

38 มหาวิทยาลัยราชภัฏ ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือการดำเนินการว่าด้วย "การพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิต ตามนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง” เพื่อร่วมกันบูรณาการ พัฒนาทักษะอนาคตที่สำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมของนักศึกษา วางแผนและพัฒนางานด้านการศึกษา การวิจัย และการบริการวิชาการ และพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
รองศาสตราจารย์ ดร.ดวงพร ภู่ผะกา รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
ได้กล่าวว่า "การดำเนินการว่าด้วยโครงการการพัฒนาคนให้มีสมรรถนะตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายของกระทรวง อว. ดำเนินงานขึ้นภายใต้นโยบายซึ่งช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็ง ศักยภาพ ประสิทธิภาพของกำลังคนให้สูงขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นกำลังสำคัญของภาคการผลิตในอนาคต เนื่องจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นมหาวิทยาลัยที่กระจายอยู่ในทั่วทุกภูมิภาค มีความใกล้ชิดกับชุมชนและท้องถิ่น มีข้อมูลต่าง ๆ ในระดับชุมชน และเข้าใจปัญหาของชุมชน ร่วมขับเคลื่อนกับการร่วมมือในจังหวัด
ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏถือเป็นกำลังสำคัญที่จะผลักดันชุมชนท้องถิ่นให้เกิดการพัฒนาเป็นรูปธรรม และมีความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของคนในภาคการผลิต ทั้งที่อยู่ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น ซึ่งในโครงการนี้จะมีการจัดทำหลักสูตรในระยะสั้น ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง เพื่อกระจายวิทยากรให้กับพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัด และแนวทางในการพัฒนาครั้งนี้เราจะสร้างพลังขับเคลื่อนอย่างเข้มแข็งตามนโยบายของกระทรวง อว.
โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในการลงนามครั้งนี้จะทำให้เกิดผลโดยประจักษ์ และสามารถพัฒนาสมรรถนะของคนในภาคมหาวิทยาลัย พัฒนาสมรรถนะของคนในภาคการเกษตรรวมไปถึงภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการให้มีความสามารถสูงขึ้น อันจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ต้องขอบคุณทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ให้งบประมาณเพื่อเป็นทรัพยากรในการทำงานและพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปในอนาคตของประเทศ”
และ ดร.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรม กล่าวเสริมว่า "นโยบายของท่านเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำหรับการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย ยกเลิกกรอบเวลาสำเร็จการศึกษาทุกระดับปริญญา การเรียนข้ามสถาบันการศึกษา การมีธนาคารหน่วยกิจแห่งชาติ มี Sand box ซึ่งภายใต้การดูแลของท่านสิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ล้วนเป็นโอกาสทองมหาวิทยาลัยราชภัฏ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด ทะลวงข้อจำกัดทั้งหมดที่มี ทำให้การเรียนรู้ตลอดชีวิตนี้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น"
"เรื่องราวแห่งความสำเร็จของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ในการที่พัฒนากำลังคน BCG ตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่ EEC เป็นตัวอย่างสำคัญในการที่จะเป็นต้นแบบการพัฒนาของมหาวิทยาลัย ราชภัฏในส่วนอื่น ๆ ดิฉันคิดว่าในส่วนนี้จะสามารถพัฒนาต่อยอดพื้นที่ที่รับผิดชอบของแต่ละมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ตามปณิธานที่จะเป็นมหาวิทยาลัยเชิงพื้นที่ตามกลุ่มที่ได้รับผิดชอบต่อไป”
สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลง "ความร่วมมือการดำเนินการ ว่าด้วยการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิต ตามนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง ถือเป็นก้าวสำคัญของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในการยกระดับสมรรถนะกำลังคน ให้เป็นทุนทางปัญญาของท้องถิ่นในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย
มหาวิทยาลัยมหิดล และ บริษัท บี-52 แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความร่วมมือครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อนำเอาองค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยมหิดล ไปต่อยอด และพัฒนาในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง
โดยจะเริ่มจาก 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์-บริการทางการแพทย์และสุขภาพ ได้แก่ ยารักษาโรค ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน สมุนไพร อาหารทางการแพทย์ อุปกรณ์ทางแพทย์ และนวัตกรรมทางการแพทย์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตออกสู่ตลาดนั้นจะต้องได้มาตรฐาน ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ตามมาตรฐาน MST Standard สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดกับผู้บริโภค
โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค อาหารเสริม วิตามิน และสมุนไพร นั้นจะดำเนินการโดย บริษัท เอ็มเมด ฟาร์มา จำกัด ภายใต้แบรนด์ "เอ็มเมด" (M MED)
ศ.นพ. บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า "นอกจากความพยายามในการก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลกแล้ว มหาวิทยาลัยเองยังมีความมุ่งมั่นในการนำเอาองค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรม ที่มหาวิทยาลัยได้พัฒนาไปต่อยอด และทำประโยชน์ต่อสังคมทั้งในและต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน และเป็นรูปธรรม”
“ความร่วมมือกับเอกชนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจ มีพันธมิตรทางธุรกิจและการลงทุน มีเครือข่ายการกระจายสินค้าและบริการที่ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ อย่างบริษัท บี-52 แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) นั้น นับเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ภารกิจเดินหน้า และประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย” ศ.นพ. บรรจง กล่าว
