

กรุงเทพฯ 13 ตุลาคม 2565 - บริษัท 88 แคนนาเทค จำกัด ผู้นำธุรกิจกัญชง-กัญชาทางด้านการแพทย์และสุขภาพอย่างครบวงจร (ตามที่กฎหมายกำหนด) เดินหน้ายกระดับโมเดลธุรกิจ “เราปลูกสุขภาพ” ที่เป็นมากกว่า ‘การปลูก-สกัด-แปรรูป’ ปูพรมดันผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัด CBD จากช่อดอกกัญชง ภายใต้แบรนด์ CannBE และคลินิก CannaHealth คลินิกการแพทย์ที่ใช้กัญชงและกัญชา ร่วมกับการรักษาของแพทย์แผนไทยประยุกต์แห่งแรกที่ครบวงจร ทั้งด้านสุขภาพและความงาม ตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยสมุนไพรทางเลือก เตรียมรองรับตลาด Wellness และกลุ่มลูกค้าคนไทย-ต่างชาติ เดินหน้าขยายการลงทุนพร้อมตั้งเป้าทำรายได้ 1,000 ล้านบาทในปี 2566
นายพรประสิทธิ์ สีบุญเรือง กรรมการผู้จัดการ บริษัท 88 แคนนาเทค จำกัด เปิดเผยว่า “หลังจากที่ประเทศไทยปลดล็อกเรื่องกัญชา กัญชงให้พ้นจากยาเสพติดให้โทษ ทำให้เรามองเห็น โอกาส ในเรื่องการลงทุนทางสุขภาพในระยะยาว โดยธุรกิจกัญชา กัญชง เป็นเทรนด์ต่างประเทศที่มีการใช้กัญชาทางการแพทย์และกัญชงเชิงพาณิชย์มานาน เราเล็งเห็นโอกาสจึงได้รุกเข้าสู่ธุรกิจนี้ และจดทะเบียนตั้งบริษัทตั้งแต่ปี 2562 ภายใต้แนวคิด เราปลูกสุขภาพ”
“สำหรับ 88 แคนนาเทค เราได้ทำการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมกัญชงเป็นรายแรกๆ ในประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทพันธมิตรระดับโลกจากหลากหลายประเทศ จนก่อเกิดเป็นโมเดลธุรกิจที่ครบวงจรตั้งแต่ การปลูก-สกัด-แปรรูป โดยในส่วนของต้นน้ำ เรามีพันธมิตร คือ บริษัทไฟลอส ไบโอซาย ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์กัญชา กัญชง ใหญ่เป็นอันดับ 1 ใน 5 ของอเมริกา โดยทางบริษัทนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงสำหรับปี 2565 ประมาณ 1 แสนเมล็ด เพื่อปลูกในพื้นที่โรงเรือน (Green House) ของบริษัท ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.เชียงราย จำนวน 2 หมื่นเมล็ด และที่เหลือก็ส่งให้กับทาง Contract Framing ของเราอีกหลายแห่ง เช่น MDX Green Energy สุพรรณ กรีนเทค และโชคอนันต์ ฟาร์ม เป็นต้น โดยการปลูกของ Contract Farming เราต้องปลูกในโรงเรือน และต้องได้รับมาตรฐาน GAP ของกรมวิชาการเกษตร เท่านั้น สำหรับฟาร์มที่เชียงราย เราได้เก็บผลผลิตชุดแรกไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา” นายพรประสิทธิ์ กล่าว
“มาสู่เรื่องกลางน้ำหรือการสกัด เดิมทีเราตั้งใจทำโรงสกัดในฐานะภาคเอกชนเต็มตัว แต่หลังจากร่วมงานกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งมีโรงสกัดกัญชาเพื่อนำไปทำยา เมตตาโอสถ ซึ่งต้องใช้วัตถุดิบจากกัญชา และขณะเดียวกันก็มีภารกิจในการทำยา การุณโอสถ โดยใช้ผลผลิตของกัญชง คือ สาร CBD เราจึงตัดสินใจทำโรงสกัดร่วมกัน โดยบริษัทสนับสนุนในเรื่องของเครื่องจักรทั้งหมด และทำงานร่วมกันในลักษณะของโรงสกัดกลาง ซึ่งกรมแพทย์แผนไทยและ 88 แคนนาเทค สามารถนำกัญชงมาสกัดที่นี่ ในขณะเดียวกันเกษตรกรก็สามารถที่จะนำกัญชงเข้ามาจ้างเราสกัดได้” นายพรประสิทธิ์ กล่าวเสริม
“ในส่วนของปลายน้ำ เนื่องจากสารสกัดในกัญชงนั้นมีสารที่เรียกว่า Cannabidiol หรือ CBD เป็นสารสำคัญ ซึ่งไม่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท มีคุณสมบัติทางยาที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ลดความวิตกกังวล เพิ่มความอยากอาหาร ช่วยให้นอนหลับสบาย และลดการอักเสบ มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดเลือนริ้วรอย เป็นต้น จากคุณสมบัติดังกล่าว เราจึงนำมาเป็นสารสกัดใน
ผลิตภัณฑ์ ที่วันนี้เราพร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า เป็นกลุ่มแรก ภายใต้แบรนด์ CannBE ซึ่งในช่วงแรกจะออกวางตลาด 3 ชนิด ประกอบด้วย CBD anti acne serum ขนาด 30 มล. ในราคา 1,390 บาท CBD anti acne cream ขนาด 10 กรัม ในราคา 490 บาท โดยโฟกัสที่กลุ่มวัยรุ่น คนหนุ่มสาว ที่มีปัญหาเรื่องการดูแลผิวหน้าและมีความกังวลเรื่องสิว และ CBD anti aging serum ขนาด 30 มล. ในราคา 1,490 บาท โดยกลุ่มเป้าหมาย คือผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าเพื่อป้องกันและลดเลือนริ้วรอยที่มาก่อนวัย นอกจากนี้ เราได้ต่อยอดสู่เรื่องของ Wellness โดยพร้อมเปิดตัวคลินิก CannaHealth คลินิกการแพทย์และการดูแลสุขภาพองค์รวมที่ใช้กัญชงและกัญชาร่วมกับการรักษาของแพทย์แผนไทยประยุกต์แห่งแรกที่ครบวงจร ซึ่งคลินิก CannaHealth สามารถจ่ายยากัญชาและกัญชง จากองค์การเภสัชกรรม และกรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ ตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยสมุนไพรทางเลือก”
“สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ภายใต้แบรนด์ CannBE เราวางแผนการจำหน่าย โดยเน้นปูพรมทางออนไลน์ของ CannBE เอง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, IG, Line หรือ TikTok และผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยได้มีการประสานความร่วมมือกับแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Deelife ของ Happy Shopping เป็นต้น และอีกหลายพันธมิตรที่เป็นทั้งร้านค้าออนไลน์ และออฟไลน์ พร้อมทั้งกำลังเจรจากับช่องทางจำหน่ายระดับต้นๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ นอกจากนี้ เรายังตั้งเป้าขยายจุดจำหน่ายผ่านระบบตัวแทน โดยสามารถติดตามและสมัครเป็นตัวแทนได้ที่ Facebook: CannBE และ Line: @cannbe
“ทาง 88 แคนนาเทค วางแผนการตลาดไว้สำหรับในประเทศในสัดส่วน 40% และตลาดส่งออกในสัดส่วน 60% ทั้งในรูปของวัตถุดิบ น้ำมัน CBD Oil จากช่อดอกกัญชง และผลิตภัณฑ์ทั้งเครื่องสำอาง สมุนไพร อาหารเสริม ซึ่งตอนนี้ได้รับการติดต่อซื้อจากลูกค้าใน 7 -8 ประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ อังกฤษ เยอรมัน เวียดนาม มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และตุรกี เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากช่อดอกกัญชง และการขายเมล็ดพันธุ์บางส่วนให้กับ Contract Farming รวมทั้งบริษัทกำลังมีการระดมทุนเพื่อขยายเฟส 2 ผ่านบริษัท สินวัฒนา คราวด์ฟันดิง จำกัด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยประมาณการว่าภายใน ปี 2566 บริษัทจะมีรายได้ 1,000ล้านบาท จากผลิตภัณฑ์กว่า 1.2 ล้านยูนิต ที่จะทยอยออกสู่ตลาดในไตรมาส 4 นี้” นายพรประสิทธิ์ กล่าวปิดท้าย ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมของคลินิก CannaHealth ได้ที่ https://www.facebook.com/cannahealthclinicth/ รวมทั้งอัพเดทข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ CannBE ได้ที่ Facebook: CannBE และ Line: @cannbe
สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (New Economy Academy) หรือ NEA เป็นสถาบันที่มุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาผู้ประกอบการไทย ด้วยการเสริมสร้างองค์ความรู้และจัดฝึกอบรม/สัมมนา ให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการไทยทุกระดับ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามนโยบายภาครัฐจาก Local to Global และกระจายองค์ความรู้ไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ ตั้งแต่ระดับชุมชนซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศและเชื่อมต่อไปยังเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและเศรษฐกิจในระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการเรียนรู้ การปรับตัวและการวางแผนเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและการพลิกวิกฤตสู่โอกาสทางธุรกิจ อีกทั้งยังมุ่งเน้นการยกระดับบริการภาครัฐด้วยนโยบาย “Sharing Economy” หรือ “เศรษฐกิจแบ่งปัน” โดยใช้หลักแนวคิด การเผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกร่วมกัน ทลายเส้นแบ่งประเภทธุรกิจ ขนาดธุรกิจ กลุ่มพื้นที่ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนทุกคนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้อย่างทั่วถึงทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เปิดโอกาสให้ได้พบปะกับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพและพากันเดินหน้าสู่การค้าระหว่างประเทศในระดับสากล
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และสถานการณ์การค้าโลกที่ผันผวนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในทุกมิติ สถาบัน NEA ต้องตั้งรับ ปรับตัว เปลี่ยนรูปแบบการอบรมให้สอดรับกับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ ด้วยหลักสูตรการค้าแห่งโลกอนาคตที่จะพลิกโฉมการอบรมสัมมนารูปแบบเก่าไปอย่างสิ้นเชิง อาทิ การจัด
อบรมในรูปแบบ Virtual Training ที่ผู้เข้าอบรมสามารถทำกิจกรรม workshop เสมือนอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน หรือการจัดอบรมในรูปแบบ Hybrid ที่รองรับผู้เข้าอบรมแบบ Onsite และผู้เข้าอบรมแบบ Online ในเวลาเดียวกัน เป็นต้น โดยวิกฤติโรคระบาดโควิด 19 ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า สถาบัน NEA สามารถตั้งรับ ปรับตัว ให้เข้ากับสภาวการณ์ต่าง ๆ ของโลกได้อย่างไร้รอยต่อ ที่แม้จะไม่ได้เจอกันแบบ Face to Face แต่คุณภาพ การอบรมกลับไม่ลดลงเลย
ตลอดปี 2565 ที่ผ่านมา สถาบัน NEA ดำเนินการจัดอบรมไปแล้วทั้งสิ้น 75 หลักสูตร 38 กิจกรรม สามารถพัฒนาความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศไปแล้วกว่า 47,789 ราย ในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ โดยในปี 2566 สถาบัน NEA ยังคงเดินหน้าพัฒนาผู้ประกอบการไทยต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง หลักสูตรการฝึกอบรมกว่า 85 หลักสูตร 45 กิจกรรม อาทิ
· หลักสูตรบ่มเพาะความรู้ด้านการส่งออก เช่น โครงการพัฒนาผู้ส่งออกรุ่นใหม่ Young Exporter from Local to Global (YELG) เป็นหลักสูตรเพื่อผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่มที่พร้อมจะก้าวสู่ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (SMEs) ผู้ประกอบการภาคเกษตร วิสาหกิจชุมชน และบุคคลทั่วไปที่สนใจ และเป็นการสนับสนุนให้สินค้าไทยบินไกลสู่ตลาดโลก เพื่อสร้างแรงบัลดาลใจ สร้างความพร้อม และเป็นการกระตุ้นความตื่นตัวให้ผู้ประกอบการยุคใหม่ ผลักดันให้เกิดการพัฒนาและสามารถต่อยอดสินค้าไทยสู่ตลาดโลกได้
· หลักสูตรการสร้างช่องทางตลาด เช่น โครงการครบเครื่องเรื่องการค้าออนไลน์ หลักสูตรที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจด้านการค้าออนไลน์ ให้มีความรู้ในการทำการตลาดและการค้าออนไลน์ยุคใหม่ ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการของตนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อก้าวเข้าสู่การค้าระหว่างประเทศในระดับสากลอย่างยั่งยืน
· หลักสูตรการสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ส่งออกและเครือข่าย เช่น โครงการเจาะลึกตลาดต่างประเทศในยุคการค้าใหม่ หลักสูตรที่จะเสริมสร้างความรู้ โอกาสทางการตลาด และติดตามความเคลื่อนไหวสถานการณ์การค้าของตลาดเป้าหมายในต่างประเทศให้รู้ทันสถานการณ์การตลาดต่างประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
· หลักสูตรสร้างมูลค่าเพิ่มและธุรกิจกระแสใหม่ เช่น โครงการยกระดับผู้ประกอบการสู่เศรษฐกิจกระแสใหม่ (UpSkill & ReSkill) หลักสูตรที่จะยกระดับพัฒนาองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการ MSMEs ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และบุคคลที่สนใจจะก้าวเข้าสู่เวทีการค้าระหว่างประเทศ ให้เข้ามามีบทบาทเป็นกลไกส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนภาคการส่งออกของประเทศไทยในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น โครงการกระจายความรู้สู่ผู้ประกอบการยุคใหม่ (From Gen Z to be CEO) โครงการ Salesman จังหวัด Go-Inter โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรผู้ส่งออกอัจฉริยะ : Smart Exporter รวมไปถึง โครงการพัฒนาหลักสูตรภายใต้การเรียนรู้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Academy) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ ที่ผู้ประกอบการสามารถเรียน ได้ทุกที่ ทุกเวลา
ผู้ประกอบการท่านใดที่สนใจสมัครเข้าอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ของ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ https://nea.ditp.go.th/ เว็บไซต์ www.facebook.com/nea.ditp และ LINE : @nea.ditp หรือ โทร : 1169 กด 1
เมื่อเร็วๆ นี้ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2565 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน
รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI คัดเลือกโดยผู้ทรงคุณวุฒิในภาคตลาดทุน โดยพิจารณากลั่นกรองจากแบบประเมินความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัดทั่วไป และตัวชี้วัดตามลักษณะการประกอบธุรกิจตามกลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มธุรกิจการเงินมีตัวชี้วัดที่ครอบคลุมถึงความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ การทำธุรกิจทางการเงินอย่างรับผิดชอบ ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นสำคัญที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจและเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทจะต้องผ่านเกณฑ์การประเมินด้านความยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคม ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด
กรุงเทพฯ 12 ตุลาคม 2565 : บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำขนาดใหญ่แบบ omni-channel และบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “โลตัส” (Lotus’s) ประกาศอัตราดอกเบี้ยสุดท้ายสำหรับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบจำนวนทั้ง 4 รุ่นแล้ว ประกอบด้วย รุ่นอายุ 1 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.81% ต่อปี รุ่นอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.25% ต่อปี รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.55% ต่อปี และรุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปี มีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน โดยจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนรายใหญ่และ/หรือผู้ลงทุนสถาบัน ในระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม 2565 นี้ ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ทั้งนี้ บริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรและหุ้นกู้จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “A+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2565 สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ Lotus’s สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th โดยผู้ลงทุนรายใหญ่ติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือ 02-645-5555
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 819
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-777-6784
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร 0-2111-1111
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร 1428 กด#4
ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555
บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555
* ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และรวมทั้งการจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล)
** ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
***ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
กว่า 42% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องความสะดวกสบาย และเตรียมแผนอัพเกรดระบบที่รองรับการใช้โทรศัพท์มือถือได้
กรุงเทพ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2565 – HID Global ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการระบุและยืนยันตัวตน ได้เผยแพร่รายงานเรื่องระบบการควบคุมการเข้า-ออกอาคารล่าสุดประจำปี 2022 ที่ให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับ สถานการณ์ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
รายงานฉบับนี้จัดทำโดย IFSEC Global ร่วมกับ HID Global ซึ่งได้สำรวจผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 1,000 คนในทวีปอเมริกาเหนือ (56%) ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (29%) และเอเชียแปซิฟิก (15%) เรื่องการจัดซื้อ การติดตั้ง ข้อกำหนด และการทำงานของโซลูชั่นการควบคุมการเข้า-ออกอาคาร และนำเสนอผลที่ได้
ทั้งสถานการณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบัน รวมทั้งแนวโน้มที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและไอทีคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่:
ความสะดวกสบาย: การใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นปัจจัยที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 60% ให้ความสำคัญมากที่สุดในการอัพเกรดระบบควบคุมการเข้า-ออก ซึ่งนอกจากความปลอดภัยแล้ว ผู้ใช้งาน (พนักงาน ผู้อยู่อาศัย หรือผู้มาติดต่อ) และผู้ดูแลระบบ (ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ฝ่ายดูแลสิ่งอำนวยความสะดวก และฝ่ายไอที) จะต้องใช้งานได้ง่าย และสะดวกราบรื่น
การควบคุมผ่านมือถือ และ การใช้งานแบบไร้สัมผัส: การเข้า-ออกอาคารโดยใช้โทรศัพท์มือถือกำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มสูงขึ้น โดย 42% ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนที่จะอัพเกรดระบบให้พร้อมใช้งานกับมือถือได้ และนอกจากผู้ดูแลระบบรักษาความปลอดภัยจะได้ประโยชน์จากประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นแล้ว พนักงานและผู้มาติดต่อก็จะมีความสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะผู้ใช้งานมักจะพกพามือถือมากกว่าบัตรเข้า-ออกอาคาร นอกจากนี้ การระบาดใหญ่ยังทำให้ความต้องการใช้ระบบควบคุมการเข้า-ออกแบบไร้สัมผัสเพิ่มสูงขึ้น โดยประมาณ 32% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความประสงค์ที่จะอัพเกรดระบบไปใช้โซลูชันแบบไร้สัมผัส เพื่อรับมือกับโรคระบาด รวมทั้งยังพิจารณาการใช้ระบบยืนยันตัวตนไบโอเมตริกซ์แบบไร้สัมผัสด้วย
การทำงานผสานกันของระบบ: ความพร้อมในการรองรับการใช้งานอนาคตได้ เป็นข้อกังวลของผู้ตอบแบบสอบถาม เพราะผู้ใช้งานต้องการความสะดวกสบายในระยะยาวในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยลดต้นทุนได้ ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่ง (49%) เลือกความสามารถในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ในอนาคต ให้เป็นหนึ่งในสามคุณสมบัติเด่นของโซลูชันการควบคุมการเข้า-ออกอาคารแบบใหม่ๆ และ 33% เห็นว่าการผสานและเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยเดิมที่มีอยู่แล้วได้เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยเหตุนี้ ที่ปรึกษาและผู้ติดตั้งระบบ จึงเลี่ยงการใช้โมเดลที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะของยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง และหันไปใช้เทคโนโลยีที่มีมาตรฐานแบบเปิด เพื่อให้สามารถอัพเกรดซอฟต์แวร์ได้อย่างปลอดภัยผ่านระบบคลาวด์ได้ หนึ่งในห้าของผู้ตอบแบบสอบถามเสริมว่า การทำงานผสานกันได้และมาตรฐานแบบเปิดดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในแนวโน้มอันดับต้นๆ ที่กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคตอันใกล้นี้
ความยั่งยืน: องค์กรทั่วทุกภูมิภาคกำลังพยายามทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนและการอัพเกรดเทคโนโลยีควบคุมการเข้า-ออกอาคาร จะส่งผลกระทบต่อแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนได้อย่างไร โดยผู้ตอบแบบสอบถามประมาณ 28% มีการปรึกษาแผนกที่รับผิดชอบเรื่องความยั่งยืนเมื่อต้องการเปลี่ยนระบบใหม่ เพื่อการตัดสินใจได้ถูกต้อง จากข้อมูลเฉพาะที่แผนกความยั่งยืนมีอยู่ เช่น เครื่องอ่านของระบบควบคุมการเข้า-ออก ที่มีใบรับรองสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ (Environmental Product Declaration) และการจัดการพลังงานอัจฉริยะนั้น สามารถรองรับความต้องการในกลุ่มของอาคารสีเขียว เช่น LEED ได้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนไปใช้การควบคุมผ่านโทรศัพท์มือถือ และใช้หลักฐานยืนยันตัวตนแบบเสมือนจริง (Virtual) ยังช่วยลดการใช้บัตรพลาสติก จึงลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เกี่ยวข้องกับวงจรชีวิตของบัตรพลาสติกได้ นอกจากนี้ การผสานการทำงานเข้ากับแพลตฟอร์มการจัดการอาคาร ก็ยังช่วยให้สามารถปรับใช้พื้นที่ในอาคารตามความหนาแน่นของผู้มาใช้งานได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
