ เคมบริดจ์ อิงลิช ควอลิฟิเคชันส์ (Cambridge English Qualifications)
ด้วยการจัดสอบและมอบคุณวุฒิทางภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรกว่า 25,000 แห่งทั่วโลกและผู้สอบมากกว่า 5.5 ล้านคนต่อปี เคมบริดจ์ อิงลิช จึงเป็นผู้นำด้านการจัดสอบฯ ที่มีชื่อเสียงและได้รับความไว้วางใจจากผู้เรียนและผู้ประกอบวิชาชีพในระดับสากล โดยมุ่งเน้นที่การใช้ภาษาในชีวิตจริง ทุกการทดสอบและการรับรองคุณวุฒิฯ จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ใช้งานได้ และสามารถบรรลุเป้าหมายของการใช้ภาษาอังกฤษ โดยชุดข้อสอบนั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้เรียนทราบถึงทักษะต่าง ๆ ที่ต้องมีการพัฒนา อ้างอิงตามกรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (Common European Framework of Reference หรือ CEFR) ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การวางแผนเพื่อพัฒนาทักษะการพูด การเขียน การอ่าน และการฟังแบบเป็นขั้นเป็นตอน
"หน้าที่หลักของเราคือการช่วยให้ผู้คนเรียนรู้ภาษาอังกฤษและพิสูจน์ทักษะของพวกเขาให้โลกได้เห็น เราพร้อมตอบสนองต่อทุกระดับความสามารถและการพัฒนา ตั้งแต่เด็กวัยเรียน นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ไปจนถึงนักธุรกิจ โดยหลักสูตร การทดสอบ และการรับรองคุณวุฒิของเราล้วนอ้างอิงจากงานวิจัยและได้รับการพัฒนามาเป็นเวลาหลายปีผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงถือเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศทางด้านภาษาอังกฤษ ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก การรับรองคุณวุฒิของเราจะเปิดประตูแห่งโอกาส พร้อมมอบทักษะต่าง ๆ และความมั่นใจในการเติบโตและบรรลุศักยภาพสูงสุด" ตัวแทนของเคมบริดจ์ ยูนิเวอร์ซิตี เพรส แอนด์ แอสเซสเมนต์ กล่าว
เนื่องจากการรับรองคุณวุฒิแต่ละระดับขึ้นอยู่กับระดับความสามารถที่แตกต่างกัน ผู้สอบจึงจำเป็นต้องเลือกการสอบที่เหมาะสมตามความสามารถ สถานการณ์ และเป้าหมายของตนเอง โดยกรอบมาตรฐาน CEFR นั้น แบ่งประเภทการรับรองคุณวุฒิออกเป็นทั้งเด็กวัยเรียน นักเรียนทั่วไป นักศึกษาระดับอุดมศึกษา และนักธุรกิจหรือผู้ประกอบวิชาชีพ และในแต่ละประเภทต่าง ๆ นี้ ยังแบ่งเป็นระดับย่อยเพื่อแสดงถึงความสามารถ "ระดับขั้นพื้นฐาน" (Basic) "ระดับขั้นอิสระ" (Independent) หรือ "ระดับคล่องแคล่ว" (Proficient)
"หากต้องเข้ารับการสอบ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่าตนเองนั้นมีทักษะทางภาษาอังกฤษอยู่ที่ระดับใดและต้องการพัฒนาไปถึง ณ ระดับใด เราได้จัดเตรียมแหล่งข้อมูลการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มการเรียนรู้ต่าง
ๆ ข้อสอบตัวอย่าง หรือชุดแบบฝึกหัดที่สามารถให้คะแนน เพื่อผู้สอบจะได้ประเมินความสามารถของตนเองและเลือกชุดทดสอบรับรองคุณวุฒิที่เหมาะสมกับตนเอง" ตัวแทนของเคมบริดจ์กล่าวเสริม ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.cambridgeenglish.org/exams-and-tests/qualifications/