ศ.ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการ บริษัท บี-52 แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความเห็น โดยกล่าวว่า "ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งในวิสัยทัศน์ และความตั้งใจของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่จะนำเอาองค์ความรู้ งานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณค่า ออกนอกรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อนำไปต่อยอดและก่อให้เกิดโยชน์ต่อสาธารณะอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมในปัจจุบันนั้น นอกจากงานวิชาการ มาตรฐานในเรื่องการเรียนการสอน คุณภาพงานวิจัยและพัฒนาเพื่อก่อให้เกิดนวัตกรรมแล้ว ความสามารถของมหาวิทยาลัยในการนำเอาความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรือสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้จริงนั้น ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน”
“การเป็นพันธมิตรกับภาคธุรกิจ เพื่อทลายข้อจำกัดของมหาวิทยาลัยทั้งในด้านระดมเงินลงทุน การผลิตเชิงพาณิชย์ การวางแผนการตลาด การจัดการด้านโลจิสติกส์ และการบริหารจัดการธุรกิจ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อยอดองค์ความรู้และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยไปสู่เชิงพาณิชย์ หรือไปสู่การใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง" ศ.ดร. สุรเกียรติ์ กล่าว
นายทวี โฆษิตจิรนันท์ รองประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการ บริษัท บี-52 จำกัด (มหาชน) ด้านการพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า "บริษัท บี-52 แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในโอกาสที่จะได้ช่วยมหาวิทยาลัยมหิดล ในการนำองค์ความรู้ งานวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยไปต่อยอดและพัฒนาธุรกิจในครั้งนี้ ด้วยทีมนักบริหารธุรกิจมืออาชีพ รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และเครือข่ายการกระจายสินค้าและบริการที่ บี-52 มีอยู่กว่า 160,000 ร้านค้าทั่วประเทศนั้น เรามีความมั่นใจว่าจะสามารถช่วยให้ภารกิจสำคัญนี้สำเร็จได้"
ส่วนนายพิรุฬห์ เศวตนันทน์ หัวหน้าคณะผู้บริหาร บริษัทเอ็มเมด ฟาร์มา จำกัด กล่าวเสริมว่า "เราเชื่อว่ารากฐานที่ดีของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ต้องมีมาตรฐานที่ดี ซึ่งทางมหาวิทยาลัยมหิดลมีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้อยู่แล้ว จุดแข็งของ แบรนด์ M MED อยู่ที่การนำเอาองค์ความรู้ นวัตกรรม งานวิจัย และบุคลากรที่เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยมหิดลมาช่วยเราในการตรวจสอบมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ที่มาของแหล่งวัตถุดิบ จนถึงการยืนยันผลการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆและการจัดเก็บ ภายใต้แนวคิด MST Standard ทำให้ผลิตภัณฑ์เอ็มเมด เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานสูง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ทาง M MED มีความต้องการที่จะเป็นแบรนด์ชั้นนำในกลุ่มสินค้าสุขภาพของไทย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยารักษาโรค อาหารทางการแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และนวัตกรรมทางการแพทย์”
โดยในงานได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกระชายพลัส ยี่ห้อ M MED ที่พร้อมจัดจำหน่ายแล้วในวันนี้ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่จะทยอยนำออกสู่ตลาด และยังมีการแนะนำแพลตฟอร์ม หมอประจำบ้านอัจฉริยะ "Doctor At Home" ที่พัฒนาโดยบริษัท เอ็ม เมดิคอล อินโนเวชั่น จำกัด เป็นครั้งแรก โดยพัฒนาจากความพยายามกว่า 40 ปี ของ รศ. นพ. สุรเกียรติ อาชานานุภาพ ในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในชนบท
วันนี้ แพลตฟอร์ม Doctor At Home สามารถทำให้คนไทยทุกคนเข้าถึงแพทย์ เภสัชกร ข้อมูลโรค ข้อมูลยา และข้อมูลสุขภาพได้ เหมือนมีหมอประจำตัวมาคอยดูแลเราอยู่ใกล้ๆ
นอกจากจะมีโปรแกรม "หมอประจำบ้านอัจฉริยะ" ที่ผู้ใช้งานสามารถใช้ตรวจอาการเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองเวลาเจ็บป่วยแล้ว Doctor At Home ยังมีบริการปรึกษาแพทย์และเภสัชกรออนไลน์ และบริการอื่นๆ โดยจะทยอยเปิดตัวในปีนี้ โดยจะมีการมีการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Doctor At Home อย่างเป็นทางการอีกครั้งในเร็วๆ นี้ รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ M MED และ Doctor At Home สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ www.mmed.com และ www.doctorathome.com
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ถ่ายทอดระบบ “ฟาร์มอัจฉริยะ หรือสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm)” มุ่งสู่เกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่ง มุ่งใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม IOT ในฟาร์มสุกร ช่วยยกระดับการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สวัสดิภาพสัตว์ระดับสากล ลดการพึ่งพายาปฏิชีวนะ และเพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภค
นายสมพร เจิมพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า การวิจัยและพัฒนาเป็นก้าวย่างสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินงานของธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) รุดหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจสุกรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยผนึกกำลังกับซีพีเอฟไอที เซ็นเตอร์ และทรู คอร์ปอเรชั่น ในการพัฒนาระบบ “ฟาร์มอัจฉริยะ หรือสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm)” มาผนวกกับกิจการเลี้ยงสัตว์ของซีพีเอฟ เมื่อข้อมูลจำนวนมากของบริษัทที่ถูกเก็บรวบรวมแบบออนไลน์ ทำให้ได้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์และประมวลผล อีกทั้งยังนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาช่วยยกระดับและสร้างความเชื่อมั่นให้กับข้อมูลต่างๆ และบริษัทยังพัฒนาการเลี้ยงสุกรครบวงจร “SMART PIG” มาปรับใช้ในการเลี้ยงสุกรทุกช่วงอายุ เพื่อช่วยยกระดับการบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่ การเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ประสิทธิภาพการผลิต