ผู้สนใจรายงานฉบับเต็ม ที่มีการวิเคราะห์เชิงลึก และข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการควบคุมการเข้า-ออกในปัจจุบันและอนาคต สามารถอ่านได้ที่ here. และหาข้อมูลเพิ่มว่า HID Mobile Access สามารถ เพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยคงมาตรฐานด้านความปลอดภัยได้เช่นเดิมได้อย่างไร ได้ที่เว็บไซต์ website
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ HID Global
เยี่ยมชมเราได้ที่ Media Center อ่านข้อมูลใน Industry Blog และติดตามทาง Facebook, LinkedIn และ Twitter
เกี่ยวกับ HID Global
HID Global ผู้ขับเคลื่อนระบบระบุตัวตนของผู้คน สถานที่และสิ่งต่างๆ ทั่วโลก เราช่วยให้ผู้คนทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล และเดินทางได้อย่างเสรี โซลูชั่นการระบุตัวตนช่วยให้ผู้คนเข้าถึงสถานที่ได้อย่างสะดวก ทั้งสถานที่จริงทางกายภาพและสถานที่เสมือนจริงในโลกดิจิตอล และเชื่อมต่อกับสิ่งต่างๆ ที่บ่งชี้ ตรวจสอบ และติดตามผ่านช่องทางดิจิตอลได้ ผู้คนนับล้านทั่วโลกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของ HID ในชีวิตประจำวัน และมากกว่าสองพันล้านสิ่งที่เชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยีของ HID เราทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล สถาบันการเงิน ธุรกิจอุตสาหกรรม และบริษัทที่มีนวัตกรรมล้ำสมัยที่สุดของโลก HID Global มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ปัจจุบัน มีพนักงานกว่า 4,500 คนทั่วโลกและมีสำนักงานในประเทศต่างๆ ที่รองรับลูกค้าได้มากกว่า 100 ประเทศ HID Global® เป็นแบรนด์ในเครือกลุ่มบริษัท ASSA ABLOY ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hidglobal.com
พิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย นำโดย นายธงชัย ศิริธร (ที่ 5 จากซ้าย) กรรมการ นายนันทิวัต ธรรมหทัย (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการและเลขานุการ นายสยาม สุวรรณรัตน์ (ที่ 6 จากซ้าย) คณะทำงาน และ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำโดย อ.ดร.พนม วิญญายอง (ที่ 3 จากซ้าย) รองอธิการบดี ผศ.ดร.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ (ที่ 7 จากซ้าย) หัวหน้ากลุ่มวิจัยศูนย์วิจัยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อประเทศไทยปลอดขยะ พร้อมด้วย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นำโดย ผศ.ดร. วศิน สุวรรณรัตน์ (ที่ 4 จากซ้าย) รองอธิการบดีวิทยาเขตหาดใหญ่ และ ผศ.ดร. ชนิษฎา ชูสุข (ซ้ายสุด) อาจารย์ประจำคณะการจัดการสิ่งแวดล้อม
กรุงเทพฯ – 12 ตุลาคม 2565 – มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย องค์กรด้านสาธารณกุศลและความยั่งยืนที่ก่อตั้งโดย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) กับ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อจัดทำ โครงการจัดการขยะและวัสดุรีไซเคิลบนพื้นที่เกาะอย่างยั่งยืนในระยะที่สอง ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้แผนงาน “เก็บ” ไทยให้สวยงาม (Keep Thailand Beautiful) ของทางมูลนิธิฯ โดยในระยะที่หนึ่ง (สิงหาคม 2564 - กรกฎาคม 2565) ที่ผ่านมานั้น เป็นการดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และครอบคลุมพื้นที่เฉพาะเกาะสีชัง เกาะช้าง และเกาะหมากในภาคตะวันออก ส่วนในระยะที่สอง (สิงหาคม 2565 - กรกฎาคม 2566) นอกจากจะมีการเพิ่ม
พื้นที่เกาะล้าน เกาะเสม็ด และเกาะกูด ในภาคตะวันออกแล้ว ยังจะมีการขยายความรวมมือไปยังเกาะลิบง และเกาะหลีเป๊ะ ในภาคใต้ โดยการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อีกด้วย
ภายใต้ความร่วมมือนี้ มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทยได้สนับสนุนเงินทุนในการศึกษาแนวทางการจัดการขยะบนพื้นที่เกาะซึ่งมีความท้าทายจากสภาพภูมิศาสตร์ ทำให้จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการด้านการคัดแยกและขนส่งที่แตกต่างจากพื้นที่บนฝั่งทั่วไป โดยเฉพาะมาตรการจูงใจให้เกิดการคัดแยกและนำวัสดุรีไซเคิลกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลบนแผ่นดินใหญ่ หากบริหารจัดการได้ไม่ดีพอ อาจเกิดเหตุปัญหาขยะตกค้างบนเกาะ อันจะเป็นการสูญเสียทรัพยากรที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ตลอดจนเป็นการทำลายทัศนียภาพและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิโคคา-โคลาประเทศไทย จึงได้ริเริ่มทำงานร่วมกับทางศูนย์วิจัยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อประเทศไทยปลอดขยะ (CEWT) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ดำเนินโครงการนำร่องบนเกาะสีชัง เกาะหมาก และ เกาะช้าง ระหว่างเดือนสิงหาคม 2564 ถึง เดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยเน้นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพของระบบจัดเก็บ รวบรวมและขนส่งวัสดุ รีไซเคิลบนเกาะดังกล่าว พร้อมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชน ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน
ในโครงการระยะที่หนึ่ง คณะผู้วิจัยพบว่าค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัสดุรีไซเคิลออกจากเกาะเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการส่งเสริมการคัดแยกวัสดุรีไซเคิลบนเกาะ เนื่องจาก หากค่าขนส่งอยู่ในระดับที่สูง จะทำให้ผู้รับซื้อวัสดุรีไซเคิลต้องรับซื้อในราคาที่ต่ำเพื่อให้คุ้มต่อค่าขนส่ง และเมื่อราคารับซื้อต่ำจนเกินไป ก็จะทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจในการจัดเก็บและคัดแยกวัสดุเหล่านี้มากพอ โดยเฉพาะวัสดุที่มีราคาต่ำแต่มีน้ำหนักมาก เช่น เศษแก้ว อันส่งผลให้วัสดุเหล่านี้ตกค้างเป็นขยะอยู่บนเกาะ แทนที่จะถูกนำกลับเข้ามารีไซเคิลบนฝั่ง ฉะนั้น โครงการจึงศึกษาและทดลองให้เงินสนับสนุนค่าเรือขนส่งให้กับร้านรับซื้อของเก่าบนเกาะ เพื่อจูงใจให้มีการเก็บรวบรวมและขนส่งวัสดุรีไซเคิลออกจากเกาะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทางโครงการยังได้จัดฝึกอบรมการแยกขยะให้กับผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวบนเกาะ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และรถรับจ้าง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและสื่อสารให้นักท่องเที่ยวช่วยกันรักษาความสะอาด ลดและคัดแยกขยะ ความสำเร็จของการดำเนินโครงการในระยะที่หนึ่ง ทำให้เกิดการต่อยอดไปยังพื้นที่เกาะท่องเที่ยวอื่น ๆ ในภาคตะวันออกและภาคใต้ โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาไปสู่โมเดลการแก้ปัญหาขยะติดเกาะอย่างยั่งยืนต่อไป
