

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ผุดไอเดียเชื่อมโซลูชันพลังงานกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ผ่านแคมเปญ ‘เพลงรักจากพลังงานสะอาด’ จัดทำบทเพลง ‘เป็นเธอ (Brighter Sky)’ เพลงรักเติมเต็มพลังบวกที่ถ่ายทอดความเป็น ‘บ้านปู’ ได้ดีที่สุด พร้อมส่งต่อแนวคิดที่อยากเห็นโลกดีขึ้นได้อย่างง่าย ๆ จากแค่การเปลี่ยนมุมมอง เพราะพลังงานสะอาดที่จริงแล้วอยู่รอบตัวเรา โดยได้ วี วิโอเลต วอเทียร์ ศิลปินดังแห่งยุคมาถ่ายทอดบทเพลง อีกทั้ง ‘เป็นเธอ (Brighter Sky)’ ยังเป็นเพลงที่สร้างสรรค์โดยกระบวนการที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนการผลิตเพลง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบ้านปูที่จะสร้างพลังงานที่ดีขึ้นเพื่ออนาคต (Smarter Energy for the Future)
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ปัจจุบัน คนยุคใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคมและความยั่งยืนยิ่งกว่าที่เคย บ้านปูในฐานะบริษัทที่พร้อมส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืนให้แก่ทุกคน เห็นถึงความสำคัญของการร่วมผลักดันแนวคิดการสร้างโลกที่ดีขึ้นด้วยพลังงานสะอาดและเข้าถึงผู้คนในวงกว้าง พร้อมทั้งขยายการเติบโตของพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานให้ชัดเจนขึ้น จึงใช้ ‘เพลงรัก’ ที่เป็นผลผลิตผ่านโซลูชันพลังงานของบ้านปู เป็นตัวกลางที่เชื่อมบ้านปูและผู้คนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนยุคใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์ในรูปแบบ Greener & Smarter ให้รู้จักกันและใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
โดยจุดประสงค์หลักของแคมเปญนี้ คือการจุดประกายให้ผู้คนได้เห็นว่าพลังงานที่สมาร์ทและสะอาดสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพื่อให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมได้ และให้ทุกคนรู้ว่า ‘บ้านปูอยู่ใกล้คุณกว่าที่คุณคิด’ โดยเพลง ‘เป็นเธอ (Brighter Sky)’ ได้ศิลปินชื่อดังอย่าง วี วิโอเลต วอเทียร์ คนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนแนวคิดอยากเห็นโลกที่ดีขึ้นกว่าเดิม มาถ่ายทอดอารมณ์เพลงผ่านเนื้อเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยการรังสรรค์เนื้อเพลงผ่านปลายปากกาของ ‘แอ้ม-อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์’ ผู้ฝากผลงานเพลงฮิตติดชาร์ตไว้มากมาย มีเนื้อหาของเพลงที่สื่อสารให้เห็นพลังในเชิงบวก เพื่อให้ผู้คนทุกเพศทุกวัยสามารถฟังและเข้าถึงได้ อีกทั้งเนื้อเพลงแต่
ละท่อนยังสามารถตีความได้ถึงพลังงานดี ๆ ของบ้านปูที่ส่งต่อไปยังผู้คน และอยากให้ทุกคนเปิดใจรับสิ่งดี ๆ เหล่านี้
สำหรับแนวคิดของแคมเปญนี้ คือ ‘เปลี่ยนสิ่งเดิม เริ่มสิ่งใหม่’ ซึ่งเพลงนี้เกิดขึ้นจากการนำไฟฟ้าจาก ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ ซึ่งถือเป็นพลังงานสะอาด มากักเก็บไว้ในอุปกรณ์เทคโนโลยีพลังงานของบ้านปู เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตเพลง และการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ
“บ้านปู เตรียมก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 ในปีหน้า ด้วยวิสัยทัศน์ที่พร้อมปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับเทรนด์โลกยุคใหม่ เราไม่หยุดนิ่งที่จะส่งมอบพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากบทเพลง ‘เป็นเธอ (Brighter Sky)’ และมิวสิกวิดีโอแล้ว เรายังมีแผนจะส่งมอบความสุขให้กับคนรุ่นใหม่ ผ่านมินิคอนเสิร์ตสุดพิเศษที่จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ณ ลานสีฟ้า สยามแควร์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งมอบพลังงานที่ดีขึ้นเพื่ออนาคต” คุณสมฤดี กล่าวทิ้งท้าย
สามารถรับชมมิวสิกวิดีโอ เพลง ‘เป็นเธอ’ (Brighter Sky) ได้ตั้งแต่วันนี้ ที่ YouTube https://youtu.be/bqd_CB-k7jM Facebook https://www.facebook.com/watch/?v=833511600996527
###
SCB Academy ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ ดร. บาร์บาร่า โอ๊คลีย์ เจ้าของหลักสูตรออนไลน์ “Learning How to Learn: Powerful Mental Tools to Help You Master Tough Subjects” ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เปิดตัวโครงการ LHL Brainery จัดทำหลักสูตรการเรียนรู้เป็นภาษาไทยครั้งแรกขึ้นบนแพลตฟอร์ม Coursera เพื่อเร่งสปีดทักษะการเรียนรู้รูปแบบใหม่พร้อมเทคนิคการบริหารสมองเพื่อการเรียนรู้ให้คนไทยทันการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการปรับ Mindset ให้เป็นที่ต้องการในโลกอนาคต วางเป้าหมายการส่งต่อการเรียนรู้หลักสูตรนี้ไปยังกลุ่มนักศึกษาผ่านเครือข่ายมหาวิทยาลัยที่เป็นพันธมิตร พร้อมผลักดันหลักสูตร LHL Brainery ต่อยอดการใช้ประโยชน์ไปยังบริการทางการเงิน ภาคการศึกษา และขยายไปสู่การเป็น Disruptive EdTech ในอนาคต
นายวรวัจน์ สุวคนธ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด SCB Academy ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรามองเห็นความสำคัญของ “ทักษะการเรียนรู้” รวมไปถึงเครื่องมือและเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในการพัฒนาทักษะ “อภิปัญญา (metacognition skills)” ที่สามารถนำมาใช้เป็นตัวเร่งการเรียนรู้ของคนไทยให้ทันกับสปีดของการเปลี่ยนแปลง ในการร่วมมือครั้งนี้ SCB Academy ได้รับเกียรติให้เป็นผู้จัดทำหลักสูตรนี้เป็นภาษาไทย นับเป็นองค์กรแรกๆ ของประเทศไทยที่ได้ร่วมทำหลักสูตรบนแพลตฟอร์มระดับโลก โดยวางแผนที่จะนำเสนอหลักสูตรภาษาไทยนี้ให้กับมหาวิทยาลัยที่เป็นพันธมิตรของ เรา รวมไปถึงองค์การต่างๆ ในภาครัฐ บริษัทในเครือ ลูกค้า พนักงาน และผู้เรียนทั่วไป เพื่อช่วยยกระดับความสามารถในการเรียนรู้ให้กับคนไทยในทุกภาคส่วน การร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการจุดชนวนความคิดริเริ่มระดับชาติในการช่วยยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ครั้งใหญ่ในประเทศไทย”
SCB Academy มีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์หลัก คือ การให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและดิจิทัลเพื่อพัฒนาไปสู่เป้าหมายโดยรวม ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรที่หลากหลาย และได้ขยายโครงข่ายการเรียนรู้ในวงกว้าง เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้และการศึกษาเกี่ยวกับดิจิทัล โดยมุ่งหวังความสำเร็จของการสร้าง Academy as a Platform ให้เป็นพื้นที่เชื่อมโยงระหว่างทักษะความรู้ พนักงาน โอกาส และธุรกิจบนแพลตฟอร์มนี้ “เราจะมุ่งสร้าง Learning How to Learn Academy ให้เป็นฟันเฟืองหนึ่งที่อยู่ในแพลตฟอร์มการเรียนรู้ระดับโลกให้คนไทยเข้าถึงได้ แทนที่แนวทางการเรียนรู้แบบเดิม ด้วยวิธีการและเทคนิคใหม่ๆ ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากผู้เชี่ยวชาญและนักประสาทวิทยาระดับแนวหน้าของโลก
ดร. บาร์บาร่า โอ๊คลีย์ ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรม มหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ เจ้าของหลักสูตร Learning how to Learn: Powerful Mental Tools to Help You Master Tough Subjects กล่าวว่า หลักสูตร Learning How to Learn มีเนื้อหาอธิบายเกี่ยวกับการทำงานของสมองที่เป็นเรื่องซับซ้อนและเข้าใจยาก โดยนำการอุปมาอุปมัยมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการสอน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายและนำวิธีการเรียนรู้ที่สอดคล้องไปปฏิบัติใช้จริง ซึ่งจะเป็นหลักสูตรบุกเบิกเพื่อวางรากฐาน
ของทักษะอภิปัญญา สำหรับนักศึกษา นักวิชาการ นักเทคโนโลยี ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ตลอดจนพนักงานองค์กรขนาดใหญ่และบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายในประเทศไทย
“การร่วมมือกับ SCB Academy ครั้งนี้ เชื่อมั่นว่า องค์กรจะได้นำใช้ความรู้ของ Learning How to Learn มาใช้เพื่อพา SCB Academy ไปสู่การเป็น learning organization ที่ผู้คนในองค์กรสามารถเรียนรู้ทักษะต่างๆ ที่ยากและท้าทาย อีกทั้งกำลังเป็นที่ต้องการของโลกในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าทักษะเหล่านี้จะช่วยให้ธนาคารนำหน้าคู่แข่งได้ เพราะความรู้และทักษะดิจิทัล เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมการธนาคารสมัยใหม่ ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าความรู้ที่ได้จาก Learning How to Learn นี้ สามารถทำให้ธนาคารสร้างความรู้อันมีค่าที่ส่งมอบให้แก่สังคมไทย ตลอดจนช่วยให้ประเทศโดยรวมสามารถแข่งขันได้ และยังเปิดให้ความรู้ทางประสาทวิทยาใหม่ ๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ได้ถูกถ่ายทอดเข้าสู่วิธีการคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของไทยอีกด้วย” ดร.บาร์บาร่า กล่าวทิ้งท้าย