ขณะเดียวกัน ยังผลักดันให้เกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย หรือ Contract Farming นำระบบสมาร์ทฟาร์มมาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง อาทิ การตรวจสอบและควบคุมสภาพแวดล้อมแบบอัตโนมัติ (Automatic) การติดตั้งระบบกล้อง CCTV โดยร่วมกับทรูติดตั้งจนครบ 100% ในฟาร์มเกษตรกร 3,700 ราย และมีระบบตรวจวัดการไอของหมู หรือ Sound Talks เพื่อติดตามสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมงผ่านออนไลน์ เพื่อลดโอกาสเกิดความเสียหายในฝูงสัตว์
“ซีพีเอฟใช้เทคโนโลยีระบบสมาร์ทฟาร์ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มระบบปิด ที่สะอาด ถูกสุขอนามัย ทำให้สัตว์มีสุขภาวะที่ดีจากภายใน ลดการพึ่งพายาปฏิชีวนะ ได้เนื้อสัตว์ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ปลอดภัย ส่งผลดีต่อสุขภาพผู้บริโภค พร้อมถ่ายทอดระบบสู่เกษตรกร ส่งผลการผลิตเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยตรวจสอบการป้องกันโรคในฟาร์มอย่างเข้มงวด ด้วยเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และ IOT (Internet of Things) ทำให้ซีพีเอฟและเกษตรกรมีเทคโนโลยีการผลิต (Operation Tech) ที่สามารถผลิตสุกรในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน” นายสมพร กล่าว
สำหรับเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการเลี้ยงสุกร ได้แก่ ระบบ SMART Farm Solution ทำให้ทราบถึงปริมาณการกินน้ำและอาหาร อุณหภูมิ ความชื้น ความเร็วลม ก๊าซแอมโมเนียที่จะมีผลต่อสุขภาพสุกร และสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนให้สม่ำเสมอตลอดทั้งหลัง เหมาะสมกับสุกรมากที่สุด หากอุปกรณ์เกิดความผิดพลาด ระบบจะแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ทันที, ระบบ SMART Eye AI Detector ทำการบันทึกและวิเคราะห์พฤติกรรมและสุขภาพสุกรแม่พันธุ์ก่อนคลอดได้อย่างแม่นยำ เจ้าหน้าที่จึงบริหารจัดการได้อย่างมีประสทธิภาพ, ระบบ Smart Pig (QR Code) บันทึกข้อมูลในระบบออนไลน์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้านการจัดการสุกรแม่พันธุ์ผ่าน QR Code, ระบบตรวจวัดการไอของสุกร Sound Talks ตรวจวัดสุขภาพสุกรจากการไอ แล้วแปลงเป็นระบบคลื่นเสียง พร้อมแสดงแถบสีบนอุปกรณ์ และแจ้งข้อมูลในระบบทันที, ระบบกล้องวงจรปิด CCTV ติดตั้งในจุดที่สำคัญทั้งภายนอกและภายในโรงเรือน เพื่อตรวจสอบระบบการป้องกันโรค ลดโอกาสการนำเข้าเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์ม และ ระบบรายงานออนไลน์สำหรับเกษตรกร Chatbot เกษตรกรสามารถบันทึกข้อมูลสำคัญในกระบวนการผลิต ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งรวดเร็วกว่าการจดบันทึก และยังสามารถส่งภาพพฤติกรรมสุกรภายในโรงเรือนให้กับสัตวบาลและสัตวแพทย์ช่วยวิเคราะห์สุขภาพสุกรขุนได้ตลอดเวลา ช่วยให้ดำเนินแก้ปัญหาได้ทันท่วงที สามารถลดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง./
กรุงเทพฯ 30 กันยายน 2565 -- ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อสอดรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น โดยมุ่งเน้นดูแลลูกค้าสินเชื่อรายย่อยให้สามารถปรับตัวและบริหารจัดการสภาพคล่องได้ พร้อมขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มผลตอบแทนและส่งเสริมการออม
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า จากการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ทำให้ภาพรวมการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.50% เพื่อสอดรับกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าว ทีเอ็มบีธนชาตได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบและยึดมั่นในแนวทางการช่วยเหลือและดูแลลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรายย่อยที่จะใช้แนวทางการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับตัวและบริหารจัดการสภาพคล่องได้ โดยธนาคารจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้น 0.20% ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยกว่าการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี 0.25% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี 0.25% โดยการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป
ในขณะเดียวกัน สำหรับกลุ่มลูกค้าเงินฝากที่มองหาผลตอบแทนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูง และเพื่อเก็บออมสำหรับอนาคต ธนาคารจึงได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ อยู่ที่ระหว่าง 0.15% - 0.80% ต่อปี ซึ่งรวมถึงบัญชีเงินฝากพิเศษ ทีทีบี อัพ แอนด์ อัพ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุก ๆ 6 เดือน และได้รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเงินฝากที่มุ่งเน้นการออมในบัญชีดอกเบี้ยสูง เพิ่มสภาพคล่อง ถอนได้ก่อนกำหนดไม่ถูกลดดอกเบี้ย และเริ่มฝากขั้นต่ำได้ที่ 5,000 บาท โดยธนาคารได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดจาก 1.80% เป็น 2.50% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปเช่นกัน
นายปิติ กล่าวว่า “ทีเอ็มบีธนชาตมีความเข้าใจและมีความห่วงใยถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อลูกค้ากับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรายย่อย จึงได้ใช้แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้ลูกค้ายังคงมีสภาพคล่องในการใช้ชีวิตในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน และเชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะเป็นการช่วยส่งเสริมการออม เพื่อเป็นการสร้างรากฐานชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้าได้”
ไนกี้ เผยโฉมสาขาใหม่ล่าสุดในเซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว ดำเนินงานโดยวาลิรัม (Valiram) ผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกสินค้าลักซูรี่และสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำในเอเชีย ไนกี้ ลาดพร้าว ตั้งอยู่ในย่านที่คึกคักที่สุดย่านหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์รองเท้า เสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬาต่างๆ ของไนกี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กีฬาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในทุกๆ วัน แก่สมาชิกครอบครัวไนกี้และลูกค้าสายสปอร์ต
การออกแบบร้านของไนกี้ลาดพร้าวเป็นการออกแบบขนาดกะทัดรัด โดยเป็น Live Concept Store แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบเฉพาะบุคคลที่ผสมผสานนวัตกรรมค้าปลีกทั้ง offline & online เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวและไร้รอยต่อ