นายนันทิวัต ธรรมหทัย กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย กล่าวว่า “มูลนิธิ โคคา-โคลา ประเทศไทย เล็งเห็นความสำคัญของแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่เกาะต่าง ๆ ในประเทศไทย อันเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย และแหล่งรายได้ที่สำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เราจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ความสวยงามเหล่านี้ไว้ ผ่านการดำเนินการตามแผนงาน “เก็บ” ไทยให้สวยงาม (Keep Thailand Beautiful) ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 จากการได้เข้ามาดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้ ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการกับปัญหาขยะติดเกาะ และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความกรุณาและความร่วมมือจาก มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการดำเนินการโครงการฯนี้ ในระยะที่สองร่วมกัน เราหวังว่า โครงการฯ
นี้จะเป็นการจุดประกายให้มีการศึกษา พัฒนา และความร่วมมือในด้านนี้ต่อไปในวงกว้าง เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันเก็บความสวยงามของประเทศไทยให้เป็นความภูมิใจของคนไทยและมรดกทางธรรมชาติที่ประเมินค่ามิได้ให้กับคนรุ่นต่อไปในอนาคต”
ผศ.ดร.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ หัวหน้าศูนย์วิจัย CEWT และหัวหน้าโครงการ กล่าวว่า “ จากการดำเนินงานที่ผ่านมา เราพบปัญหาของระบบการรีไซเคิลในพื้นที่ห่างไกล เช่น เกาะต่าง ๆ ว่าการจะนำวัสดุรีไซเคิลเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลทำได้ยากเนื่องด้วยข้อจำกัดเรื่องค่าขนส่งที่ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาที่จำหน่ายได้ แต่ด้วยความร่วมมือจากมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย รวมทั้งความร่วมมือจากชุมชน หน่วยงาน และผู้ประกอบการในพื้นที่ ทำให้โครงการการจัดการขยะและวัสดุรีไซเคิลบนพื้นที่เกาะอย่างยั่งยืน ในระยะที่หนึ่งบนเกาะนำร่องทั้ง 3 แห่งประสบความสำเร็จ โดยมีร้านรับซื้อวัสดุรีไซเคิลเข้าร่วมทั้งหมด 13 ราย สามารถขนส่งวัสดุรีไซเคิลในช่วงระยะเวลา 7 เดือนแรกของปี 2565 ออกจากเกาะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นเศษแก้วที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาในการจัดการบนเกาะ เมื่อระบบการรีไซเคิลมีความสมบูรณ์ขึ้นแล้ว ในระยะที่สอง เราจะเน้นการทำงานร่วมกับชุมชนและผู้ประกอบการในท้องถิ่น ที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ และกระตุ้นเตือนให้นักท่องเที่ยว มีส่วนร่วมในการแยกขยะอย่างถูกต้องเหมาะสมระหว่างที่ใช้เวลาท่องเที่ยวอยู่บนเกาะ พร้อมกับต่อยอดและขยายผลให้ครอบคลุมพื้นที่เกาะมากขึ้น เราเชื่อมั่นว่าโมเดลจัดการขยะบนเกาะของทางโครงการจะสามารถ นำไปประยุกต์กับพื้นที่เกาะอื่น ๆ ได้เพื่อให้เกิดรูปแบบการจัดการขยะติดเกาะที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่”
ผศ.ดร.ชนิษฎา ชูสุข อาจารย์ประจำคณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยเองก็ดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการแก้ปัญหาขยะบนเกาะท่องเที่ยวในภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาะหลีเป๊ะ ที่ถือได้ว่าเป็นเกาะท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกันก็ประสบปัญหาขยะล้นเกาะอย่างรุนแรง ด้วยอุปสรรคในการนำขยะออกจากเกาะรวมถึงปริมาณนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมาก ส่วนเกาะลิบงก็มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นเกาะที่พยูน สัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธ์อาศัยอยู่มากที่สุดแล้ว ทรัพยากรธรรมชาติบนเกาะและใต้ท้องทะเลที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด เป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง ด้วยความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทั้งสองเกาะในการจัดการขยะและวัสดุรีไซเคิลให้ถูกต้อง เพื่ออนุรักษ์เกาะท่องเที่ยว ทรัพยากรธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ต่อไป”
ด้วยความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาขยะติดเกาะเพื่ออนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามของประเทศไทย โครงการจัดการขยะและวัสดุรีไซเคิลบนพื้นที่เกาะอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการ “เก็บ” ไทยให้สวยงาม (Keep Thailand Beautiful) ผสานร่วมมือในการทำงานกับร่วมกับชุมชน พร้อมเสริมสร้างความตระหนักรู้ให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในการจัดการขยะเชิงบูรณาการ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่จะช่วยลดปัญหาขยะติดเกาะได้อย่างยั่งยืน สามารถติดตามกิจกรรมของโครงการ ได้ที่ https://www.facebook.com/TidyHandsSaveIslands
10 ตุลาคม 2565 - กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) และพันธมิตร เปิดรับสมัครผู้ท้าชิงที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ม.1-ม.6 หรือเทียบเท่า ร่วมสร้างทีมจำนวน 4-10 คน เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันหุ่นยนต์ FIRST® Tech Challenge Thailand ครั้งที่ 4 มุ่งสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ STEM Education พัฒนาผู้เรียนด้านทักษะกระบวนการคิด การแก้ปัญหา การออกแบบ และการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพิชิตภารกิจในหัวข้อ “#FIRSTENERGIZE #POWERPLAY” ระหว่างวันที่ 7-9 ธันวาคม 2565 ณ โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมทุนการศึกษา ได้รับสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติที่สหรัฐอเมริกา ผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันสามารถดูรายละเอียดการสมัครได้ที่ www.ftcthailand.org/start-a-team/
ทั้งนี้ โครงการปิดรับสมัครวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565 สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแข่งขันได้ที่www.ftcthailand.org/ หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ Inbox ของ www.facebook.com/FIRSTTechChallengeTHAILAND
จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในฐานะชมรมหุ่นยนต์ของ ปตท.สผ.