อนึ่งโครงการ LHL Brainery มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะอภิปัญญาโดยนำหลักการทางประสาทวิทยามาใช้ ผนวกกับแนวคิดจากคอร์สออนไลน์ Learning How to Learn : Powerful mental tools to help you master tough subjects ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักสูตรที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดบนแพลตฟอร์ม Coursera มาเป็นรากฐานของโครงการ โครงการนี้ริเริ่มขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อทีมงาน SCB Academy ติดต่อไปหา ดร. โอ๊คลีย์ เพื่อขออนุญาตนำแนวคิดจากหลักสูตรของเธอมาปรับใช้ในหลักสูตรที่โครงการได้จัดทำขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนคนไทย ซึ่งเธอยินดีที่จะเอื้อเฟื้อเนื้อหาที่มีคุณค่าให้ SCB Academy ได้นำมาถ่ายทอดความรู้ดีๆ ให้กับคนไทย
“MAAI by KTC” โดยนางประณยา นิถานานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – การตลาดบัตรเครดิต "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ “บัตรสมาชิก Max Card” โดยนายพร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด บริษัทในเครือพีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ร่วมกันมอบสิทธิประโยชน์ให้สมาชิกสามารถโอนคะแนนระหว่างกันได้ บนแอปพลิเคชัน MAAI by KTC และ Max Me Application ในอัตราการแลกเปลี่ยน MAAI Point 500 คะแนน เป็น Max Point 400 คะแนน และ Max Point 500 คะแนน เป็น MAAI Point 400 คะแนน โดยสามารถรับสิทธิพิเศษได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านแอปฯ MAAI by KTC ในรูปแบบ e-Coupon จากพันธมิตรที่หลากหลาย ในหมวดร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ช้อปปิ้งออนไลน์ และท่องเที่ยว รวมไปถึงร้านค้าถุงเงินกว่า 400,000 ร้านค้าทั่วประเทศผ่านฟีเจอร์สแกน QR Code
ทั้งนี้ สมาชิกยังสามารถแลกคะแนนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ระหว่างกัน กับ Max Me Application ได้อย่างอิสระ อาทิ เมื่อสมาชิกโอน MAAI Point เป็น Max Point แล้ว สามารถแลกคะแนนสะสมเพื่อเป็นส่วนลดการเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันพีที บริการ Max Service บริการช่วยเหลือจัดส่งน้ำมันฉุกเฉิน รวมไปถึงส่วนลดจากพันธมิตรในหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่ม สุขภาพและความงาม โรงแรมและการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2565 – วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ MAAI by KTC ได้ที่: https://ktc.promo/maai-app-news และดาวน์โหลด Max Me Application ได้ที่: https://www.maxcard.co.th/download.html
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือเว็บไซต์ www.ktc.co.th สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก เคทีซี ทัช ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ได้ที่นี่ : https://bit.ly/apply-ktc
จากสถานการณ์น้ำท่วมที่ยังไม่คลี่คลายในหลายพื้นที่ของไทย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ยังคงส่งความห่วงใยถึงพี่น้องชาวไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีทีมงานจิตอาสาร่วมร้อยเรียงความดี เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่ช่วยเหลือในทันที นำอาหารและน้ำดื่ม ในโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” จัดส่งให้ถึงมือประชาชน เพื่อให้คนไทยเข้าถึงอาหารปลอดภัยอย่างทั่วถึง
เขตภาคเหนือเป็นอีกพื้นที่ที่กลุ่มธุรกิจสุกรภาคเหนือของซีพีเอฟ เร่งให้ความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ทีมซีพีเอฟจิตอาสาโรงงานตัดแต่งและแปรรูปสุกรเชียงใหม่ นำโดย นายสมพงษ์ อัครแสงทิพย์ ผู้จัดการศูนย์ตัดแต่งและกระจายสินค้า (ห้วยส้ม) เชียงใหม่ ธุรกิจสุกร 3 ภาคเหนือตอนบน ส่งมอบเนื้อสุกร น้ำดื่ม และข้าวสาร เพื่อนำไปช่วยเหลือชาวชุมชนบ้านห้วยส้ม ตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง โดยมี นายคำมูล กันทา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง เป็นผู้รับมอบ พร้อมกล่าวขอบคุณซีพีเอฟที่นำผลิตภัณฑ์มามอบแก่ชาวห้วยส้ม ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุโนรู ทำให้มีฝนตกหนักติดต่อหลายวัน ส่งผลให้น้ำเอ่อล้นจากแม่น้ำขานและเเม่น้ำวาง จนน้ำท่วมสูง 1.50-2 เมตร การเดินทางเข้า-ออกหมู่บ้านโดยรถยนต์ไม่สะดวก ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ขาดเเคลนอาหารและน้ำดื่ม
ขณะที่หน่วยเคลื่อนที่เร็วจากโครงการส่งเสริมขุนฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดย นายอนุพนธ์ สัตยดิษฐ์ ผู้จัดการโครงการสุกรขุนฝาง นำทีมงานร่วมมอบข้าวกล่อง แก่ นายอินทรัตน์ ยั่งยืน ตัวแทนผู้เลี้ยงสุกรขุนฝาง เพื่อนำอาหารไปส่งต่อแก่เกษตรกรบ้านฮ้องห้าหลวง ตำบลแม่นาวาง อำเภอแม่อาย ที่เดือดร้อนจากกรณีมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน จนเกิดน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ การเดินทางไม่สะดวกจากน้ำท่วมสูงกว่า 30 เซ็นติเมตร ประชาชนขาดแคลนอาหาร ตัวแทนเกษตรกรกล่าวขอบคุณซีพีเอฟที่ให้ความช่วยเหลือในช่วงที่เกษตรกรยากลำบากเช่นนี้
ทางด้าน นายนพดล ภู่เกิด ผู้จัดการการฟาร์มจอมทอง ธุรกิจสุกร 3 ภาคเหนือตอนบน พร้อมชาวซีพีเอฟจิตอาสาฟาร์มจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ลงพื้นที่หมู่บ้านห้วยน้ำดิบ หมู่12 ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง นำน้ำดื่ม อาหารแห้ง และชุดเครื่องนอน มอบแก่ นายอุทัย จันต๊ะยอด ผู้ใหญ่บ้านห้วยน้ำดิบ หมู่12 พร้อมสนับสนุนรถแบคโฮช่วยขุดลอกคลองเพื่อระบายน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ ซึ่งเกิดจากน้ำเอ่อล้นตลอดเส้นทางแม่น้ำปิง จากที่มีฝนตกหนัก จนน้ำไหลหลากท่วมชุมชนพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้แหล่งน้ำ ชาวชุมชนต่างขอบคุณซีพีเอฟที่ให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และอยู่เคียงข้างในยามที่เดือดร้อนเสมอมา
นอกจากพื้นที่เชียงใหม่แล้ว ซีพีเอฟยังเร่งส่งมอบความห่วงใยอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ 24 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก ขอนแก่น อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร นครราชสีมา มหาสารคาม เลย เชียงใหม่ สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร พิษณุโลก สระบุรี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี และกรุงเทพฯ ในเขตบางนาและมีนบุรี โดยบริษัทยังคงร่วมใจช่วยเหลือประชาชนอย่างถึงที่สุด เพื่อให้ทุกคนได้ก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน./
AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 1.9 แสนล้านบาท) ในประเทศไทยในระยะเวลา 15 ปี
อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com, Inc. (NASDAQ:AMZN) ในวันนี้ 18 ต.ค 2022 ได้ประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ ด้วยการเปิดตัว Region ในประเทศไทย โดยจะใช้ชื่อว่า AWS Asia Pacific (Bangkok)
โดย Regionแห่งใหม่นี้จะประกอบด้วย Availability Zone สามแห่ง ซึ่งเพิ่มเติมจาก Availability Zone ของ AWS ที่มีอยู่แล้ว 87 แห่งใน 27 ภูมิภาคทั่วโลก และ AWS ได้ประกาศแผนที่จะสร้าง Availability Zone ทั่วโลกอีก 24 แห่งและ AWS Region อีก 8 แห่งในออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย อิสราเอล นิวซีแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงประเทศไทย
AWS Region ที่กําลังจะมีขึ้นในประเทศไทยจะช่วยให้นักพัฒนา สตาร์ทอัพ และองค์กรต่าง ๆ รวมถึงภาครัฐ การศึกษา และองค์กรไม่แสวงผลกําไร สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชันของตนและให้บริการผู้ใช้ปลายทางจากศูนย์ข้อมูล AWS ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ก็เพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการเก็บข้อมูลของตนไว้ในประเทศไทยสามารถทําได้ นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มีต่อภูมิภาคนี้ AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 1.9 แสนล้านบาท) ในประเทศไทยในระยะเวลา 15 ปี สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของ AWS (สามารถดูได้ที่ aws.amazon.com/about-aws/global-infrastructure/)
“เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศและการนำเสนอบริการใหม่ๆ ที่รวดเร็ว เพื่อช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทยสามารถใช้ศักยภาพทั้งหมดของคลาวด์เพื่อเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานและนำเสนอบริการต่างๆ ” ปราสาท กัลยาณรามัน รองประธานฝ่ายบริการโครงสร้างพื้นฐานของ AWS “AWS Asia Pacific (Bangkok) region จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยการใช้ประโยชน์จากบริการที่หลากหลายและเชี่ยวชาญของ AWS เช่น แมชชีนเลิร์นนิ่ง การวิเคราะห์ และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง ด้วยเครื่องมือใหม่เหล่านี้ AWS ยังช่วยให้ลูกค้าภาครัฐสามารถมีส่วนร่วมกับพลเมืองได้ดียิ่งขึ้น องค์กรต่าง ๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเติบโตในระยะต่อไป รวมถึงสร้างธุรกิจและแข่งขันในระดับโลก”