ไนกี้ลาดพร้าวมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสมาชิกด้วยการออกแบบให้เป็นร้านสำหรับคนในพื้นที่นั้นๆ มีการผสานองค์ประกอบที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วม อาทิ บอร์ดประกาศกิจกรรมต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น และสิทธิพิเศษเฉพาะสำหรับสมาชิก โดยให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับการเอาใจนักช้อปผู้หญิงด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นที่สุดของไนกี้ ซึ่งผ่านการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันเพื่อช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเธอหันมาเล่นกีฬา
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายที่ไนกี้ลาดพร้าวประกอบด้วยเสื้อผ้าและรองเท้าฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของคนไทย ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย อาทิ รองเท้า Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 และ Nike Air Zoom Alphafly Next% ที่นักกีฬาของไนกี้อย่าง เชลลี-แอนน์ เฟรเซอร์-ไพรซ์ (Shelly-Ann Fraser-Pryce) และ เอเลียด คิปโชเก้ (Eliud Kipchoge) เลือกใช้
“หลังจากรอคอยกว่า 1 ปีนับจากเปิดตัวร้านที่ใหญ่ที่สุดของไนกี้ในสยามเซ็นเตอร์เมื่อปีที่แล้ว เราตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เปิดตัวร้านไนกี้ลาดพร้าวในรูปแบบ Live Concept Store แห่งแรกที่กรุงเทพฯ” คุณทารันดีพ ซิงห์ (Tarundeep Singh) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายธุรกิจร้านไนกี้ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย กล่าว “ทำเลที่เป็นศูนย์กลาง
อย่างลาดพร้าวจะช่วยให้ไนกี้ได้มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่แตกต่างให้แก่กับนักท่องเที่ยวนับล้านภายในประเทศรวมถึงกลุ่มคนรักการเล่นกีฬา ในขณะที่เมืองไทยเริ่มเปิดประเทศแล้ว ซึ่งแนวคิดของร้านที่มุ่งเน้นประสบการณ์เฉพาะบุคคลผ่านการออกแบบพื้นที่ค้าปลีกและการบริการสมาชิกจะสนองตอบต่อสมาชิกไนกี้ที่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน จึงช่วยต่อยอดความง่ายในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของเราผ่านแอปพลิเคชั่นไนกี้”
คุณซิงห์กล่าวเพิ่มเติมว่า “ไนกี้ ลาดพร้าวเป็นเสมือนร้านในพื้นที่ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนักกีฬาและสายสปอร์ตต่างๆ นักช้อปผู้หญิงจะชื่นชอบเป็นพิเศษกับบริการช่วยเลือกบราให้เข้ากับสรีระและบริการสร้างสรรค์สไตล์การแต่งตัวเพื่อช่วยให้พวกเธอพบกับผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และสามารถบ่งบอกตัวตนผ่านคอลเลคชั่นต่างๆ ทั้งแดนซ์ ฟิตเนส วิ่ง และโยคะ”
คุณมูเคช วาลิรัม (Mukesh Valiram) ผู้อำนวยการบริหารวาลิรัม กรุ๊ป ผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกแบรนด์สินค้าลักซูรี่และสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, กลุ่มประเทศและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก กล่าวว่า “การเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจระหว่างวาลิรัมและไนกี้ได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแรงเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่การเข้าบริหารและเปิดร้านไนกี้สาขาแรกโดยวาลิรัมที่ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ ในเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และล่าสุด เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ดำเนินการเปิดร้านไนกี้สาขาที่ 7 ณ เซ็นทรัล ลาดพร้าว แม้ว่าในช่วงเวลา 18 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีก แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด เรายังคงขยายตลาดในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า และการเปิดร้านไนกี้สาขาล่าสุดแห่งนี้ได้กลายเป็นเครื่องยืนยันถึงความตั้งใจและเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของเรา”
YouTrip (ยูทริป) ผู้ให้บริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุล (Multi-currency wallet) ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย เผยผลสำรวจแผนการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศจากผู้ใช้งานพบว่าคนไทย 7 ใน 10 คนพร้อมออกเดินทางไปต่างประเทศอีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้า โดยจุดหมายหลัก 3 อันดับแรก คือ ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ ผลสำรวจนี้จัดทำขึ้นในโอกาสครบรอบ 2 ปีการให้บริการ YouTrip ในประเทศไทยเพื่อสำรวจความต้องการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศอีกครั้งภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มคลี่คลายลง
นักท่องเที่ยวชาวไทยพร้อมออกเดินทางอีกครั้ง
ผลสำรวจนี้จัดทำขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม - ต้นเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยพร้อมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าไม่เพียงนักท่องเที่ยวต่างชาติอยากเดินทางมาประเทศไทย แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยก็พร้อมออกเดินทางไปต่างประเทศเช่นกัน โดยร้อยละ 70 ของผู้ตอบแบบสอบถามมีช่วงอายุระหว่าง 25 – 45 ปี และพร้อมที่จะเดินทางไปต่างประเทศอีกครั้งภายใน 6 เดือนข้างหน้า
ข้อสรุปอื่นจากผลสำรวจที่น่าสนใจ
· นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยากออกเดินทางไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ โดยผลสำรวจเผยถึงเหตุผล 3 อันดับที่คนไทยอยากเดินทางไปต่างประเทศ โดยอันดับแรกคือเหตุผลเรื่องอยากไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อพักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศ และหาประสบการณ์ใหม่ๆ ร้อยละ 83 ตามมาด้วยอันดับ 2 คือการเดินทางเพื่อไปเยี่ยมครอบครัวและเพื่อนๆ ในต่างประเทศ ร้อยละ 7 และอันดับ 3 คือการไปต่างประเทศเพื่อเรียนต่อ ร้อยละ 5 นอกจากนี้การเดินทางไปต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะมีระยะเวลาที่ยาวนานมากขึ้น โดยร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสอบถามคิดว่าระยะเวลาที่เหมาะสมในการไปเที่ยวต่างประเทศครั้งต่อไปอยู่ที่ 1 - 2 สัปดาห์
· ทวีปเอเชียยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลัก โดยประเทศที่อยากไปเที่ยวมากที่สุด 10 อันดับแรก มีประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับ 1 เกาหลีใต้เป็นอันดับที่ 3 และสิงคโปร์เป็นอันดับที่ 5 ในขณะที่สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรอยู่ในอันดับที่ 2 และ 4 ตามลำดับ
· นักท่องเที่ยวพร้อมช้อปมากขึ้นและหลีกเลี่ยงการพกเงินสด โดยผลสำรวจพบว่าคนไทยร้อยละ 20 พร้อมที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 50% หากได้ไปเที่ยวต่างประเทศ นอกจากนี้กว่าร้อยละ 90 เลือกการใช้จ่ายแบบไร้สัมผัส (เช่น การใช้จ่ายผ่าน Multi-currency wallet บัตรเดินทาง และบัตรเครดิต) และหลีกเลี่ยงที่จะพกเงินสดในการไปเที่ยวต่างประเทศ โดยนอกเหนือจากเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยแล้ว การใช้จ่ายผ่าน Multi-currency wallet ยังให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า และสามารถเติมเงินหรือแลกเงินเพื่อใช้จ่ายได้ตลอดเวลาขณะเดินทาง หมดห่วงเรื่องเงินหมดระหว่างทริป
นางสาวจุฑาศรี คูวินิชกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง YouTrip ประเทศไทย กล่าวว่า “การที่ประเทศต่างๆ เริ่มเปิดประเทศนับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เดินทางมาเกือบ 2 ปี โดยเราเชื่อว่าผู้ใช้งาน YouTrip จะเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ที่เดินทางไปต่างประเทศอีกครั้ง ซึ่งนอกเหนือจากการให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยที่ประเทศปลายทางแล้ว การค้นหาโปรโมชั่นน่าสนใจจากสายการบินหรือโรงแรมต่างๆ รวมถึงการแลกเงินเก็บไว้เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ล้วนเป็นวิธีที่จะช่วยประหยัดเงินเมื่อวางแผนไปเที่ยวต่างประเทศได้ทั้งสิ้น”
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นการกระตุ้นให้สังคมไร้เงินสดมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในบางประเทศอย่างเช่น อังกฤษ ที่ร้านอาหาร โรงแรมและร้านค้าส่วนใหญ่ปฏิเสธการรับเงินสด เนื่องจากความกังวลเรื่องความสะอาดและปลอดภัย อย่างไรก็ตาม YouTrip ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแลกเงินภายในแอปและการใช้จ่ายแบบคอนแทคเลส (Contactless) ตามร้านค้าต่างๆ ทั่วโลก ที่รองรับ Mastercard ช่วยให้นักเดินทางมั่นใจกับการใช้จ่ายอย่างไร้กังวลตลอดทริป”
“ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ของการให้บริการในประเทศไทย YouTrip ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ใช้งานที่ไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ ในการใช้จ่ายและการใช้งานด้วยเรทที่ดีกว่าแก่นักเดินทางชาวไทย และเราหวังว่า YouTrip จะเป็นเพื่อนคู่ใจนักเดินทางเมื่อการท่องเที่ยวระหว่างประเทศเริ่มกลับมา หากมีปัญหาในการใช้งาน YouTrip พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วผ่านแอปพลิเคชัน โทรศัพท์และช่องทางต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง” ตอบโจทย์ด้วยเรทที่ดีกว่า และใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน
นอกเหนือจากการเป็นเพื่อนคู่ใจของนักเดินทางแล้ว YouTrip ยังเป็นตัวเลือกหลักในการใช้จ่ายออนไลน์เป็นสกุลเงินต่างประเทศอีกด้วย โดยในปีที่ผ่านมา2 YouTrip มียอดใช้จ่ายออนไลน์เป็นสกุลเงินต่างประเทศเติบโตขึ้นเกือบ 250% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นการใช้จ่าย เช่น การเติมเกมออนไลน์ การซื้อของออนไลน์จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ชื่อดังของต่างประเทศ และการจ่ายค่าเรียนและค่าที่พักในต่างประเทศ
YouTrip ฉลองครบรอบ 2 ปีด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษ #BirthdayTrippin รับเงินคืนและของรางวัลทั้งเดือนรวม 400,000 บาท โดยมีกิจกรรมที่สามารถร่วมสนุกได้ทุกสัปดาห์ เพียงลงทะเบียนร่วมโปรโมชั่นที่ https://go.you.co/birthdaytrippin-2/ ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2564
ออนโรบอต (OnRobot) แบรนด์ผู้นำเสนอเทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อการทำงานร่วมกับมนุษย์แบบครบวงจร เปิดตัวซอฟต์แวร์ WebLytics โซลูชั่นเพื่อการตรวจสอบระยะไกล การวินิจฉัยอุปกรณ์ และการวิเคราะห์ข้อมูลในสายการผลิต ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเสริมขีดความสามารถด้านการผลิตและลดช่วงเวลาการหยุดชะงักในระบบการผลิตให้น้อยที่สุด
WebLytics มอบความสามารถในการตรวจสอบประสิทธิภาพเครื่องมือเพื่อการทำงานร่วมกับมนุษย์หลายส่วนได้พร้อมกันแบบเรียลไทม์ ผ่านการรวบรวมข้อมูลของอุปกรณ์ทั้งจากตัวหุ่นยนต์และเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนสายการผลิตให้เป็นระบบการทำงานอัจฉริยะที่เข้าใจง่าย แสดงผลและตรวจสอบได้อย่างชัดเจน และทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
“การเปิดตัว WebLytics ถือเป็นหลักชัยสำคัญทั้งสำหรับออนโรบอต ลูกค้า และเครือข่ายผู้บูรณาการระบบการทำงานทั่วโลก” มร.เอนริโก คร็อก ไอเวอร์เซน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ออนโรบอต เผยว่า “WebLytics เป็นซอฟต์แวร์โซลูชั่นรุ่นแรกที่สามารถมอบข้อมูลการทำงานของหุ่นยนต์กับมนุษย์ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถใช้งานครอบคลุมทุกอุปกรณ์หุ่นยนต์ของแบรนด์ใหญ่ ๆ ได้ทุกแบรนด์ โดย WebLytics ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์รุ่นแรกนี้ถือเป็นก้าวแรกบนเส้นทางการพัฒนาซอฟตแวร์ของออนโรบอต และเติมเต็มวิสัยทัศน์ของเราในการนำเสนอแอปพลิเคชันการทำงานของหุ่นยนต์กับมนุษย์ได้แบบครบวงจร (One Stop Shop) ทั้งในส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์”
สำหรับผู้ใช้งานจริงหรือผู้ที่บูรณาการเข้ากับสายการผลิต WebLytics ไม่เพียงช่วยขจัดภาระการเก็บข้อมูลโดยมนุษย์ หากยังนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้งานได้จริงทั้งในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานของหุ่นยนต์ร่วมกับมนุษย์ ทำให้สามารถวินิจฉัยอุปกรณ์ได้ในขณะทำงาน สามารถแจ้งเตือนและกำหนดมาตรการซ่อมบำรุงเชิงป้องกันเพื่อลดช่วงเวลาการหยุดชะงักการทำงานของอุปกรณ์หุ่นยนต์ในสายการผลิตให้น้อยที่สุด
ด้วยความสามารถในการผสานการทำงานเข้ากับการวัดประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรในอุตสาหกรรม (Overall Equipment Effectiveness: OEE) ตามมาตรฐานต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้ WebLytics สามารถระบุถึงแนวโน้มต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ทั้งในส่วนเซลล์หุ่นยนต์ ตลอดจนรูปแบบการทำงาน ช่วงเวลางานหนาแน่น และการรบกวนขีดความสามารถในการทำงาน
WebLytics สามารถรายงานผลการใช้งานอุปกรณ์แขนหุ่นยนต์และอุปกรณ์อื่น ๆ ของออนโรบอตได้ รวมทั้งมือจับ กล้องตรวจจับ และเซ็นเซอร์ ตลอดจนระบุถึงจำนวนครั้งการหยุดทำงานเพื่อความปลอดภัยและจำนวนวงรอบการจับชิ้นส่วนที่ได้ดำเนินงานไปในระหว่างการปฏิบัติงาน อีกทั้ง WebLytics ยังใช้งานง่าย ราคาไม่สูง มุ่งเน้นประสิทธิภาพการทำงานและการตรวจสอบของผลิตภัณฑ์ออนโรบอตทุกรุ่น นอกจากนี้ ยังสามารถทำงานร่วมกับหุ่นยนต์เพื่อการทำงานกับมนุษย์และอุปกรณ์แขนหุ่นยนต์น้ำหนักเบาเพื่องานอุตสาหกรรมของแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงเครื่องมือต่าง ๆ ของออนโรบอตได้ และด้วยความสามารถในการขยายขอบเขตการทำงาน ทำให้ WebLytics คือทางเลือกที่ดีเยี่ยมทั้งในวันนี้และอนาคตเมื่อต้องการใช้งานหุ่นยนต์ปละเครื่องมือใหม่ ๆ สำหรับการเข้าใช้งาน WebLytics สามารถทำได้ผ่านยูเซอร์อินเตอร์เฟซบนหน้าเว็บไซต์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง ซึ่งจะแสดงการวัดประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักร (OEE) และดัชนีชี้วัดผลงาน (KPI) บนแผงควบคุมที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ เพื่อให้ผู้ใช้มองเห็นประสิทธิภาพการทำงานทั้งหมดได้ในทันทีแบบเรียลไทม์ มีความโปร่งใส และยังตรวจสอบประวัติการทำงานได้ทั้งหมด
เซิร์ฟเวอร์ WebLytics ยังสามารถใช้เป็นเครือข่ายในพื้นที่ปฏิบัติงานหรือเพิ่มเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายการแสดงผลซึ่งเชื่อมต่อกับเซลล์หุ่นยนต์
“WebLytics คือส่วนเสริมการทำงานที่สมบูรณ์แบบให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรา และถือเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญของออนโรบอตในการสร้างสรรค์เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ซึ่งในนี้คือความสามารถในการตรวจสอบระยะไกล การวินิจฉัยอุปกรณ์ และการวิเคราะห์ข้อมูล ในระดับราคาที่เข้าถึงได้และใช้งานได้จริงสำหรับบริษัททุกขนาด” มร.เอนริโก คร็อก ไอเวอร์เซน กล่าวเสริม
WebLytics กำหนดเปิดให้ใช้งานทั่วโลกผ่านการลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป
โอกาสครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในประเทศไทย ข้อมูลของสหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (International Federation of Robotics: IFR) ระบุว่าทวีปเอเชียเป็นตลาดหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็น 71% ของหุ่นยนต์ที่พัฒนาใหม่ทั้งหมดของปี ค.ศ. 2020 โดยประเทศไทยจัดอยู่ที่อันดับ 13 ของโลก อันดับ 7 ของเอเชีย และอันดับ 2 ของอาเซียนในด้านจำนวนการติดตั้งใช้งานหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมในปี ค.ศ.2020
กว่า 60 ปี ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ในการดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีธุรกิจหลักคือธุรกิจการกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และต่อยอดไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน การผลิตไฟฟ้า รวมถึงการจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทสารทำละลาย และการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Empowering Human Life Through Sustainable Energy and Chemicals สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน” ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งองค์กรไทยที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ ๆ ให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอย่างต่อเนื่อง
ไทยออยล์ถือเป็นองค์กรที่ได้รวบรวมบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลายแขนง ตั้งแต่ระดับพนักงาน ไปจนถึงระดับผู้บริหาร โดยการมีบุคลากรที่มีคุณภาพถือเป็นกุญแจดอกสำคัญแห่งความสำเร็จของการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศมาโดยตลอด สืบเนื่องจากการสั่งสมประสบการณ์และองค์ความรู้กว่า 6 ทศวรรษ นำมาสู่การพัฒนาและสร้าง “คน” ของไทยออยล์ให้มีพลัง ความสามารถ และดึงศักยภาพเพื่อสร้างผลผลิตได้อย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมองค์กรที่สะท้อนถึงวิถีการทำงานตามแบบฉบับคนไทยออยล์ ผ่านการปลูกฝังวัฒนธรรมการทำงานจากรุ่นสู่รุ่น การสอนงานและการถ่ายทอดความรู้จากหัวหน้าสู่ลูกน้อง การพัฒนาศักยภาพด้วยการส่งเสริมความรู้ในหลากหลายมิติ รวมถึงการจัดการสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานที่ดี
ซึ่งภายในองค์กรของไทยออยล์ มีวัฒนธรรมการทำงานแบบ POSITIVE ที่เน้นการทำงานด้วยคุณลักษณะที่ดี 8 ประการ อาทิ ทำงานอย่างมืออาชีพ (P - Professionalism) ยึดมั่นในการเป็นเจ้าของและทุ่มเทต่อหน้าที่ความรับผิดชอบ (O - Ownership and Commitment) มีความรับผิดชอบต่อสังคม (S – Social Responsibility) การทำงานด้วยความซื่อสัตย์ (I - Integrity) การทำงานเป็นทีม (T - Teamwork and Collaboration) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (I – Initiative) การมุ่งมั่นในวิสัยทัศน์ (V- Vision Focus) และ การมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (E – Excellence Striving) ในการปฏิบัติงานในทุก ๆ ด้าน
การดูแลบริหารทรัพยากรบุคคลของไทยออยล์นับว่าอยู่ในระดับเดียวกับองค์กรชั้นนำระดับประเทศ เพราะไทยออยล์เล็งเห็นถึงคุณค่าของ “คน” เป็นสิ่งสำคัญ อาทิ การเปิดโอกาสในพนักงานสามารถเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพแบบไม่มีที่สิ้นสุดด้วยคอร์สออนไลน์กว่า 700+ หลักสูตร และระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management) ที่มีในองค์กรอีกกว่า 4000+ รายการ รวมถึงการส่งเสริมเส้นทางอาชีพด้วยการมอบโอกาสและกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนให้แก่พนักงาน รวมทั้งการจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการที่สูงติดอันดับ TOP5 ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยออยล์ให้ความสำคัญในการดูแลคนมาเป็นอันดับหนึ่ง (People First) เสมอ เพราะเราเชื่อว่า "คน" เป็นขุมพลังหลักในการขับเคลื่อนองค์กร จะเห็นได้ว่าในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 เราได้ยกระดับมาตรการดูแลพนักงานเป็นพิเศษ ด้วยการจัดตั้งศูนย์ควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (I – COVID Center) ที่ทำงานเชิงรุก ครอบคลุม และดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคในกลุ่มพนักงานในองค์กร และเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรค ทั้งในการดำเนินธุรกิจปกติและการก่อสร้างโครงการลงทุนต่าง ๆ รวมถึงการให้พนักงานสามารถ Work From Home 100% ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงแก่พนักงานทุกคน”
ไทยออยล์ยังดูแลพนักงานในยุค New Normal ด้วยโครงการ 5 สุข ได้แก่ โครงการสุขเงิน – แลกเปลี่ยนสวัสดิการได้ตรงใจด้วยตัวเอง, โครงการสุขใจ – ปรึกษาทุกข้อกังวลใจกับนักจิตวิทยาและจิตแพทย์, โครงการสุขกาย – ตัวช่วยในการดูแลสุขภาพของพนักงานแบบอัจฉริยะ, โครงการสุขสังคม - สร้างความรู้สึกใกล้ชิดกับพนักงานด้วย Digital Collaboration Platform และ สุขชื่นชม – สนับสนุนการส่งพลังบวกและยกย่องชมเชยเพื่อนร่วมงาน ช่วยยกระดับวัฒนธรรมในองค์กรและเป็นพลังให้พนักงานสามารถสร้างผลงานที่ดีได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ มีแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์และพลังในการสร้างผลงานอันมีคุณค่าต่อตนเอง องค์กรและสังคมต่อไป
นอกจากการบริหาร ดูแลและพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพสูงสุด พร้อมสนับสนุนคุณภาพชีวิตของพนักงานในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว ในมุมของการดำเนินกิจการจะเห็นได้ว่า ไทยออยล์ ยังเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ESG (Social / Environmental / Governance) ที่ใช้เป็นหลักยึดมั่นและเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง นำมาสู่การเป็นองค์กรแห่งคุณภาพที่มีความน่าเชื่อถือและสร้างคุณค่าแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องรวมถึงพนักงานในองค์กร มาตลอด 60 ปี โดยแบ่งแนวคิดการดำเนินงานออกเป็น 3 มิติที่แตกต่าง ได้แก่
มิติสิ่งแวดล้อม: Enhance Environment การยกระดับการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับทิศทางของโลก โดยศึกษาแนวทางที่จะมุ่งไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon Emission
มิติสังคม: Engage Society มีเป้าหมายสร้างความผูกพันเพื่อเติบโตร่วมกันในระยะยาว ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ผ่านการสื่อสารเชิงรุก การรับฟังความเห็น การพัฒนาความสัมพันธ์และโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสังคม โดยเฉพาะด้านสุขอนามัย (Healthcare)
มิติบรรษัทภิบาล: Ensure Good Governance เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านบรรษัทภิบาล ผ่านการบูรณาการ GRC (Governance, Risk and Compliance) โดยเน้นการสร้างสมดุลระหว่างความเข้มงวดของมาตรการควบคุมภายในและความยืดหยุ่นคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยมีเป้าหมายการปราศจากการฝ่าฝืนกฎหมายและกฎระเบียบขององค์กร
“เราให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด ด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจและองค์กรภายใต้แนวคิด ESG ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำงานในทุกกระบวนการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเดินหน้าไปสู่เป้าหมายไม่ได้ หากขาดตัวแปรที่สำคัญนั่นคือ “พนักงาน” ของไทยออยล์ทุกคนที่ช่วยผลักดันให้องค์กรเติบโตสู่องค์กร 100 ปี เพื่อเชื่อมโยงคุณค่าสู่สังคม สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและอนาคตของทุกคนไทยทั้งประเทศอย่างยั่งยืน” นายวิรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
###
นายพร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด (บริษัทในเครือพีทีจี) พร้อมด้วยนายเฟเดอริโก้ เบรนดี ผู้บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท รู้ใจ จำกัด ร่วมเปิดตัวโปรโมชั่นสุดคุ้ม โดย รู้ใจ ผู้ให้บริการประกันภัยออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทย กับ พีทีจี ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานครบวงจรที่มีสถานีบริการน้ำมันกว่า 2,000 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก PT Max Card ที่ซื้อประกันรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ออนไลน์จากรู้ใจ ประกันออนไลน์ จากแอปพลิเคชั่น PT Max Rewards หรือ เข้าไปที่หน้าเพจ แคมเปญรู้ใจ x PT และเพียงแค่แชร์ประสบการณ์การซื้อประกันภัยกับรู้ใจบนเฟซบุ๊ก ก็จะได้รับ e-voucher ส่วนลดน้ำมันสูงสุดถึง 2,000 บาทเพื่อใช้ที่สถานีบริการน้ำมันพีทีที่ร่วมรายการทั่วประเทศไทย
นายพร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีมากที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่าง รู้ใจ ประกันออนไลน์ที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์และบริการดี ๆ ให้กับลูกค้าและสมาชิก PT Max Card อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทุกคนมองหาที่พึ่งซึ่งจะช่วยสร้างความอุ่นใจ เรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ประกันภัยของรู้ใจ และโปรโมชั่นที่เราจัดไว้ให้จะมาตอบโจทย์และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและสมาชิก PT Max Card ได้อย่างแท้จริง”
*********************************
Sea (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์ม ได้แก่ การีนา (Garena) ช้อปปี้ (Shopee) และซีมันนี่ (SeaMoney) จับมือ ‘ยังแฮปปี้’ (YoungHappy) ธุรกิจเพื่อสังคมของกลุ่มผู้สูงอายุ ร่วมเปิดคอร์สเรียนออนไลน์ “ขายได้ขายดีกับ Shopee” อัพสกิลทักษะดิจิทัลแก่พี่ ๆ วัยเก๋า แปรประสบการณ์จากนักช้อปออนไลน์สู่การเป็นผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ ให้สามารถสร้างรายได้ พร้อมค้นพบศักยภาพใหม่ ๆ และสนุก ไปกับประสบการณ์การขายสินค้าออนไลน์ในวัยเกษียณ ด้วยระยะเวลาเพียง 1 – 2 สัปดาห์หลังเปิดร้าน พี่ ๆ วัยเก๋าสามารถทำยอดเข้าชมรวมทุกร้านได้กว่า 8,845 ครั้ง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ โดย Sea (ประเทศไทย) มีแผนเดินหน้าพัฒนาหลักสูตร E-Module มุ่งเข้าถึงผู้สูงอายุกว่า 30,000 คน ในปีหน้า
ปี 2564 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ (Aged Society) โดยจะมีผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปี ราว 13 ล้านคน หรือ 20% ของจำนวนประชากร และประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ซึ่งประชากรในกลุ่มนี้ถูกจัดอยู่ในวัยพึ่งพิง ต้องพึ่งพารายได้จากลูกหลานหรือเงินเก็บหลังเกษียณเท่านั้น ประกอบกับความผันผวนของเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเก็บหลังเกษียณที่ไม่เพียงพอในชีวิตบั้นปลาย มากไปกว่านั้นเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้สูงอายุยังต้องเผชิญกับภาวะความเครียดในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะด้านจิตใจ ที่มักจะขาดความมั่นใจ ไม่มีความภาคภูมิใจในตนเอง และรู้สึกเป็นภาระกับลูกหลาน
นอกจากนี้ งานวิจัย “การใช้เทคโนโลยีของผู้สูงอายุและข้อเสนอเพื่อเสริมสร้างภาวะพฤฒิพลังของผู้สูงอายุไทย” โดย รศ.ดร.พนม คลี่ฉายา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังพบว่าหนึ่งในปัจจัยที่ผู้สูงอายุหันมาใช้เทคโนโลยี คือ การ
ตระหนักถึงความสามารถในการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อพัฒนาตนเอง และความต้องการรายได้เพื่อความมั่นคงในชีวิต ซึ่งนี่อาจชี้ให้เห็นว่าผู้สูงอายุบางกลุ่มยังคงเห็นถึงศักยภาพของตนเอง และต้องการทำงานเพื่อสร้างรายได้ในช่วงวัยเกษียณ
ด้วยตระหนักว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญกับทุกช่วงวัย รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเราจะเริ่มเห็นกิจกรรมของผู้สูงอายุที่เชื่อมโยงกับโลกดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้น Sea (ประเทศไทย) จึงได้ร่วมมือกับ ‘ยังแฮปปี้’ (YoungHappy) เปิดคอร์สเรียนออนไลน์ “ขายได้ขายดีกับ Shopee” เพื่อพัฒนาทักษะอีคอมเมิร์ซให้แก่พี่ ๆ วัยเก๋า โดยใช้หลักสูตรที่ออกแบบให้มีความเหมาะสมสำหรับกลุ่มผู้สูงวัยโดยเฉพาะ แต่ยังคงความครอบคลุมของเนื้อหาไว้อย่างครบถ้วน ทั้งการเริ่มเปิดร้าน การลงสินค้า การจัดการระบบร้านค้า และการส่งเสริมยอดขาย นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญจาก Shopee และ YoungHappy คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดตลอดการอบรมเพื่อช่วยเหลือและผลักดันให้ผู้เข้าร่วมการอบรมทุกคนสามารถเปิดร้านบน Shopee และนำไปต่อยอดการดำเนินธุรกิจหลังจบกิจกรรมได้จริง
นางสาวมณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญกับทุกช่วงวัย รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ Sea (ประเทศไทย) ซึ่งมีพันธกิจหลักที่จะทำให้ชีวิตของผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายย่อยมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี จึงมุ่งส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้ความเข้าใจในการใช้งานและอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี เพื่อเสริมศักยภาพผู้บริโภคให้สามารถเก็บเกี่ยวโอกาสที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีได้ สำหรับกลุ่มผู้สูงวัยเราได้ร่วมมือกับ Young Happy อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้เป็นปีที่ 4 แล้ว และที่ผ่านมาเราได้เห็นถึงความสามารถของกลุ่มวัยเก๋าที่ยังมีศักยภาพในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยในปีนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตเป็นอย่างสูงและเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน ทำให้เราเกิดไอเดียที่จะเปิดสอนคอร์สเรียนออนไลน์ให้แก่วัยเก๋าโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้แก่ผู้สูงวัยที่ออกจากตลาดแรงงานไปแล้ว พร้อมหวังว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้สูงวัยสามารถก้าวสู่ยุคดิจิทัลไปพร้อม ๆ กับทุกคน”
สำหรับกิจกรรมเวิร์คช้อป “ขายได้ขายดีกับ Shopee” ได้เสียงตอบรับจากวัยเก๋าเป็นอย่างดี มีผู้ผ่านการคัดเลือกและเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 38 คนจากผู้สมัครกว่า 200 คน โดยบรรยากาศการเรียนการสอนเป็นไปอย่างสนุกสนาน และพี่ ๆ วัยเก๋าสามารถเปิดร้านค้าบนช้อปปี้ได้สำเร็จ ซึ่งร้านค้าเหล่านี้ยังมียอดเข้าชมรวมมากถึง 8,845 ครั้ง และมียอดขายรวมทุกร้านกว่า 21,000 บาท ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 - 2 สัปดาห์หลังเปิดร้าน โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมเวิร์คช้อปต่างนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในร้านของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นพี่ ๆ วัยเก๋ายังได้นำความรู้ ประสบการณ์ และเคล็ดลับที่ได้รับจากการเข้าร่วมคอร์สเรียนออนไลน์ไปถ่ายทอดให้แก่คนรอบตัว ซึ่งไม่เพียงแต่กับคนในรุ่นเดียวกันแต่ยังรวมถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอีกด้วย
นายสำราญ รุ่งโรจน์ เจ้าของร้านหมึกสะเด็ด เผยถึงความรู้สึกหลังได้รับรางวัลนักขายวัยเก๋าว่า “แต่เดิมนั้นร้านหมึกสะเด็ดตั้งอยู่ที่เกาะเสม็ด ซึ่งตั้งแต่ที่เจอสถานการณ์โควิด-19 จึงทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก เราก็พยายามหาช่องทางที่จะทำให้กิจการของเราอยู่รอด เพื่อที่จะดูแลพนักงานและครอบครัวเราต่อไป เมื่อได้มาเจอโครงการนี้ก็ทำให้เรายิ้มได้อีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยลงขายสินค้าผ่านทางออนไลน์เลย แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมเรียนคอร์สขายได้ขายดีกับ Shopee ก็ได้นำความรู้ที่ได้ไปเปิดร้านในช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ รวมถึงช้อปปี้ ทำให้มีคนรู้จักมากขึ้นและมีรายได้เข้ามาจนเห็นลู่ทางที่จะฝ่าฟันวิกฤติได้ในตอนนี้ จึงอยากฝากถึงเพื่อน ๆ วัยเก๋าทุกท่านว่าอย่าหยุดที่จะเรียนรู้ เหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทางที่เราเดิน เราต้องเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้ว เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และทุกคนจะสามารถก้าวผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้”
หลังจากนี้ Sea (ประเทศไทย) จะยังคงเดินหน้าต่อยอดขยายการเรียนรู้ทักษะอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่จะมีการพัฒนาหลักสูตร E-Module สำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะจากหลักสูตรของ Shopee University ให้กับพี่ๆวัยเก๋าในเครือข่าย YoungHappy กว่า 30,000 คนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซให้กับผู้สูงอายุให้ทั่วถึงและเข้มข้นยิ่งขึ้น ที่จะนำไปสู่การสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยให้ที่ดีขึ้น