แต่ด้วย Passion และความมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ ส่งผลให้ในวันนี้ ‘เออาร์วี’ เติบโตขึ้นมาก ทั้งขนาดธุรกิจ และผลประกอบการ นับจากวันที่จดทะเบียนจัดตั้งเป็น บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี โดยพัฒนาและเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ นับแต่ปี 2561 และได้สร้างผลงานไว้หลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็น การจัดแสดงโดรนแปรอักษรเป็นเจ้าแรกของอาเซียน การร่วมพัฒนา “Nautilus” หุ่นซ่อมบำรุงท่อส่งก๊าซใต้ทะเลสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก รวมถึงได้พัฒนา “Horrus: Fully Automated Drone Solution” โดรนขับเคลื่อนตนเองแบบอิสระเต็มรูปแบบตัวแรกหนึ่งเดียวของประเทศไทย ทำให้ เออาร์วี ได้รับความไว้วางใจจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้ามาเป็นทั้งพันธมิตรและลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งในและต่างประเทศ
ล่าสุดปีนี้ 2022 ‘เออาร์วี’ เติบโตขึ้นอีกขั้นพร้อมกับรางวัลการันตีความสำเร็จ ในฐานะ ”องค์กรนวัตกรรมดีเด่น” ประเภทองค์กรเอกชนขนาดกลาง จากเวทีรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติที่จัดขึ้นโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติให้กับองค์กรไทยที่ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานที่มีความเป็นนวัตกรรมอันโดดเด่นและเกิดคุณค่าที่ชัดเจนต่อประเทศชาติ ซึ่งในปีนี้ มีผลงานส่งเข้าร่วมประกวดในรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น 504 ผลงาน ใน 5 สาขา ซึ่ง ดร.ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป เออาร์วี และนายสินธู ศตวิริยะ หัวหน้ากลุ่มงานธุรกิจ เออาร์วี เป็นตัวแทนเข้ารับมอบรางวัล ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 สร้างความภาคภูมิใจให้คณะผู้บริหารและพนักงานทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ต่อ รางวัลการันตีความเป็นองค์กรนวัตกรรม No.1 ในวงการ Tech Company 2565
ดร.ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า “วงการ Tech & Startup ของไทยในวันนี้มีแนวโน้มการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน มีองค์กรนวัตกรรมเปี่ยมศักยภาพมากมายที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาตอบโจทย์ เพื่อแก้ไขปัญหาของธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ทำให้แต่ละองค์กร มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพของตนเองเพื่อยกระดับศักยภาพให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ซึ่งเออาร์วี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ วันนี้องค์กรของเรามีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านของจำนวนบุคลากร ผลประกอบการ และยังมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจทั้งสำหรับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งได้บรรลุวัตถุประสงค์และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การพิจารณารางวัลองค์กรนวัตกรรมดีเด่นแห่งชาติ ในด้านดำเนินงานนวัตกรรมภายในองค์กรตามโมเดลการพัฒนาศักยภาพนวัตกรรมองค์กร (IOM) 8 มิติของ NIA1 จึงสามารถคว้ารางวัลแห่งความภาคภูมิใจนี้มาได้ในที่สุด”
ให้ความสำคัญกับ ‘คน’ เพื่อผลงานที่ดีที่สุด
ดร.ธนา กล่าวเพิ่มเติมว่า “เออาร์วี ต้องการผลักดันให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหา และช่วยให้ชีวิตประจำวันของทุกคนง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งภารกิจนี้จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้เลยหากขาดทีมงานที่เข้มแข็งและมีศักยภาพ ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญ และสนับสนุนให้พนักงานพัฒนาทักษะต่าง ๆ เพื่อใช้ในการทำงานร่วมกันเป็นทีม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามอุดมการณ์และเป้าหมาย โดยปัจจุบัน เออาร์วี เป็นแหล่งรวมของคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีจากทั่วโลกมากกว่า 400 คนนอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างวัฒนธรรมองค์กรร่วมกัน เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ได้คือ DNA ที่เป็นอัตลักษณ์ของพนักงานที่มีคุณค่าและเหมาะกับองค์กรของเราอย่างแท้จริง”
โมเดลธุรกิจเพื่อการพัฒนาบริษัทอย่างมั่นคงและยั่งยืน
เออาร์วีมีจุดมุ่งหมายในการสร้างธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดดในทุกมิติ โดยแสดงจุดยืนในการเป็น Venture Builder ตั้งแต่ขั้นการระดมความคิด ไปจนถึงขั้นการขยายขอบเขตธุรกิจ โดยจะมีการประเมินความพร้อมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ความเป็นไปได้ของโครงการ รูปแบบและโอกาสของตลาดที่สอดรับกับโครงการนั้น ตลอดจนประเมินความเหมาะสมด้านทรัพยากร เงินลงทุนและแรงงานคน ปัจจุบัน เออาร์วี มี 4 บริษัทภายใต้การกำกับดูแล ที่สามารถให้บริการด้านเทคโนโลยีครอบคลุมในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ROVULA (ธุรกิจให้บริการสำรวจ ตรวจสอบและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานใต้น้ำอย่างครบวงจร) SKYLLER (ธุรกิจแพลตฟอร์มประมวลและแสดงผลข้อมูลการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานอย่างครบวงจร) VARUNA (ธุรกิจที่พัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร และป่าไม้อัจฉริยะอย่างครบวงจร) และ CARIVA (ธุรกิจที่รวบรวมพันธมิตรผู้นำเทคโนโลยีโครงข่ายข้อมูลสุขภาพ)
“สิ่งที่เออาร์วีให้คุณค่า และผลักดันให้เป็นหนึ่งในค่านิยมขององค์กรเสมอมา คือการตระหนักถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน เราดำเนินธุรกิจสอดคล้องตามนโยบาย SDG 13 Climate Action เพื่อก่อให้ประโยชน์ทั้งในแง่เชิงธุรกิจ และยังสามารถช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับโลกของเราอีกด้วย ผมมองว่าในการพัฒนาทุกระดับคีย์เวิร์ดสำคัญคือ “ความร่วมมือ” หรือ “Collaboration” เพื่อบูรณาการการทำงาน และองค์ความรู้ของทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน นอกจากนั้น เออาร์วี ยังคงแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง เพื่อร่วมกันพัฒนาโซลูชั่นและนวัตกรรมต่อไปในอนาคต เพื่อสร้างประโยชน์ในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก” ดร.ธนา กล่าวสรุป
ภายใต้สถานการณ์ที่สังคมโดยรวมเริ่มขยับเข้าสู่โลกดิจิทัล บริบทของวิถีชีวิตตลอดจนธุรกรรมทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนจากรูปแบบอะนะล็อคมาสู่รูปแบบดิจิทัล และด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและสามารถบรรจุข้อมูลหรือ ดาต้า ของกิจกรรมต่างๆ ไว้อย่างมากมายในหลายปีที่ผ่านมา และนั่นหมายถึง โอกาส ต่อการแก้ไขและพัฒนา เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ดียิ่งขึ้น