“แผนของ AWS ในการสร้างศูนย์ข้อมูลหรือดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทยถือเป็นก้าวสําคัญที่จะนำบริการการประมวลผลบนระบบคลาวด์ขั้นสูงมาสู่องค์กรจำนวนมากขึ้น และช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย Thailand 4.0 ในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีมูลค่า”
ฯพณฯ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว “รัฐบาลไทยยินดีที่ได้ร่วมมือกับ AWS ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชั้นนำของโลก เพื่อนำโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ระดับโลกที่ปลอดภัยและยืดหยุ่นมาสู่ประเทศไทย การลงทุนของ AWS จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยสร้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงอีกด้วย” AWS Region ในประเทศไทยจะช่วยภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐในการให้บริการดิจิทัลที่ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของประเทศเราในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า”
ฯพณฯ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กล่าว “MDES และ AWS ได้ทํางานร่วมกันเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของภาครัฐโดยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมให้ทันสมัยเพื่อปรับปรุงการดําเนินงาน การลงทุนของ AWS จะทําให้ประเทศของเราก้าวเข้าใกล้อนาคตดิจิทัลของประเทศไทยมากขึ้นอีกขั้น บริการคลาวด์เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่สําคัญที่สุดของเศรษฐกิจดิจิทัล เรายินดีกับแผนของ AWS ในการสร้าง region ในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยพัฒนาจุดยืนของเราในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในเอเชีย และเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนําสําหรับการลงทุน" นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไทย กล่าว “AWS เอเชียแปซิฟิค (กรุงเทพฯ) รีเจี้ยนจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของประเทศ ไปพร้อม ๆ กับการขับเคลื่อนนวัตกรรมและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจในทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย”
AWS Region ประกอบด้วย Availability Zone ที่วางโครงสร้างพื้นฐานในที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่แยกจากกันและแตกต่างกัน โดยมีระยะห่างเพียงพอที่จะลดความเสี่ยหากเกิดเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานที่ต่อเนื่องของลูกค้า แต่ใกล้พอที่จะให้เวลาแฝงต่ำสําหรับแอปพลิเคชันที่มีความพร้อมใช้งานสูงซึ่งใช้หลาย Availability Zone ซึ่ง Availability Zone แต่ละแห่งมีแหล่งพลังงาน การระบายความร้อน และการรักษาความปลอดภัยทางกายภาพที่แยกจากกัน และเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายเวลาแฝงที่ซ้ำซ้อนและต่ำเป็นพิเศษ ลูกค้า AWS ที่เน้นความพร้อมใช้งานสูงสามารถออกแบบแอปพลิเคชันให้ทํางานในหลาย ๆ Availability Zone และในหลาย region เพื่อให้เกิดความทนทานต่อความเสียหาย (fault tolerance) ที่ดียิ่งขึ้น
AWS Asia Pacific (Bangkok) แห่งใหม่นี้ จะช่วยให้ลูกค้าที่ต้องการเก็บข้อมูลไว้ในประเทศหรือสร้างข้อกำหนดข้อมูลสามารถจัดเก็บข้อมูลในประเทศไทยได้อย่างปลอดภัยพร้อมให้เวลาแฝงที่ต่ำทั่วประเทศ ลูกค้าตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรต่าง ๆ องค์กรภาครัฐ และองค์กรไม่แสวงผลกำไรจะสามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากคลาวด์ชั้นนำของโลกเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม AWS นำเสนอบริการที่หลากหลายและเชี่ยวชาญที่สุด รวมถึงการวิเคราะห์ การประมวลผล ฐานข้อมูล อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง แมชชีนเลิร์นนิง บริการมือถือ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และเทคโนโลยีคลาวด์อื่น ๆ
ลูกค้าต้อนรับแผนการเปิดตัว AWS Region ในประเทศไทย
องค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นหนึ่งในลูกค้าหลายล้านรายที่ใช้งาน AWS ในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก องค์กรไทยที่เลือกใช้ AWS เพื่อรันปริมาณงานในการเร่งสร้างนวัตกรรม เพิ่มความคล่องตัว และประหยัดต้นทุน ได้แก่ 2C2P, บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, เอ็นเรส (ENRES), ปาปิรุส สตูดิโอ, ปตท. จำกัด, เอสซีจี หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และองค์กรอื่น ๆ อีกมากมาย
บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบการร้าน 7-Eleven มากกว่า 13,000 แห่งในประเทศไทยและกัมพูชา “การใช้ AWS ช่วยให้เรามีความคล่องตัวและสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าในช่วงการระบาดใหญ่เนื่องจากลูกค้าไม่สามารถเข้าไปที่ร้านได้” วิวัฒน์ พงษ์ฤทธิ์ศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายสารสนเทศและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ บริษัท ซีพี ออลล์ กล่าว “เราสร้างแอปพลิเคชัน 7-Eleven และ 7-Delivery บน AWS ในเวลาน้อยกว่าหกเดือน ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อผลิตภัณฑ์จากร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด ซื้อแพ็คเกจออนไลน์ รวบรวมและแลกคะแนน และใช้ e-wallet เพื่อชำระเงินออนไลน์ เราต้องการมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ราบรื่นให้กับลูกค้าต่อไป และเราได้ลงทุนในการวิเคราะห์ข้อมูลและเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิง เช่น Amazon Personalize ที่ช่วยเราแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับลูกค้า AWS Asia Pacific (Bangkok) Region แห่งใหม่จะช่วยให้เราเดินหน้าสู่เส้นทางดิจิทัลและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันก็มอบประสบการณ์ที่เป็นนวัตกรรมและเป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้า 7-Eleven ของเรา”
เอ็นเรส (ENRES) สตารท์อัพผู้พัฒนาเทคโนโลยีทางด้านอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งและเทคโนโลยี AI ในการประหยัดพลังงานทางเลือกใหม่ของอาคารและโรงงานขนาดใหญ่ทั่วเอเชีย “ในฐานะที่เป็นสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น เราต้องมีความระมัดระวังในการใช้ทรัพยากรและวิธีการปรับขนาดอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโครงการ AWS Activate ให้การสนับสนุนทางด้านเทคนิคและให้เครดิตที่เป็นเครื่องมือในการช่วยให้ ENRES สามารถพัฒนา proof-of-concept แพลตฟอร์มของเราบนคลาวด์” ไพสิฐ จารุณนำศิริ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ที่ ENRES กล่าว “ด้วยภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดบนโลกของเรา เราเชื่อว่าอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง AI และเทคโนโลยีนวัตกรรมอื่น ๆ สามารถขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานให้ดีขึ้นสำหรับบริษัทต่าง ๆ ลดการใช้พลังงาน และในขณะเดียวกันสร้างประโยชน์ให้กับโลกอีกด้วย การเปิดตัว AWS รีเจี้ยนใหม่ในประเทศไทย เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความร่วมมือกับ AWS และช่วยให้ลูกค้าจำนวนมากสามารถเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น”
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เป็นธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย "การทำงานร่วมกันกับ AWS ช่วยให้เราขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในธุรกิจของเราได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ที่ช่วยให้เราปรับขนาดได้" ณัฐพล จงจรูญเกียรติ หัวหน้าฝ่ายการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของ PTTGC กล่าว “PTTGC สร้าง Data Lake บน AWS ที่ช่วยให้เราป้อนข้อมูลได้เร็วยิ่งขึ้น และรันแมชชีนเลิร์นนิงและการวิเคราะห์ เช่น โซลูชัน BPA Catalyst Life Prediction เพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่ออายุการใช้งานของตัวเร่งปฏิกิริยาที่เราใช้ในธุรกิจ การทำความเข้าใจสภาวะที่เหมาะสมที่สุดที่จะยืดอายุของตัวเร่งปฏิกิริยาจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและประหยัดต้นทุนในการผลิตปิโตรเคมี เราตั้งใจที่จะร่วมมือกับ AWS ต่อไปเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมในภาคปิโตรเคมีมากขึ้นกับ AWS Region ในประเทศไทย”
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เป็นผู้ค้าปลีกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของประเทศไทย มีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์ พีทีที สเตชั่น กว่า 1,900 สาขาทั่วประเทศและคาเฟ่อเมซอนมากกว่า 3,700 แห่งทั้งในและต่างประเทศ “เราร่วมมือกับ AWS เพื่อย้าย Loyalty Management System ของเราไปยังคลาวด์ ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับแอปแบบครบวงจรใหม่ที่มุ่งเน้นที่จะเป็นโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับทุกไลฟ์สไตล์” วิศน สุนทราจารย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร นวัตกรรมและความยั่งยืนของ OR กล่าว "อุตสาหกรรมพลังงานกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ และเรารู้สึกตื่นเต้นกับ AWS Asia Pacific (Bangkok) Region จะช่วยให้เราก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในขณะที่เราสร้างความหลากหลายให้กับธุรกิจและขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน"
เอสซีจี หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจชั้นนำในภูมิภาคอาเซียนที่มุ่งเน้นในการกำกับดูแลกิจการที่แข็งแกร่งและมีหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนมานานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้ง เอสซีจีได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและแบ่งเป็น 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ วัสดุก่อสร้างซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ “เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อธุรกิจของเราเพราะเราพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในขณะที่ดำเนินงานภายใต้สภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในฐานะการเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือกับ AWS เอสซีจีและบริษัทในเครือได้ย้ายซอฟต์แวร์การวางแผนทรัพยากรองค์กร SAP ทั้งหมดจากภายในองค์กรไปยังระบบคลาวด์ ซึ่งช่วยให้เราเพิ่มความคล่องตัว ลดต้นทุน และเร่งสร้างนวัตกรรม” ยุทธนา เจียมตระการ รองประธานฝ่ายองค์กร SCG กล่าว “เพื่อเร่งความมุ่งมั้นสู่ยุคดิจิทัล เราวางแผนที่จะปรับปรุงแอปพลิเคชันที่ไม่ใช่ SAP ของเราบน AWS ให้ทันสมัย เช่น CPAC Green Solution และระบบ Vendor Managed Inventory AWS Asia Pacific (Bangkok) Region จะช่วยให้เราสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนต่อไป”
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (STOU) พัฒนาระบบการเรียนการสอนทางไกล มหาวิทยาลัยมีเครือข่ายศูนย์การศึกษาทางไกลระดับภูมิภาคที่กว้างขวางเพื่อรองรับนักศึกษากว่า 200,000 คนทั่วประเทศ “เราเลือก AWS เป็นผู้ให้บริการระบบคลาวด์เชิงกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ในการเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล” ดร.ศรันย์ นาคถนอม ผู้อำนวยการสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชกล่าว “STOU เป็นมหาวิทยาลัยไทยแห่งแรกที่อยู่บน AWS และใช้งานระบบคลาวน์อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากการย้ายโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีทั้งหมดของเรา รวมถึงอินสแตนซ์เซิร์ฟเวอร์ 137 เครื่อง โดยการดำเนินการบนคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบทำให้เราสามารถเร่งการเปิดตัวข้อเสนอดิจิทัลเพื่อมอบประสบการณ์ที่มีส่วนร่วมมากขึ้นสำหรับนักเรียนของเรา ความสามารถในการปรับขนาดของ AWS ช่วยให้แผนกต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย 60 แผนก สามารถเปิดสอนหลักสูตรออนไลน์ 700 หลักสูตรในช่วงระยะเวลาสามเดือน เมื่อเทียบกับการสร้างแพลตฟอร์มบนระบบภายในองค์กรที่อาจต้องใช้เวลาถึงห้าปี เรารู้สึกตื่นเต้นกับ AWS เอเชียแปซิฟิค (กรุงเทพฯ) รีเจี้ยนแห่งใหม่นี้ที่จะช่วยนำเสนอเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงระบบดิจิทัลและปรับปรุงความสามารถในการสอนและการเรียนรู้ที่ STOU ต่อไป”
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นสถานที่ซื้อขายหลักทรัพย์ทุกประเภทของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2518 โดยแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ชั้นนำคือ settrade.com ที่รองรับบัญชีกว่า 3.1 ล้านบัญชี และมีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 850 ล้านดอลลาร์ต่อวัน (32.3 พันล้านบาท) “AWS มอบโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ที่แข็งแกร่ง ปรับขนาดได้สูง และเวลาแฝงต่ำสำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวด”นายถิรพันธุ์ สรรพกิจ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศกล่าว “ด้วยการเพิ่มขึ้นของนักลงทุนดิจิทัล ตลาดหลักทรัพย์จึงจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ของตลาด และนำเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตนี้ การใช้ AWS สำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ของตลท. ช่วยให้เราปรับขนาดได้อย่างง่ายดายเพื่อรองรับผู้ใช้พร้อมกันมากกว่า 400,000 ราย ในขณะที่ยังคงให้บริการซื้อขายใหม่สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลและหุ้นเศษส่วนอย่างต่อเนื่อง การเปิดตัว AWS Asia Pacific (Bangkok) Region จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของตลท. ในการนำเสนอข้อมูลตลาดที่มีความหน่วงต่ำ เพื่อให้แน่ใจว่านักลงทุนพร้อมที่จะตัดสินใจซื้อขายได้ดีที่สุด”
พันธมิตร AWS ตั้งตารอโอกาสใหม่ในประเทศไทย
พันธมิตรในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของ AWS Partner Network (APN) ที่รวมผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (ISV) และผู้รวมระบบ (SI) กว่า 100,000 รายทั่วโลก พันธมิตร AWS สร้างโซลูชันและบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่บน AWS และ APN ให้การสนับสนุนด้านธุรกิจ เทคนิค การตลาด และการเข้าสู่ตลาดแก่ลูกค้า AWS SI พันธมิตรที่ปรึกษา (consulting partners) และ ISV ช่วยให้ลูกค้าองค์กรและภาครัฐสามารถโยกย้ายไปยัง AWS ปรับใช้แอปพลิเคชันที่มีความสำคัญต่อภารกิจ ให้บริการการตรวจสอบ การทำงานอัตโนมัติ และการจัดการอย่างเต็มรูปแบบสำหรับสภาพแวดล้อมของลูกค้า ตัวอย่างพันธมิตรของ AWS ในประเทศไทยได้แก่ เดลิเทค (DailiTech), G-Able, บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NTT), และ ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (ทรู ไอดีซี) AWS ISV ในประเทศไทยอย่าง 2C2P และเอมิตี้ (Amity) ใช้ AWS เพื่อส่งมอบซอฟต์แวร์ให้กับลูกค้าทั่วโลกและวางแผนที่จะให้บริการลูกค้าชาวไทยจาก AWS Asia Pacific (Bangkok) Region
บริษัทที่ปรึกษาเดลิเทค (DailiTech) เป็นพันธมิตร AWS Advanced Tier Services และพันธมิตรที่ปรึกษา (AWS Consulting Partners) ประจำปี 2564 ของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2557 DailiTech ช่วยลูกค้าองค์กรและลูกค้าสตาร์ทอัพมากกว่า 150 รายในประเทศไทย ที่รวมไปถึงธนาคารที่ใหญ่ที่สุด 3 แห่งของประเทศไทยและผู้ให้บริการด้านพลังงานที่ยั่งยืนอย่าง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลบน AWS “DailiTech ทำงานร่วมกับธุรกิจที่ให้บริการทางการเงินและองค์กรภาครัฐหลายแห่ง ซึ่งหมายความว่าการรักษาความปลอดภัยและการกำกับดูแลข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ” ดร. วิชญ์ เนียรนาทตระกูล, กรรมการผู้จัดการ DailiTech กล่าว “เนื่องจากประเภทธุรกิจของลูกค้าซึ่งมีข้อมูลและการดำเนินงานเป็นความลับอย่างสูง เราจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าการย้ายไปยังคลาวด์เป็นไปตามมาตรฐานการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุด AWS Asia Pacific (Bangkok) Region จะเพิ่มความมั่นใจให้แก่เราในการนำเสนอโซลูชันการเงินที่ช่วยให้ลูกค้าปรับปรุงธุรกิจของตนให้ทันสมัย ในขณะที่ปฏิบัติตามความต้องการเก็บข้อมูลหรือสร้างข้อกำหนดข้อมูลเพื่อจัดเก็บข้อมูล”
บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทโทรคมนาคมของรัฐของประเทศไทยและเป็นพันธมิตรภาครัฐของ AWS “เราได้ร่วมมือกับ AWS ตั้งแต่ปี 2563 เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของภาครัฐของประเทศไทย” ดร.วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจดิจิทัล บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติกล่าว “ด้วยการใช้บริการและโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของอุตสาหกรรมของ AWS เราได้ช่วยหน่วยงานรัฐบาล 14 แห่งในการสร้างรากฐานทางดิจิทัลเพื่อให้บริการพลเมืองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น และแก้ปัญหาความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสังคม AWS Asia Pacific (Bangkok) Region จะทำให้โทรคมนาคมแห่งชาติมีโอกาสมากขึ้นในการนำเสนอโซลูชันที่สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าภาครัฐของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดและถิ่นที่อยู่ของข้อมูล ซึ่งสำคัญมากสำหรับรัฐบาลในการย้ายปริมาณงานไปยังระบบคลาวด์”
NTT Thailand เป็นพันธมิตรบริการระดับพรีเมียร์ของ AWS “ตั้งแต่ปี 2563 เราได้ปรับปรุงองค์กรให้ทันสมัยในประเทศไทยโดยใช้ AWS สำหรับแอปพลิเคชันที่มีความสำคัญของภาคธุรกิจ ซึ่งช่วยให้บริษัทได้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่รวดเร็ว ความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้น และการประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมของระบบคลาวด์” สุทัศน์ คงดำรงเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำประเทศไทย และ Communications Lifecycle Management (CLM) ของ NTT กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับ AWS Asia Pacific (Bangkok) Region เนื่องจากลูกค้าของเราต้องการโซลูชันที่มีเวลาแฝงต่ำมากขึ้น เช่น อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งและแอปพลิเคชันการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในขั้นต่อไป โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของ AWS จะช่วยให้ลูกค้าของเราใช้บริการการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์โดยมีเวลาแฝงที่ต่ำกว่า เพื่อทำการตัดสินใจทางธุรกิจที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เราตั้งตารอที่จะได้ช่วยเหลือองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตของธุรกิจด้วย AWS”
การลงทุนของ AWS ในประเทศไทย
AWS Asia Pacific (Bangkok) Region ที่กําลังจะเกิดขึ้นเป็นการลงทุนล่าสุดอย่างต่อเนื่องของ AWS ในประเทศไทยเพื่อมอบเทคโนโลยีคลาวด์ขั้นสูงและปลอดภัยแก่ลูกค้า ตั้งแต่ปี 2563 AWS ได้เปิดตัว Amazon CloudFront edge ทั้งหมด 10 แห่งในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ Amazon CloudFront เครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา (CDN) ที่มีความปลอดภัยสูงและตั้งโปรแกรมได้ ซึ่งช่วยเร่งการส่งข้อมูล วิดีโอ แอปพลิเคชัน และ API ให้กับผู้ใช้ทั่วโลกด้วยเวลาแฝงต่ำและความเร็วในการถ่ายโอนสูง โดยในปี 2563 AWS Outposts ได้เปิดตัวในประเทศไทย AWS Outposts เป็นบริการที่มีการจัดการเต็มรูปแบบซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานและบริการของ AWSไปยังตำแหน่งภายในองค์กรหรือตำแหน่ง Edge แทบทุกแห่งเพื่อประสบการณ์ไฮบริดที่สอดคล้องกันอย่างแท้จริง
AWS วางแผนที่จะขยายการลงทุนในประเทศไทยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วยการเปิดตัว AWS Local Zone ที่กำลังจะมีขึ้นในกรุงเทพฯ AWS Local Zones เป็นหนึ่งในบริการการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานของ AWS ที่จัดวางการประมวลผล พื้นที่จัดเก็บ ฐานข้อมูล และบริการอื่น ๆ ที่เลือกสรรไว้ใกล้กับประชากรจำนวนมาก อุตสาหกรรม และศูนย์ไอที ทำให้ลูกค้าสามารถส่งมอบแอปพลิเคชันที่ต้องการเวลาแฝงในหน่วยมิลลิวินาทีให้กับผู้ใช้ปลายทางเพื่อรองรับการเติบโตของการนำคลาวด์ไปใช้ในประเทศไทย AWS ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาทักษะให้กับนักพัฒนาไทย นักเรียน และผู้นําด้านไอทีรุ่นต่อไปในประเทศไทยผ่านโปรแกรมต่าง ๆ เช่น AWS re/Start, AWS Academy และ AWS Educate โครงการด้านการศึกษาของ AWS เหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนที่มีพื้นฐานและประสบการณ์ทุกรูปแบบในการเตรียมพร้อมสําหรับประกอบอาชีพที่ใช้ระบบคลาวด์ ตั้งแต่หลักสูตรระดับวิทยาลัยไปจนถึงโปรแกรมการฝึกอบรมเต็มเวลา และเนื้อหาสำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง โปรแกรมเพื่อการศึกษาของ AWS มอบการเข้าถึงการฝึกอบรมทักษะที่ช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถเริ่มต้นหรือต่อยอดอาชีพที่ใช้ระบบคลาวด์ได้ ปัจจุบันสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทย 8 แห่งในกรุงเทพฯ เชียงราย และปทุมธานี ได้รวมหลักสูตร AWS Academy ไว้ในหลักสูตรของสถาบัน AWS ยังทํางานร่วมกับองค์กรต่าง ๆ เช่น Siam Cement Group เพื่อช่วยสร้างทักษะระบบคลาวด์ตามความต้องการและฝึกอบรมพนักงานของบริษัทฯ อีกด้วย นอกจากนี้ AWS วางแผนร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไทยในแผนพัฒนาทักษะ และให้การสนับสนุนในการฝึกอบรมบุคลากรมากกว่า 1,200 คนด้วยทักษะด้านระบบคลาวด์ หลักสูตรดิจิทัลแบบออนดีมานด์และอํานวยความสะดวกในกิจกรรมการฝึกอบรม เพื่อให้บุคลากรภาครัฐสามารถพัฒนาทักษะที่จําเป็นในการนําเทคโนโลยีระบบคลาวด์ไปใช้ในวงกว้าง ทําการตัดสินใจด้านการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้ดีขึ้น และสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ ที่ดียิ่งขึ้นสําหรับประชาชน
AWS ให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้นเพื่อส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการในประเทศไทย ผ่านโปรแกรม AWS Activate โปรแกรมนี้ให้การเข้าถึงคําแนะนําและการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญของ AWS แบบตัวต่อตัว การสนับสนุนทางเทคนิค การให้คําปรึกษาทางธุรกิจ และโอกาสในการเข้าถึงเครดิตบริการของ AWS สูงสุด 100,000 เหรียญสหรัฐ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ AWS ยังทํางานร่วมกับชุมชนผู้ร่วมทุน (venture capital community) โครงการผลักดันและบ่มเพาะสตาร์ทอัพ (startup accelerators and incubators) เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพเติบโตในระบบคลาวด์อีกด้วย ในประเทศไทยซึ่งรวมถึงองค์กรผลักดันสตาร์ทอัพต่าง ๆ เช่น AIS The Startup และ Stormbreaker เพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของสตาร์ทอัพ
ในปี 2564 AWS ได้ขยายโปรแกรม Startup Ramp มายังอาเซียน โปรแกรมนี้ ทุ่มเทให้กับการสนับสนุนผู้ประกอบการสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้น ในขณะที่พวกเขาสร้าง เปิดตัว และขยายโซลูชันด้านต่าง ๆ ได้แก่ สุขภาพ รัฐบาลดิจิทัล เมืองอัจฉริยะ การเกษตร และเทคโนโลยีอวกาศ AWS Startup Ramp ช่วยขจัดอุปสรรคสําหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาครัฐโดยการให้การตรวจสอบการออกแบบทางเทคนิคและสถาปัตยกรรม การให้คําปรึกษา เครดิต และการสนับสนุนด้วยแผนออกสู่ตลาด เพื่อช่วยในเรื่องข้อกําหนดด้านกฎระเบียบและความปลอดภัยที่ซับซ้อน สตาร์ทอัพในระยะแรกที่ทํางานเพื่อค้นหาความเหมาะสมของตลาดผลิตภัณฑ์และมองหาลูกค้ารายแรกสามารถสมัครเป็น Startup Ramp Innovators ได้ และสตาร์ทอัพที่มีรายได้จากลูกค้าแล้วและมุ่งเน้นการเติบโตและการขยายขนาดสามารถสมัครเป็นสมาชิก Startup Ramp เพื่อเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของโปรแกรมได้
นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา AWS EdStart ซึ่งเป็นโปรแกรมสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษาของ AWS ได้ช่วยผู้ประกอบการสร้างโซลูชันการเรียนรู้ การวิเคราะห์ และการจัดการวิทยาเขต สมาชิก AWS EdStart ในประเทศไทยประกอบด้วย แกนติค (Gantik), โอเพ่นดูเรียน (OpenDurian) และ วอนเดอร์ (Vonder) ด้วยการใช้ AWS EdStart สมาชิกเหล่านี้ได้สร้างโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมเพื่อช่วยให้นักเรียนตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับเส้นทางการศึกษา มอบประสบการณ์การเรียนรู้จากประสบการณ์ในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศ และเปิดใช้งานการให้คำปรึกษาเสมือนจริงระหว่างนักเรียนและผู้ประกอบการ
ความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน
Amazon มุ่งมั่นที่จะเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้นและบรรลุคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในการดําเนินงานภายในปี 2583 ซึ่งเร็วกว่าข้อตกลงปารีสถึง 10 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิญญาด้านสภาพภูมิอากาศ Amazon ได้ร่วมก่อตั้ง The Climate Pledge และกลายเป็นผู้ลงนามรายแรกในปี 2562 โดยเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในปฏิญญาด้านสภาพภูมิอากาศ Amazon กําลังมุ่งสู่การขับเคลื่อนการดําเนินงานด้วยพลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2568 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิม (ปี 2573) ถึงห้าปี Amazon เป็นองค์กรซื้อพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดของโลก และ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมีพลังงานหมุนเวียนถึง 85% ทั่วทั้งธุรกิจ องค์กรที่ย้ายปริมาณงานการประมวลผลไปยังAWS Cloud สามารถได้รับประโยชน์จากความพยายามด้านความยั่งยืนของ Amazon ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เกี่ยวกับอะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส
ตลอดระยะเวลา 15 ปี อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) เป็นบริการคลาวด์ที่ครอบคลุมและกว้างขวางที่สุดในโลก AWS ขยายการให้บริการอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการทำงานบนคลาวด์ทุกรูปแบบ ซึ่งในปัจจุบันมีบริการอย่างเต็มรูปแบบกว่า 200 รายการ สำหรับการประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล ระบบเครือข่าย การวิเคราะห์ แมชชีนเลิร์นนิงและปัญญาประดิษฐ์ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง โทรศัพท์มือถือ ความปลอดภัย ไฮบริด เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual reality: VR) และการรวมวัตถุเสมือนเข้ากับสภาพแวดล้อมจริง (Augmented reality: AR) สื่อ และการพัฒนา การปรับใช้ และการจัดการแอปพลิเคชันจาก Availability Zone 87 แห่งภายใน 27 ภูมิภาค พร้อมประกาศแผนสำหรับ Availability Zones เพิ่มเติมอีก 24 แห่ง และอีกแปด AWS Regions ในออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย อิสราเอล นิวซีแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และไทย ลูกค้าหลายล้านรายรวมไปถึงสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว องค์กรขนาดใหญ่ และหน่วยงานภาครัฐ ต่างเชื่อมั่นใน AWS ในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานของพวกเขาให้มีความคล่องตัวมากขึ้นและมีต้นทุนที่น้อยลง
ศ. ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยนายฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิลเลน เอดูเคชั่น ประกาศความร่วมมือโครงการนำร่องจัดทำคลังหน่วยกิตแห่งชาติ (National Credit Bank System)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ผนึกความร่วมมือกับ SkillLane เปิดตัวโครงการนำร่องจัดทำคลังหน่วยกิตแห่งชาติ (National Credit Bank System) ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่อรองรับการพัฒนาคนทุกช่วงวัย ให้ผู้เรียนซึ่งไม่จำเป็นต้องมีสถานภาพเป็นนักศึกษาสามารถนำผลการเรียนและผลลัพธ์การเรียนรู้จากวิชาและหลักสูตรต่าง ๆ หรือนำประสบการณ์ทำงาน มาเทียบโอนและสะสมหน่วยกิตไว้ที่คลังหน่วยกิตแห่งชาติ แล้วสามารถนำขอรับปริญญาบัตรจากสถาบันอุดมศึกษาของไทยได้ หรือเพื่อเป็นรายงานผลลัพธ์การเรียนรู้สะสมของผู้เรียน ประเดิมนำร่อง กับ 4 มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยในช่วงกลางปี พ.ศ. 2566 ได้แก่ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ในปัจจุบันที่โลกยุคใหม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีงานรูปแบบใหม่เกิดขึ้นมากมาย คนไทยจำเป็นต้องพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการศึกษาก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของนายจ้างที่เปลี่ยนไปและพฤติกรรมผู้เรียนที่เข้าถึงความรู้ได้จากหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ อาทิ การฝึกอบรม และการศึกษาตามอัธยาศัย เช่น ประสบการณ์ทำงาน ด้วยเหตุนี้ “คลังหน่วยกิตแห่งชาติ” จึงเกิดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งนักศึกษาและคนทั่วไปเข้าถึงวิชาและหลักสูตรต่างๆ จากหลากหลายแหล่งเรียนรู้ รวมถึงได้ทำงานเก็บประสบการณ์จริงแล้วนำมาเทียบโอนและสะสมหน่วยกิตเพื่อขอรับใบรับรองการเรียนรู้ หรือปริญญาบัตรซึ่งแสดงถึงการเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ โดยวิธีเทียบโอนหน่วยกิตและขอรับปริญญาบัตรนั้นจะขึ้นอยู่กับระเบียบของสถาบันอุดมศึกษาตามนโยบายของกระทรวงฯ
ศ. ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า “เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา กระทรวง อว. ได้ประกาศระบบการเทียบโอนหน่วยกิต และ ระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติ (National Credit Bank) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญภายใต้ นโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษา ของ รมว.อว. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติมีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนากำลังคนของประเทศผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนในทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา ภายใต้ระบบคลังหน่วยกิต ผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิตผ่านคลังหน่วยกิตที่มาจากหลักสูตรต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย หน่วยฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง และจากการเทียบโอนประสบการณ์ โดยที่ผ่านมา อว. ได้ดำเนินการโครงการ Thailand Cyber University ที่มีหลักสูตรออนไลน์ ผ่าน Thai MOOC ซึ่งช่วยในการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้แก่ผู้เรียนนอกมหาวิทยาลัยมาก่อนแล้ว ในขณะที่ระบบคลังหน่วยกิตใหม่นี้จะเป็นการต่อยอดและขยายโอกาสการเรียนรู้ของผู้เรียนออกไปอีกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ระบบคลังหน่วยกิตเกิดผลอย่างรวดเร็ว อว. จึงได้ร่วมกับ SkillLane และอีก 4 มหาวิทยาลัย ในการนำร่องการทดลองระบบคลังหน่วยกิต ทั้งในการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการตามประกาศและทางเทคนิคที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูล และจะขยายรูปแบบตามโครงการนำร่องไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้ระบบคลังหน่วยกิตเกิดประโยชน์สูงสุด”
นายฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิลเลน เอดูเคชั่น จำกัด กล่าวว่า “SkillLane เชื่อมั่นเสมอว่า เทคโนโลยีช่วยลดข้อจำกัดและเพิ่มโอกาสการศึกษาของไทยได้ เราตั้งใจใช้เทคโนโลยีช่วยให้คนเข้าถึงความรู้ยุคใหม่ได้อย่างไร้ข้อจำกัดในเรื่องของสถานที่และเวลา รวมถึงเชื่อมโยงแหล่งความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน สำหรับความร่วมมือในโครงการนำร่องจัดทำคลังหน่วยกิตแห่งชาตินี้ เราได้ใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของเราเข้ามาช่วยพัฒนาระบบสารสนเทศของคลังหน่วยกิตแห่งชาติโดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อคลังหน่วยกิตของแต่ละสถาบันเข้าไว้ด้วยกัน
รศ. ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า “มหาวิทยาลัยไทยต้องปรับตัวให้ทันกับโลก และความต้องการของผู้เรียนที่เปลี่ยนไป การเกิดขึ้นของคลังหน่วยกิตแห่งชาติจะช่วยตอบโจทย์การเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเรียนรวดเดียวจนจบ แต่ละคนสามารถเรียนไปได้เรื่อย ๆ ตามเงื่อนไขและจังหวะชีวิตของตัวเอง ที่สำคัญ นอกจากคลังหน่วยกิตแห่งชาติจะเชื่อมต่อกับ TUXSA ซึ่งเป็นหลักสูตรออนไลน์ของธรรมศาสตร์ได้อย่างลงตัวในอนาคตแล้ว ยังจะช่วยให้ธรรมศาสตร์กลับไปทำหน้าที่ตลาดวิชายุคดิจิตอลที่ส่งเสริมการ Upskill และ Reskill ให้กับคนในทุกเจนเนอเรชันได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้”
รศ. ดร.ยุทธนา ฉัพพรรณรัตน์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวต่อไปว่า “คลังหน่วยกิตแห่งชาติ (NCBS) เป็น Ecosystem สำคัญของกระทรวงฯ ที่ขยายโอกาสให้กับนิสิตนักศึกษาในระบบ Formal Informal และ Non-Formal Education ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนความรู้ใหม่ ๆ ผ่านหลากหลายแหล่งเรียนรู้และประสบการณ์การทำงานจริง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ของจุฬาฯ ในศตวรรษใหม่ที่พร้อมปรับตัวเข้ากับอนาคต ผ่านการมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนสังคมและประเทศ รวมถึงผลิตบัณฑิตสมรรถนะสูงที่ตอบสนองความเจริญก้าวหน้าของโลกยุคใหม่บนฐานของ Demand Driven โดยการไม่ผูกขาดองค์ความรู้ ที่สำคัญคือ แม้ความรู้ของผู้เรียนจะมีที่มาหลากหลาย แต่ก็เป็นความรู้ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เพราะได้รับการรับรองจากมหาวิทยาลัยอีกขั้นหนึ่งแล้วโดยให้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์และดุลยพินิจตามเจตนารมณ์ของกฏกระทรวงฯ และประกาศกระทรวงฯ ที่ Decentralized ไปยังแต่ละสภามหาวิทยาลัย”
รศ.ดร. ปรารถนา ใจผ่อง ผู้อำนวยการวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวต่อว่า “คลังหน่วยกิตแห่งชาติจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการปฎิรูปการศึกษาของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะด้านการเปิดโอกาสให้ทุกคนในสังคมได้เข้าถึงองค์ความรู้ ตามความมุ่งหวังของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่สร้างสรรค์ให้สังคมไทยมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน ให้การศึกษาเป็นสิ่งเกิดขึ้นในทุกจังหวะของชีวิตทั้งเพื่อปริญญาหรือเพื่อการพัฒนาตนเอง ด้วยหลักสูตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสถาบันการศึกษา และนำไปสู่การเกิดคุณค่าที่แท้จริงของการศึกษา”
รศ. ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดีด้านวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวเสริมว่า “การเกิดขึ้นของคลังหน่วยกิตแห่งชาติจะช่วยให้การเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับคนไทยเกิดขึ้นได้จริงในวงกว้าง และไม่จำกัดว่าต้องอยู่ในรั้วสถาบันอุดมศึกษาเท่านั้น คลังหน่วยกิตนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ความตั้งใจของมหาวิทยาลัยในการผลิตและพัฒนาคนผ่านระบบการเรียนการสอนแบบ Lifelong Learning สำเร็จได้จริง ในรูปแบบที่มีศักยภาพยิ่งกว่าเดิม”
คลังหน่วยกิตแห่งชาตินับเป็นก้าวสำคัญของการศึกษาไทย เป็นการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศและทลายกำแพงระหว่างสถาบันอุดมศึกษา โดยโครงการนี้จะเริ่มนำร่องใช้กับ 4 สถาบันอุดมศึกษาในช่วงกลางปี พ.ศ. 2566
อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 ที่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้จัดงาน Feed Innovation Week โดยมีเป้าหมายที่ต้องการเปิดโอกาสให้บุคลากรได้แสดงความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรม ผ่านแนวคิด Feed Business Innovation for Customer Centric ที่กำหนดโจทย์คือ 'เพื่อสร้างนวัตกรรมโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” และเป็นเวทีคัดเลือกผลงานนวัตกรรมของธุรกิจอาหารสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ตอกย้ำความเป็นผู้นำ ‘ครัวโลกแห่งนวัตกรรม’
นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทนำแนวทางการสร้างนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ อย่างเป็นระบบด้วย TRIZ ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรม และ Kaizen ซึ่งเป็นกลยุทธ์การบริหารงานแบบญี่ปุ่น มาพัฒนานวัตกรซีพีเอฟ โดยทุกกลุ่มธุรกิจทั้งธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) และธุรกิจอาหาร. (Food) ต่างส่งเสริมให้บุคลากรของตนเองพัฒนาสู่การเป็นนวัตกรผู้สร้างนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้ก้าวหน้า ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการใช้ระบบ IT เข้ามาช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงาน นำไปสู่การพัฒนาคู่ค้าให้เติบโตไปด้วยกัน
สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์ ได้จัดเวทีแสดงผลงานนวัตกรรมอันโดดเด่นในทุกๆปี ในงาน ‘Feed innovation Week 2022' โดยในปีนี้มีการจัดงานในรูปแบบไฮบริด (Hybrid Meeting) ทั้งในรูปแบบการจัดนิทรรศการแสดงผลงาน ที่โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหนองแค จังหวัดสระบุรี และถ่ายทอดสดกิจกรรมตลอด ระยะเวลาจัดงาน 1 สัปดาห์เต็ม ในช่วงวันที่ 17 – 21 ตุลาคม 2565 เพื่อส่งเสริมและสร้างบรรยากาศ ให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงาน 3i คือ i1 ผลงานประเภทการปรับปรุงงาน (Improvement), i2 ผลงานประเภทสร้างสิ่งใหม่ (Invention) และ i3 ผลงานประเภทนวัตกรรม (Innovation) ที่เหล่านวัตกรได้คิดค้นและพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ซีพีเอฟได้นำผลงานจากการประกวดนวัตกรรมมาต่อยอดในธุรกิจมาโดยตลอด สามารถลดต้นทุนการผลิต ช่วยเพิ่มรายได้ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค นวัตกรรมจึงเป็นอีกพลังขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตสู่การเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกอย่างยั่งยืน และก่อให้เกิดความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างต่อเนื่อง งาน ‘Feed innovation Week 2022' ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่จะผลักดันให้เกิดการยกระดับคุณค่าของผลงานนวัตกรรมจากฝีมือบุคลากร ทำให้เห็นถึงศักยภาพของตนเอง มองเห็นโอกาส และมีแนวทางแก้ปัญหาที่ดี สู่การพัฒนาเครื่องมือและวิธีการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ลูกค้าและคนในสังคม สะท้อนพลังแห่งความสร้างสรรค์ ที่จะผลักดันซีพีเอฟไปสู่การเป็นผู้นำ “ครัวโลกนวัตกรรม” อย่างแท้จริง” นายเรวัติ กล่าว
ปีนี้มีผลงานนวัตกรรมที่เข้าร่วมจัดแสดง รวมทั้งสิ้น 134 ผลงาน และมีการมอบรางวัลใน 4 หมวด คือ ผู้ทำคะแนน iScore สูงสุด ในปี 2021 ด้านขายและผลิต, โรงงานคะแนน iScore สูงสุด ในปี 2021, ผลงานชนะเลิศ Feed Innovation Awards 2022 และ Thailand Kaizen Awards 2022 งานนี้ถือเป็นการช่วยยกระดับผลงานความคิดสร้างสรรค์ของพนักงาน และยังเป็นเวทีคัดเลือกผลงานที่โดดเด่นเพื่อนำเสนอในงานมหกรรมนวัตกรรมบัวบาน ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ต่อไป
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จับมือ ”วีซ่า” หรือ บริษัท วีซ่า อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด มอบโปรโมชันต้อนรับมหกรรมฟุตบอลโลก 2022 ที่ร้าน “อาดิดาส” (adidas) สาขาที่ร่วมรายการ สมาชิกเลือกช้อปสินค้าคอลเล็คชันพิเศษเสื้อแข่งฟุตบอล adidas FIFA World Cup 2022™ Authentic ทีมโปรด พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีวีซ่า เพียงสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ 5,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป รับของสมนาคุณมูลค่า 600 บาท จำนวน 1 ชิ้น (จำกัดจำนวนของสมนาคุณ 1 ชิ้น / บัตร / วัน) และรับสิทธิ์เลือกรับบริการผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน เมื่อมียอดใช้จ่าย 3,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป นอกจากนี้ สมาชิกยังสามารถแลกรับเครดิตเงินคืน 10% เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท และใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ต่อเซลส์สลิป ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2565 – 31 ธันวาคม 2565
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือเว็บไซต์ www.ktc.co.th สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ได้ที่นี่ : https://bit.ly/apply-ktc
จากการศึกษาโดย Kaiser Permanente Southern California ของสหรัฐอเมริกา เพื่อประเมินประสิทธิผลของวัคซีนโมเดอร์น่าเข็มหลักสูตรปัจจุบัน (mRNA-1273) จากการใช้งานจริง ในการป้องกันการติดเชื้อและการเข้ารักษาในโรงพยาบาล จากการติดเชื้อโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ รวมถึง BA.5 ชึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วยนั้น จากข้อมูลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 โดยเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 30,809 คน และผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่ไม่พบการติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 90,427 คน พบว่า ประสิทธิผลของวัคซีนโมเดอร์น่าสูตรปัจจุบัน 3 เข็ม และ 4 เข็ม ในการป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ BA.2, BA.2.12.1, BA.4 และ BA.5 อยู่ในระดับปานกลางในช่วงแรกหลังจากรับการฉีดวัคซีน ก่อนที่จะลดระดับลงมา ส่วนประสิทธิผลต่อการป้องกันการเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่เกิดจากการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนสายพันธุ์ย่อยชนิดต่าง ๆ ยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่ โดยวัคซีนโมเดอร์น่าจำนวน 3 เข็มให้ระดับการป้องกันการเข้ารักษาในโรงพยาบาลต่อเชื้อ BA.1, BA.2, และ BA.4/BA.5 อยู่ที่ 97.5%, 82.0%, และ 72.4% ตามลำดับ ในขณะที่ วัคซีนโมเดอร์น่า จำนวน 4 เข็ม ให้ระดับการป้องกันการเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่เกิดจากเชื้อโอไมครอน BA.4/BA.5 ที่ 88.5%
โดยสรุปแล้ว ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า จากการใช้งานจริง ประสิทธิผลของวัคซีนโมเดอร์น่า เข็มที่สามหรือเข็มที่สี่ต่อการติดเชื้อโอไมครอนอยู่ในระดับปานกลาง แต่ระดับการป้องกันอาการรุนแรงของโรคจากวัคซีนโมเดอร์น่าเข็มที่สาม-สี่ ยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่ เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ถึงประโยชน์และบทบาทของวัคซีนในภาวะที่มีการระบาดของโควิด-19
อนึ่งสำหรับในสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ทางรัฐบาลได้ออกประกาศแนวทางการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นประจำฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง โดยระบุว่าสามารถใช้วัคซีน โควิด-19 ประเภท mRNA ทั้งสูตรปัจจุบัน และสูตรปรับปรุงใหม่ที่มีส่วนประกอบของวัคซีนสูตรปัจจุบันกับวัคซีนที่มีโอไมครอนอย่างละครึ่งเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับฤดูใบไม้ร่วงนี้ได้ เนื่องจากคณะกรรมการด้านการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันโรค ได้ข้อสรุปว่าวัคซีนทั้งสองสูตรจะช่วยเพิ่มการป้องกันได้เป็นอย่างดี แม้ว่าวัคซีนสูตรผสมจะผลิตแอนติบอดีต่อโอไมครอนบางสายพันธุ์ในระดับที่สูงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ควรชะลอเวลาการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นพื่อรอรับวัคซีนสูตรผสม เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นในเวลาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้
ถึงตอนนี้ มีงานวิจัยที่ยืนยันแล้วว่า โดยเฉลี่ย 67% ขององค์กรที่ไม่มีการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลจะเกิดการถดถอยทางธุรกิจ ขณะองค์กรที่มีการเปลี่ยนผ่านจะมีการเติบโตทางธุรกิจราวสองถึงสามเท่า อย่างไรก็ตาม องค์กรยังคงต้องเผชิญกับคลื่นความท้าทายสองประการ ได้แก่
1) การปรับเปลี่ยนอินฟราสตรัคเจอร์ไปสู่เทคโนโลยี Hyper Converged เพื่อแก้ปมปัญหาระบบงานไอทีหลากรุ่นหลายเทคโนโลยี (Multi-Gen IT) ในองค์กร รวมถึงบริหารจัดการข้อมูลที่ถูกเก็บกระจัดกระจาย (Silo) ตามฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ดีพอสำหรับรองรับการทำงานแบบไฮบริด เพื่อการรับ-ส่งข้อมูลหรือภาระงานต่าง ๆ ที่ข้ามไปมาระหว่างคลาวด์ ระบบที่ใช้งานในองค์กร (On Premise) แอปพลิเคชัน หรือ อินฟราสตรัคเจอร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องการความปลอดภัยจากแรนซั่มแวร์ในระดับสูง
2) การพัฒนากลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล (Data Driven) ซึ่งทวีความสำคัญต่อการเสริมสร้างรายได้และชี้ทิศทางความเป็นไปของธุรกิจ ดังนั้น ในยุคที่ “ข้อมูลต้องมาก่อน (Data First)” จึงต้องมีการกำกับการใช้งานและดูแลความปลอดภัยของข้อมูลซึ่งกระจายอยู่ทุกที่และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตลอดจนจัดหาเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Root Insight) ที่มีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์สูงสุดทางธุรกิจ
dHCI อินฟราสตรัคเจอร์ในยุคข้อมูลเป็นใหญ่
เดิมเทคโนโลยี Hyper Converged ถูกออกแบบมาเพื่อให้ระบบไอทีมีความยืดหยุ่นในการย่อ-ขยายให้เหมาะกับความต้องการใช้งาน ประสานให้เกิดการทำงานแบบมัลติแพลตฟอร์มระหว่างข้อมูลทั้งแบบมีและไม่มีโครงสร้าง แอปพลิเคชันเดิมและแอปพลิเคชันเกิดใหม่ เช่น คอนเทนเนอร์ ไมโครเซอร์วิส ให้พร้อมรับการทำงานบนคลาวด์อย่างปลอดภัย และด้วยต้นทุนการใช้งานแบบจ่ายตามจริง (Pay Per Use) แต่ในปัจจุบัน Disaggregated Hyperconverged Infrastructure-dHCI เช่น แพลตฟอร์ม HPE dHCI มีความพิเศษกว่า HCI แบบเดิม คือ เพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับขยายส่วนการประมวลผลและอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแยกจากกันได้อย่างอิสระ (Disaggregated) แต่ยังคงขีดความสามารถในบริหารจัดการเทคโนโลยีทั้งหมดได้จากจุดเดียว รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างเซิร์ฟเวอร์รุ่นก่อน เช่น Gen8 Gen9 ระบบงานเก่าอย่าง
อีอาร์พีไปจนถึงเทคโนโลยีแบบโอเพ่นสแต็คซึ่งขจัดปัญหาเรื่อง Multi-Gen IT โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนระบบทั้งหมดให้เป็น dHCI เพื่อประหยัดต้นทุน การันตีระดับการให้บริการ SLA ที่มีมาตรฐานสูงเพื่อรองรับภาระงานสำคัญทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับวีเอ็มแวร์ หรือ ไมโครซอฟท์ อาซัวร์
แพลตฟอร์ม HPE GreenLake ซึ่งบูรณาการบริการ As a Service ทั้งส่วนการประมวลผล แอปพลิเคชัน ซอฟต์แวร์ การบริหารและการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลทั้งระบบสำหรับรองรับการทำงานบนเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ในองค์กร หรือขึ้นสู่คลาวด์ แพลตฟอร์ม HPE SimpliVity แบบครบจบทุกฟังก์ชันในเครื่องเดียว เหมาะกับการรองรับภาระงานนอกดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีพื้นที่จำกัด เช่น สำนักงานสาชา ซึ่งสามารถเริ่มต้นการทำงานได้ที่หนึ่งโหนดและขยายโหนดเพิ่มได้ผ่านออนไลน์โดยการทำงานไม่หยุดชะงัก มีฟังก์ชันการปกป้องข้อมูลในตัวและการขจัดปัญหาข้อมูลซ้ำซ้อนและการบีบอัด ทำให้การแบ็คอัพข้อมูลมีความรวดเร็ว
ตัดคลื่นรบกวนความปลอดภัยของข้อมูลด้วย HPE Data Management
มีการประเมินกันว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา แรนซั่มแวร์ได้สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจราว 20 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่ผ่านไปถึงปี 2568 คาดการณ์ว่าแรนซั่มแวร์จะสร้างความเสียหายสูงถึง 10.5 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยทุก ๆ 11 วินาที จะมีคนที่โดนแรนซั่มแวร์ 1 รายทั้ง ๆ ที่องค์กรส่วนใหญ่ต่างมีระบบปกป้องข้อมูล เช่น แอนตี้ไวรัส ไฟร์วอลล์ และ ระบบแบ็คอัพข้อมูล เป็นต้น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เพราะแรนซั่มแวร์ยุคนี้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป คือ 1) เน้นโจมตีระบบแบ็คอัพเป็นอันดับแรก เพื่อให้องค์กรไม่สามารถกู้ระบบกลับคืนมาได้ เมื่อกู้คืนไม่ได้ก็ต้องจ่ายค่าไถ่ และ 2) การโจมตีไฟล์ต่าง ๆ ที่มีการแชร์ใช้ร่วมกัน (File Sharing) ทั้งจากระบบงาน แอปพลิเคชัน หรือการทำงานของยูสเซอร์ ซึ่ง
ทำให้การแพร่ของแรนซั่มแวร์เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างและรวดเร็ว ดังนั้น การบริหารระบบแบ็คอัพให้มีประสิทธิภาพ องค์กรสามารถเริ่มต้นได้ด้วยสูตร 3-2-1-1 คือ มีข้อมูลแบ็คอัพ 3 ชุด เก็บบนมีเดียที่ต่างกัน 2 ประเภท เก็บไว้นอกองค์กร 1 ชุด เป็นข้อมูลแบ็คอัพที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ (Immutable Backup) 1 ชุด ซึ่งสำคัญต่อการรับมือแรนซั่มแวร์ที่แอบเข้ามาเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งาน เก็บรหัสผ่านและรายละเอียดในการเข้าสู่ระบบ (Credentials) ก่อนจะออกไปและกลับเข้ามาอีกครั้งโดยปลอมตัวเป็นแอดมิน รวมถึงต้องมีระบบตรวจจับและการกู้คืนระบบที่มีประสิทธิภาพด้วย
HPE Cohesity แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลที่มาพร้อมระบบการปกป้องข้อมูลและการจัดการกับแรนซั่มแวร์ครบจบในเครื่องเดียว เพื่อการบริหารจัดการจากส่วนกลาง โดยมีซอฟต์แวร์ Helios เป็นตัวช่วยควบคุมการทำงาน มีจุดเด่นที่ฟังก์ชัน Immutable File System ซึ่งป้องกันการแก้ไขไฟล์ต่าง ๆ เพื่อปิดช่องโหว่การโจมตี File Sharing ระบบการยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (Multi-factor Authentication-MFA) เสริมด้วยเอไอและแมชชีนเลิร์นนิ่งในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อการป้องกันแรนซั่มแวร์ได้ 100%
Zerto โซลูชันสำหรับการปกป้องระบบงานทางธุรกิจด้วยการกู้คืนข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มประเภทต่าง ๆ โดย media ต้นทางและปลายทางไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีเดียวกัน ฟังก์ชัน CDP (Continuous Data Protection) สามารถช่วยปกป้องข้อมูลได้อย่างต่อเนื่องจึงสามารถกำหนดระยะเวลาของข้อมูลที่ต้องการกู้คืนได้มีประสิทธิภาพ สามารถกู้คืนแอปพลิเคชันได้ 100% หรือกู้คืนข้ามไปมาระหว่างแพลตฟอร์มได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้โซลูชันสำหรับศูนย์คอมพิวเตอร์สำรอง (DR site) ได้ทั้ง Private Cloud และ Multi-cloud
การให้บริการ HPE Backup and Recovery เป็นการให้บริการสำรองข้อมูลผ่าน Cloud Management เรียกใช้Software As A Service มีความยืดหยุ่น ไม่มีข้อกำหนดของระยะเวลาและจำนวน VM ขั้นต่ำ ธุรกิจสามารถเริ่มต้นเพียงจาก 1 VM ต่อเดือนเพียง 168 บาท ระบบรองรับการแบ็คอัพระบบ VMware แบบ Immutable รวมทั้งยังสามารถสำรองข้อมูลขึ้นคลาวด์ของ HPE
เพิ่มความทันสมัยให้กับแอปพลิเคชัน
ปัจจุบัน ทิศทางการพัฒนาแอปพลิเคชันจะอยู่ในแนวทาง 5Rs ได้แก่ 1) Replace หาแอปพลิเคชันมาใช้งานแทน 2) Rehost เอาแอปพลิเคชันไปรันบนระบบที่มีค่าใช้จ่ายถูกกว่า 3) Re-platform เอา
แพลตฟอร์มใหม่ ๆ เข้ามาใช้งาน เช่น คอนเทนเนอร์ 4) Refactor เอาแอปพลิเคชันที่มีอยู่เดิมมาปรับปรุงด้วยเทคโนโลยีใหม่ และ 5) Rebuild การเขียนแอปพลิเคชันให้ใช้งานบนคลาวด์แพลตฟอร์ม
HPE Ezmeral แพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ DevOps ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ในรูปแบบ SOA หรือแอปพลิเคชันที่มีขนาดเล็กลงมาอย่างคอนเทนเนอร์ ไมโครเซอร์วิส โดยลดความยุ่งยากในการจัดการกับอินฟราสตรัคเจอร์ มีคุณสมบัติในการเก็บข้อมูลหลากแพลตฟอร์มและกระจัดกระจายให้เห็นเสมือนเป็นข้อมูลผืนเดียวกัน (Data Fabric) เพื่อการเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายและหยิบมาใช้งานได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนสนับสนุน ML Ops (Machine Learning Operations) ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเอไอ แมชชีนเลิร์นนิ่งในการพัฒนาแอปพลิเคชันได้ง่ายและรวดเร็ว
บทความโดย นครินทร์ เทียนประทีป
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด / บริษัท ยิปอินซอย จำกัด