ในส่วนของภาคเอกชนได้มีการนำข้อมูลที่เรียกว่า บิ๊กดาต้ามาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย โดยในขณะที่ภาครัฐในหลายประเทศก็ได้มีการอภิปรายถึงแนวทางการนำ “บิ๊กดาต้า” มาใช้ประโยชน์เพื่อต่อการออกแบบนโยบายสาธารณะ
ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยถึงความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า " ในต่างประเทศเริ่มมีข้อถกเถียงและการอภิปรายถึงประเด็นการใช้ mobility data มาเป็นแนวทางในการพัฒนานโยบาย ตัวอย่างเช่นในนอร์เวย์ สวีเดน ฝรั่งเศส สโลวาเกีย ที่มีการนำ mobility data มาวิเคราะห์รูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยวเพื่อการออกแบบยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว เช่นเดียวกับการดำเนินการวิเคราะห์ mobility data ร่วมกันระหว่างดีแทค คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และบุญมีแล็บในครั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของข้อมูล Mobility data ต่อการออกแบบนโยบายสาธารณะที่มีข้อได้เปรียบด้านขนาดข้อมูล ความรวดเร็วในการรวบรวมข้อมูล ต้นทุนที่น้อยกว่าการได้มาซึ่งข้อมูลแบบสำรวจ หากเราสามารถนำ mobility data มาใช้ในการออกแบบนโยบายได้มากขึ้น จะสร้างพลังขับเคลื่อนอันมหาศาลในการสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม"
“mobility data ไม่เพียงแต่จะทำให้ภาครัฐและนักวิจัยเข้าใจสถานการณ์ในสังคมได้ดีละเอียด ชัดเจน และฉับไวมากขึ้น หากภาคประชาชน ชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จะเป็นการเปิดโอกาสให้สังคมมีทางออกใหม่ให้กับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น” ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ กล่าว
เวลา: ตัวแปรสำคัญของการพัฒนา
ฐิติพงษ์ เหลืองอรุณเลิศ ซีอีโอของ Boonmee Lab เผยว่า บริษัทมีเป้าหมายในการนำความรู้ด้านการออกแบบ ดาต้า และเทคโนโลยีมาทำให้เกิดนวัตกรรมเพื่อสังคม และโปรเจ็คนี้ก็เป็นหนึ่งในโปรเจ็คที่ตื่นเต้นที่สุดด้วยลักษณะของ mobility data ที่มีลักษณะเฉพาะ ประกอบกับการมองเห็นถึงศักยภาพในการออกแบบนโยบายสาธารณะที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ
“โปรเจ็คนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการนำ mobility data มาวิเคราะห์และนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายครั้งแรกของไทย และสามารถต่อยอดไปสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะเพิ่มเติม นำมาพลิกแพลงได้หลายอย่างจนนำไปสู่ข้อสรุปใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” ฐิติพงษ์กล่าว
ในโลกสมัยใหม่ที่ดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์และองคาพยพของสังคมอย่างสิ้นเชิง การออกแบบนโยบายสาธารณะก็ควรมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้นของสังคม ควรนำแนวคิดการทำงานแบบ agile มาใช้ เพราะหากรัฐยังมีมุมมองต่อนโยบายสาธารณะแบบเดิม ในห้วงระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ ประเทศไทยจะตามหลังนานาอารยะประเทศอย่างมาก
“ในยุคที่เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่า ภาครัฐจำเป็นต้องนำเครื่องมือและรูปแบบการทำงานสมัยใหม่มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ อย่างเช่นโปรเจ็คนี้ที่คาดหวังว่าจะเป็น use case ของการนำ mobility data มาเป็นฐานเพื่อหนดนโยบายอื่นๆ ต่อไป” ฐิติพงษ์กล่าวเน้นย้ำพร้อมยกตัวอย่างกรณีการกำหนดเส้นทางเดินสายรถเมล์ที่อาจใช้ mobility data ร่วมกับข้อมูล CCTV ทำให้ระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
พันธกิจแรกเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ
ภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อธิบายว่า นับตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาเป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของรัฐบาลสะท้อนให้แห็นถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ต่อการพัฒนาสู่ Digital Nation โดยให้ความสำคัญที่ “ข้อมูล” มากกว่า “ระบบไอที”
ปัจจุบัน สดช. ได้กำหนดทิศทางด้านข้อมูลโดยผลักดันให้ฐานข้อมูลที่เป็นบิ๊กดาต้าเป็นแหล่งเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ภาครัฐเองยังเผชิญกับความท้าทายโดยเฉพาะระบบการได้มาและการจัดเก็บข้อมูลนั้นมีความแตกต่าง ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีการจัดเก็บข้อมูลของตัวเอง โดยทั้งหมดต้องคำนึงถึงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การออกแบบนโยบายจำต้องให้ทันสถานการณ์ ดังนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้มาซึ่งข้อมูลที่ทันการณ์จึงความสำคัญมาก
“ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักสถิติแห่งชาติ ผมตระหนักดีถึงบทบาทและความสำคัญของข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อมูลมีการบูรณาการจากหลายแหล่ง วิเคราะห์ได้ถูกจุด ก็จะทำให้ข้อมูลนั้นๆ มีพลังอย่างมาก” เลขาธิการ สดช. กล่าว
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา แม้การเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐยังเผชิญกับความล่าช้าอันเนื่องมาจากการปรับปรุงกฎหมาย แต่ขณะเดียวกัน รัฐเองก็มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปฏิรูปข้อมูล ทั้งการจัดเก็บในรูปแบบดิจิทัลบนระบบคลาวด์ที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นเจ้าภาพ หรือการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (สวข.) ซึ่งเป็นหน่วยงานเต็มไปด้วยบุคลากรด้าน data scientist เพื่ออำนวยความสะดวกวิเคราะห์ข้อมูลตามโจทย์ที่หน่วยงานรัฐต่างๆ ต้องการ
“ข้อมูลที่เรียลไทม์จะทำให้ภาครัฐสามารถบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การบริหารจัดการน้ำ การรับมือกับภัยพิบัติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสำคัญในระยะอันใกล้นี้คือการเชื่อมโยงฐานข้อมูลให้เป็นแหล่งเดียวกัน ซึ่งเป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกที่มีความสำคัญอย่างมาก” ภุชพงค์ กล่าว
ก้าวสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ
อรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารองค์กรและการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า จุดยืนของดีแทคต่อการใช้ mobility data คือ การขยายความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่อยู่บนสมดุลระหว่างนโยบายความเป็นส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมสังคมเละเศรษฐกิจดิจิทัลให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปแบบอย่างแท้จริง แม้โครงการฯ นี้จะใช้เวลายาวนานถึง 2 ปี แต่ทีมงานทั้ง 3 ฝ่ายก็ทำมันสำเร็จ แต่นั่นเป็นก้าวแรกเท่านั้น โดยก้าวต่อไปคือ การได้รับความเห็นชอบโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบและนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากงานวิจัยไปปรับใช้ ส่วนปลายทางความสำเร็จคือ การเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงวิธีการใช้ข้อมูลและวิธีการใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาสังคม เช่นเดียวกับกรณีนี้ ที่มีความคาดหวังให้ mobility data สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการท่องเที่ยว ตลอดจนเพิ่มการมีส่วนร่วมขององค์กรส่วนท้องถิ่น
“หลายคนอาจถามว่าเอกชนจะก้าวขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนโยบายสาธารณะทำไม แต่ดีแทคเราเชื่อว่า สิ่งนี้คือหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมด้วยการใช้ศักยภาพของ mobility data ผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชนและสถาบันการศึกษาสร้างประโยชน์ต่อประเทศตามแนวคิด Civil society” อรอุมา เผย
จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ล่าสุด (12 ต.ค. 2565) พบว่า ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ 33 จังหวัดของประเทศไทย ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุ "น้ำท่วม" โดยหลายพื้นที่ต้องประสบกับสถานการณ์อุทกภัยอย่างหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมขัง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เล็งเห็นถึงความยากลำบากทั้งด้านความเป็นอยู่และด้านอาหารของพี่น้องประชาชน จึงระดมสรรพกำลังช่วยเหลือคนไทยอย่างเร่งด่วน ใน 23 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยการมอบเสบียงอาหารและน้ำดื่ม ในโครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม" ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน โดยมีชาวซีพีเอฟจิตอาสาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน
สำหรับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชาวซีพีเอฟจิตอาสาได้ร่วมส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม แก่พี่น้องชาวอุบลราชธานี โดย นายวุฒิชัย ประชุมพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และ นายเอราวัณ ก้อนคำใหญ่ ผู้บริหารอาวุโส งานพัฒนาความยั่งยืนหน่วยธุรกิจ ร่วมกับผู้บริหารธุรกิจไก่ไข่ พร้อมเหล่าพนักงานซีพีเอฟและบริษัทในเครือ ร่วมแรงร่วมใจส่งมอบผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรแปรรูป 200 กิโลกรัม และไข่ไก่ซีพี 15,000 ฟอง แก่ นางปิยาภรณ์ ปุยะตานนท์ ประธานกลุ่มอาสาดุสิต และเครือข่ายกู้ภัย เพื่อสนับสนุนภารกิจของกลุ่มอาสาดุสิต ที่ได้จัดทีมเข้าช่วยเหลือในสถาณการณ์น้ำท่วม และจัดตั้งโรงครัวสำหรับปรุงอาหารมอบให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน
ด้านพื้นที่ภาคเหนือ ธุรกิจสุกรภาคเหนือตอนล่าง โดยทีมงานอาสาฟาร์มศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ลงพื้นที่นำอาหารพร้อมรับประทาน 200 กล่อง น้ำดื่ม 1,200 ขวด เนื้อสุกร 100 กิโลกรัม และข้าวสาร 2 กระสอบ ถึงมือพี่น้องชาวศรีเทพ โดยมี นางณัชพิมพ์ บุญโชติ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ เขตอำเภอศรีเทพ พร้อมด้วยข้าราชการทหาร ร่วมกันผู้รับมอบ และกล่าวขอบคุณชาวซีพีเอฟฟาร์มศรีเทพที่มาร่วมด้วยช่วยกันบรรเทาความเดือดร้อน พร้อมเคียงข้างเป็นกำลังใจให้ชาวศรีเทพได้ก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน
ขณะที่ภาคกลางซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมเช่นกัน นายพิรุณศักดิ์ วงศ์ชาลี ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจไก่ไข่ ร่วมกับเพื่อนพนักงานจิตอาสา โรงงานคัดไข่และแปรรูปไข่บ้านนา จ.นครนายก รุดช่วยพี่น้องชาวตำบลทองหลาง อ.บ้านนา จ.นคร ด้วยการส่งมอบไข่ไก่สดซีพี 6,000 ฟอง แก่ นายประวิทย์ รุ่งเรือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทองหลาง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมคลายความทุกข์แก่ประชาชนอย่างเร่งด่วน
ทางด้าน นายสหชัย แจ่มประสิทธิ์สกุล นายอำเภอกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี พร้อมด้วย นายประเสริฐ ก้อนสันทัด ปศุสัตว์อำเภอกบินทร์บุรี รับมอบไข่ไก่ซีพี 2,190 ฟอง ที่ทีมงานซีพีเอฟจิตอาสา ร่วมกับตัวแทนฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่และโรงฟักไข่ ธุรกิจไก่พันธุ์ 2 (กทม.) ส่งมอบเพื่อนำไปช่วยเหลือชาวกบินทร์บุรี โดยนายอำเภอกบินทร์บุรี กล่าวขอบคุณในน้ำใจและความห่วงใยที่ชาวซีพีเอฟมอบให้กับชาวกบินทร์บุรีเสมอมา และขอให้ช่วยเหลือดูแลกันเช่นนี้ตลอดไป
นอกจากซีพีเอฟจะเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้ว ในส่วนของเพื่อนพนักงานและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมเช่นกัน ทางหน่วยเคลื่อนที่เร็วทีมงานจิตอาสาโรงงานผลิตอาหารสัตว์ซีพีเอฟ ต่างเร่งลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเช่นกัน โดยโรงงานผลิตอาหารสัตว์ธารเกษม อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี นำโดย นายไพฑูรย์ บัวเงิน ผู้จัดการฝ่ายคลังสินค้าและวัตถุดิบ พร้อมจิตอาสาต่างร่วมแรงร่วมใจเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนพนักงานที่บ้านเรือนถูกน้ำท่วมอย่างทันท่วงที โดยได้เร่งเคลื่อนย้ายผู้สูงอายุและขนย้ายสิ่งของไปอยู่ในส่วนที่ปลอดภัย
ขณะเดียวกัน โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหนองแค จังหวัดสระบุรี นำโดย นายวรพล เจียมอ่อน ผู้บริหาร CSR และชมรมบำเพ็ญประโยชน์ BPF (เพื่อนช่วยเพื่อน) ร่วมกันส่งมอบน้ำดื่มซีพี มอบแก่เพื่อนพนักงานในพื้นที่ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุทธยา ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จากนั้นพนักงานได้อาสานำน้ำดื่มไปส่งต่อให้กับเพื่อนบ้านในชุมชนเพื่อช่วยผ่อนคลายความเดือดร้อน โดยเฉพาะในจุดที่ทีมบำเพ็ญประโยชน์ของภาครัฐและเอกชนเข้าไม่ถึง
สำหรับพื้นที่ 23 จังหวัดทั่วประเทศ ที่ซีพีเอฟส่งมอบความห่วงใยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก ขอนแก่น อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร นครราชสีมา มหาสารคาม เลย สระบุรี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร พิษณุโลก และกรุงเทพฯ ในเขตบางนาและมีนบุรี จนถึงวันนี้ ซีพีเอฟยังคงร่วมใจช่วยเหลือประชาชนอย่างถึงที่สุด เพื่อให้ทุกคนได้ก้าวต่อไป คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน./