December 18, 2025

สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์(RSTA) ปักธงเดสติเนชั่นความอร่อยของเมืองไทยใจกลางกรุงเทพฯ ผนึกกำลังการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และมูลนิธิโครงการหลวง ขานรับนโยบายภาครัฐ หนุนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคการเกษตร จัดเทศกาลอาหารนานาชาติ “Taste It All @Ratchaprasong 2022: The Royal Delights” ชูสุดยอดวัตถุดิบเฉพาะฤดูกาล สดสะอาด จากโครงการหลวงสู่ 9 เมนูพิเศษรังสรรค์โดย 9 เชฟ จากโรงแรมและทีรูมชื่อดังในย่านราชประสงค์ ยกระดับความอร่อยภายใต้คอนเซ็ปต์ “From Hearts To Table” ที่นักชิมห้ามพลาด! ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม– 30 พฤศจิกายน 2565

นายกฤษฎา รัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “จากข้อมูลรายงาน Global Culinary Tourism Market 2022-2027 ชี้ให้เห็นว่าการท่องเที่ยวเชิงอาหารของโลกกำลังเติบโตอย่างสดใสที่เฉลี่ยปีละ 16.6% โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 5.4 พันล้านคนต่อปี ซึ่ง ททท. พิจารณาเห็นถึงโอกาสอันดีที่จะนำอาหารไทยและการท่องเที่ยวมาตอบสนองความต้องการตามพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน กระตุ้นให้เดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จึงให้การสนับสนุนเทศกาลอาหารนานาชาติ “Taste It All @Ratchaprasong” ที่ทางสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา กว่า 17 ปี สอดรับกับนโยบายภาครัฐ ที่มุ่งความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตด้วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ขับเคลื่อนประเทศไทย สู่ World Gastronomy Destination ยกระดับให้เมืองไทย เป็น ‘เมืองหลวงของอาหาร’ ในภูมิภาคเอเชีย และถือเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่แข็งแกร่งของประเทศไทย สำหรับความพิเศษของเทศกาลอาหารครั้งนี้ คือการร่วมมือกับ 8 โรงแรมและ 1 ทีรูมชั้นนำในย่านราชประสงค์ รังสรรค์เมนูสุดพิเศษจากสุดยอดเชฟของเมืองไทย ปรุงด้วยวัตถุดิบที่ดีที่สุดของประเทศไทยจากมูลนิธิโครงการหลวง ให้กลายเป็นซิกเนเจอร์เมนูของซีซั่นนี้ นอกจากนี้ ททท. เชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพด้านการประกอบอาหารของเชฟทุกท่านที่ปรุงทุกจานด้วยความตั้งใจ ตลอดจนคุณภาพความสดใหม่ของวัตถุดิบที่เหล่าพี่น้องเกษตรกรไทยเพาะปลูกทุกผลผลิตด้วยความใส่ใจนั้น จะสร้างประสบการณ์แห่งรสชาติ สู่ความประทับใจและนำมาซึ่งการสร้างแบรนด์สินค้าทางการท่องเที่ยว และเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยให้มีความคึกคัก และส่งเสริมความแข็งแกร่งต่อเศรษฐกิจของประเทศต่อไป”

ด้าน นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) กล่าวว่า “อาหารคือจุดขายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งและเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกที่มาเยือนประเทศไทยและปรารถนาจะได้สัมผัสกับอาหารเลิศรส ด้วยศักยภาพของย่านราชประสงค์ที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร และเป็นหนึ่งในศูนย์รวมด้านอาหารและเครื่องดื่มจากเชฟฝีมือระดับโลก ทำให้เทศกาลอาหารนานาชาติ หรือ Taste It All @Ratchaprasong ถือเป็นซิกเนเจอร์เฟสติวัล ที่สามารถดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสในรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์จากฝีมือเชฟระดับแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งความพิเศษของปีนี้ ทางสมาคมฯ ได้เชิญโรงแรมและทีรูมชั้นนำในย่านราชประสงค์ ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคม มาร่วมยกระดับความอร่อยด้วยคอนเซ็ปต์ “From Hearts To Table” โดยส่งเชฟฝีมือดีร่วมครีเอทซิกเนเจอร์เมนูประจำซีซั่น และร่วมจัดโปรโมชั่นพิเศษ

ไว้สำหรับให้การต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวและนักชิมจากทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2565 และในปีนี้การจัดงานยังคงได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพันธมิตรทั้ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่งมาร่วมสร้างสรรค์เทศกาลแห่งความอร่อยจากอาหารนานาชาตินำไปสู่ภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ความประทับใจ ที่จะช่วยตอกย้ำถึงความเป็นเดสติเนชั่นแห่งการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอาหารของกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริง”

นางสาวสุภัทรา ลิ้มประภากรชัย หัวหน้างานขาย กรุงเทพฯ จากมูลนิธิโครงการหลวง กล่าวว่า “นับแต่เริ่มสถานการณ์โควิด-19 จนกระทั่งในปี 2022 เทรนด์ของผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะการรับประทานอาหารจากพืช และอาหารเพื่อสุขภาพอื่น ๆ ในกลุ่มซูเปอร์ฟู้ด (Super Food) ซึ่งมี จุดขายในหลายมิติทั้งในแง่คุณค่าทางโภชนาการและความยั่งยืน โดยนอกจากที่ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญในเรื่องของความสด สะอาด รสชาติอร่อยแล้ว ยังใส่ใจกับที่มาของวัตถุดิบตั้งแต่การเพาะปลูก และด้วยกระแสนิยมดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับทุกผลิตภัณฑ์ภายใต้การดูแลของมูลนิธิโครงการหลวง เราจึงได้มีส่วนร่วมในฐานะของผู้คัดสรรผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบจากเกษตรกรไทยบนพื้นที่สูง ที่ให้ความใส่ใจในทุกรายละเอียดของการเพาะปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ สู่อาหารจานอร่อยโดยในช่วงเดือน ตุลาคม – พฤศจิกายน ซึ่งเป็นฤดูกาลปลายฝนต้นหนาวนี้ เรามีวัตถุดิบพืชผลทางการเกษตรมากมายที่น่าสนใจและยังหารับประทานยากไม่ว่าจะเป็น ข้าวดอยซ้อมมือ มะเขือเทศเชอรี่แดง ซูกินี่ เบบี้แครอทอินทรีย์ คอสอินทรีย์ อะโวคาโดแฮสส์ แตงกวาญี่ปุ่น ลูกฟิก ไทม์ และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมส่งมอบผลผลิตเมืองหนาวจากพื้นที่สูงของประเทศไทยสู่ครัวใหญ่กลางกรุง ส่งมอบต่อให้กับเชฟยอดฝีมือจากทุกโรงแรมและร้านอาหารในย่านราชประสงค์ที่มีส่วนร่วมในเทศกาลอาหารนานาชาติประจำปี Taste It All @Ratchaprasong2022 ไปเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษ โดยนักท่องเที่ยวและนักชิมทุกท่านจะได้สัมผัสกับรสชาติของอาหารจากวัตถุดิบตามฤดูกาลที่ทั้งสด สะอาด ปลอดภัยไร้สารพิษ และยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจระดับฐานรากแก่พี่น้องเกษตรกรชาวไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย”

สำหรับไฮไลท์ของเทศกาลอาหารนานาชาติ “Taste It All @Ratchaprasong 2022: The Royal Delights - From Hearts To Table” ที่นักท่องเที่ยวและเหล่านักชิมไม่ควรพลาด คือ 9 เมนูพิเศษเลิศรสด้วยฝีมือการรังสรรค์เมนูจากความใส่ใจทุกรายละเอียดของเซเลบริตี้เชฟจาก 9 โรงแรมและร้านอาหารชั้นนำในย่านราชประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นเมนู น้ำพริกไข่ปูและผักโครงการหลวงแกะสลักและข้าวดอยซ้อมมือ โดย เชฟพร-ธัญญานันท์ อริยศิริรัชต์ จากห้องอาหาร เวนติซี โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พาสต้าหมึกดำคาเวียร์ ไข่หอยเม่นและหอยเชลล์โดย เชฟแก้ว-เกศิณี ดำรงสกุล จากห้องอาหาร วูว์ โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ ปลาเทราต์สีรุ้งทรงเครื่อง โดย เชฟสเตฟาน ฌอง จาก ห้องอาหาร ลา ทาโวลา โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ โพรวองซาล บายัลดี โดย เชฟเดวิด ซีเนียร์ จากห้องอาหาร สปาสโซ่ บิสโทร โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ซี่โครงแกะออสเตรเลียย่าง เสิร์ฟกับบาร์บีคิวกะหล่ำปม และเบบี้แครอทย่าง ราดซอสเกรวี่แกะและสมุนไพรไทม์ โดย เชฟอุทัยรัตน์ อุระพันธมาศ จากห้องอาหาร บูล แอนด์ แบร์ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ข้าวโพดปิ้งเม็กซิกัน โดย เชฟแอรอน คาร์เตอร์ จากห้องอาหาร เบียร์ รีพับบริค โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ กรุงเทพฯ ยำปลาเทราต์ฟูกับผักออแกนิคโครงการหลวง โดย เชฟหมิว -สมฤทัย นิลบรรจง จากห้องอาหารโมโม่ คาเฟ่ โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท

ปลาหิมะอบพร้อมฟองครีมไข่ขาว เสิร์ฟคู่กับควินัวและสลัดโครงการหลวง โดย เชฟผึ้ง-กานต์กมล มงคลมิตร จากห้องอาหารเดอะสแควร์ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ แพลทินัม ประตูน้ำ และชุดน้ำชา Royal Delight High Tea Set โดย คุณตี้ - วรภัทร พรประเสริฐสม จาก ร้าน 1823 ทีเล้าจ์ บาย รอนเนอเฟล จากเกษรวิลเลจ พร้อมสิทธิพิเศษจากบัตรเครติด TTB เฉพาะในเทศกาลอาหารนี้เท่านั้น

CPL ดันบริษัทย่อย “ซีพีแอล เวนเจอร์ พลัส” ผนึกความร่วมมือพันธมิตร ตั้งบริษัทใหม่ “นาว เอนด์ออฟเวสท์” รุกธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องย่อยเศษอาหาร ภายใต้แบรนด์ NOW สอดรับกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่ต้องการลดปริมาณขยะเศษอาหารโดยไม่ก่อมลภาวะเพิ่มเติม นำร่องทดลองใช้เครื่องใน 3 โครงการ ทั้งเซ็นทรัล เวสต์เกต, โครงการคอนโดมิเนียม เดอะแสตรนด์ ทองหล่อ และเดอะ ฟู้ด สคูล แบงคอก โรงเรียนสอนทำอาหารของกลุ่มดุสิตธานี วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม โรงแรม โรงพยาบาล ตลาดสด และอื่นๆ มั่นใจเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลัก สร้างโอกาสเติบโตแบบ New S-Curve

นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CPL เปิดเผยว่า บริษัท ซีพีแอล เวนเจอร์ พลัส จำกัด (CPLV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CPL ถือหุ้น 99.97% ได้เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50% ในบริษัท นาว เอนด์ออฟเวสท์ จำกัด (NOW End of Waste) ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ร่วมกับพันธมิตรอีก 2 ราย เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องย่อยสลายเศษอาหารภายใต้แบรนด์ NOW โดยล่าสุดได้ร่วมงานแสดงเทคโนโลยีในงานสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นที่อิมแพ็คเมืองทองธานี เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี

ทั้งนี้ NOW เป็นเครื่องย่อยสลายเศษอาหารตามแนวคิดลดของเสียในระบบ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะแปรสภาพเศษอาหารเป็นของเหลวด้วยเครื่อง NOW Digester หรือแปรสภาพเศษอาหารเป็นดินด้วยเครื่อง NOW Composter ซึ่งจะช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบและลดภาระเตาเผาขยะ ทำให้เตาเผาขยะสามารถเผาขยะอื่นได้เต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยลดมลภาวะ รวมถึงพาหะนำเชื้อโรคในพื้นที่ใช้งานได้อีกด้วย ซึ่งขณะนี้ บริษัทฯ ได้ทดลองติดเครื่องย่อยสลายเศษอาหารเพื่อใช้งานใน 3 โครงการนำร่อง ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ แสตรนด์ ทองหล่อ ซึ่งใช้ระบบแปรเศษอาหารเป็นของเหลว (NOW Digester) ขณะที่โครงการเดอะ ฟู้ด สคูล แบงคอก โรงเรียนสอนทำอาหารของกลุ่มดุสิตธานี ใช้เครื่องย่อยสลายระบบแปรเศษอาหารเป็นดิน (NOW Composter)

“ที่ผ่านมา ‘ซีพีแอล เวนเจอร์ พลัส’ มองหาโอกาสที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจที่สร้างการเติบโตแบบ New S-Curve ขณะที่ NOW เป็นหนึ่งในธุรกิจที่สอดรับกับกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืน ซึ่งตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เพราะด้วยกลไกการทำงานของเครื่องที่หลังจากเครื่องแปรเศษอาหารเป็นของเหลวแล้ว ของเหลวจะถูกส่งต่อไปยังระบบบำบัดน้ำเสียก่อนจะปล่อยออกสู่ภายนอก ซึ่งจะช่วยลดปัญหาปริมาณขยะและของเสียได้ เช่นเดียวกับการแปรเศษอาหารเป็นดิน สำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่บริษัทฯ มีแผนจะทำตลาดหลังจากนี้ จะประกอบด้วย กลุ่มอาคาร

สำนักงาน คอนโดมิเนียม โรงแรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ศูนย์อาหาร ตลาดสด รวมทั้งเรือเดินสมุทร ซึ่งเรามั่นใจว่า NOW จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างมีศักยภาพในอนาคต” นายภูวสิษฏ์กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CPL กล่าวด้วยว่า มั่นใจว่า ธุรกิจลดของเสีย (Food Waste Management) จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของ CPL ตามหลักของการกระจายการลงทุนและการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ อีกทั้งยังสอดรับกับธุรกิจเซฟตี้โปรดักส์ หรือสินค้าด้านความปลอดภัยของ CPL ซึ่งที่ผ่านมาได้เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีสมาร์ท เซ้นส์ (Smart Sense) เพื่อยกระดับโรงงานต่างๆ ให้เป็น “สมาร์ท แฟคตอรี่” (Smart Factory) รวมถึงการยกระดับเครื่องจักรในโรงงานให้เป็น Machine Safety ซึ่งการพัฒนาธุรกิจใหม่ในรูปแบบที่หลากหลายของ CPL จะเป็นมิติใหม่ทั้งด้านความปลอดภัย และความยั่งยืน

Gala ผู้นำด้านความบันเทิงบน Web 3.0 ระดับโลก ได้ประกาศความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่กับบริษัท Universal Games และ Digital Platforms เพื่อเปิดตัว Trolls VOX จาก DreamWorks Animation ชุด NFT น่าสะสมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์แอนิเมชันชื่อดังเรื่อง Trolls (โทรลล์ส)

Trolls VOX ครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัว VOX คอลเลกชันที่ 4 ของ Gala พร้อมเปิดให้แฟน ๆ ได้ครอบครองกันบน Coinbase NFT ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป

ทำความรู้จัก VOX

VOX เป็นของสะสมดิจิทัล (Digital Collectibles) ในรูปแบบ NFT (Non-Fungible Token) โดยแต่ละชิ้นผ่านกระบวนการ Generate ทำให้มั่นใจได้ว่า VOX ทุกชิ้นจะมีความเฉพาะตัวและมีเพียงชิ้นเดียวในโลก ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบของอวาตาร์ 3D

และเคลื่อนไหวได้ อีกทั้งผู้ถือ VOX เหล่านี้ยังมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์มากมายในอนาคตด้วย รวมไปถึงความสามารถในการเล่นในเมตาเวิร์ส VOXverse ที่กำลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ซึ่งได้รับการออกแบบโดยครีเอเตอร์ในตำนานอย่างคุณ Will Wright และทีมงานจาก Gallium Studios

Trolls VOX เป็น NFT collection จำนวน 8,888 ชิ้น แต่ละชิ้นจะมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และไม่ซ้ำกัน รวมถึงได้แรงบันดาลใจจากตัวละครในภาพยนตร์ เช่น ป๊อปปี้ แบรนช์ กายไดมอนด์ และตัวละครอื่น ๆ ซึ่ง Trolls VOX จะถูกปล่อยออกมาให้แฟน ๆ ของ Trolls จาก DreamWorks Animation รวมถึงสาวก Gala และ VOX ได้ครอบครองกันในรูปแบบของกล่องสุ่ม VOX Box โดยเจ้าของ VOX Box สามารถนำกล่องมาแลกในระบบเพื่อเผยโฉมสิ่งที่อยู่ในกล่องได้ คล้ายการเปิดกล่องสุ่มนั่นเอง

นอกจาก VOX แต่ละชิ้นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว บางชิ้นยังมีความพิเศษที่โดดเด่นกว่าตัวอื่น ๆ เปรียบได้กับตัว Dragon ในคอลเลกชัน Mirandus VOX ของ Gala ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจนทำให้มีราคาขายในตลาดรองสูงถึง 1.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 1 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมดในคอลเลกชัน Trolls VOX มาพร้อมความพิเศษในรูปแบบของ Yarn Snakes

James Olden ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ Gala กล่าวถึงการร่วมมือกับ DreamWorks Animation ในครั้งนี้ว่า “การได้ Trolls ของ DreamWorks Animation เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว VOX จะทำให้คอมมูนิตี้ของเรายินดียิ่งและยังทำให้คนกลุ่มใหม่ได้เข้าถึงความบันเทิงในอนาคต ผ่าน VOX และเมตาเวิร์ส นอกจากนั้น ยังเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นการเติบโตของคอลเลกชันนี้ รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรรายใหญ่อื่น ๆ ในอนาคตด้วย” พร้อมกล่าวปิดท้ายด้วยว่า “เตรียมตัวให้พร้อม อนาคตที่สดใสของ VOXVerse กำลังรอคุณอยู่”

Jim Molinets รองผู้อำนวยการฝ่ายการผลิตของ Universal Games และ Digital Platforms กล่าวว่า “การเปิดตัว Trolls VOX จาก DreamWorks Animation สอดคล้องกับเป้าหมายของเราในการเพิ่มผลงานของ DreamWorks Animation Trolls ในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างออกไป ให้บรรดาแฟน ๆ ได้มีโอกาสเข้าถึงตัวละครที่ชื่นชอบ ทั้งนี้ เมื่อแบรนด์การบันเทิงบรรจบกับ Web 3.0 เราเชื่อว่า Trolls VOX จะเป็นของสะสมดิจิทัลที่ทุกคนอยากได้และมาพร้อมความเป็นไปได้ในการให้ผลตอบแทนกับแฟน ๆ ในระยะยาว”

โลกและแวดล้อมที่ทํางานมีการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โครงสร้างของบริษัทหลายแห่งผันแปรไปตามความต้องการตลาดใหม่ ๆ อันเนื่องมาจากการหยุดชะงักจาก COVID-19 ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่จําเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง และการสร้างสมดุลให้สังคมทํางานที่บุคลากรมีความหลากหลาย ความเสมอภาค ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียว และเป็นที่ยอมรับ ในการรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ เหล่านี้ องค์กรธุรกิจต่างต้องใช้แนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ในการสร้างระบบนิเวศที่สําคัญและยั่งยืนสําหรับพนักงานของตน เพื่อดำเนินการตามกลยุทธ์ทางธุรกิจ

ทาเลนท์ โซลูชันส์ (Talent Solutions) หนึ่งในแบรนด์ของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมโซลูชั่น ด้านแรงงาน จึงได้พัฒนากรอบการทำงาน ด้วยแนวคิดแบบ Net Zero เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถวัดผล พัฒนา และติดตามการปฏิบัติงานของพนักงาน โดยตระหนักว่าองค์กร มีบทบาทอยู่ในขั้นตอนต่าง ๆ บนเส้นทางสู่การพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถอย่างยั่งยืน แนวทางการพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถอย่างยั่งยืน หรือ Talent Sustainability Quotient (TSQ) เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึก รวมทั้งแนวทางแก้ไข เพื่อให้บริษัทและองค์กรตั้งเกณฑ์มาตรฐานในการปฏิบัติงานอย่างยั่งยืน

นางสาวลิลลี่ งามตระกูลพานิช ผู้จัดการประจำประเทศไทย แมนพาวเวอร์กรุ๊ป เปิดเผยว่า “ตลอดระยะกว่า 70 ปี แมนพาวเวอร์กรุ๊ป รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คน ได้อยู่เคียงข้าง และช่วยสร้างมูลค่ามหาศาลให้ผู้คน และองค์กรทั่วโลก ด้วยความเชื่อที่ว่า “พนักงาน หรือ Manpower” คือ พลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ และสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้น ดังนั้นการทำธุรกิจที่ยั่งยืนต้องควบคู่ไปกับการมีความรับผิดชอบต่อสังคม การมีส่วนรวมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายหลักของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ที่นายโจนาส ไพรซ์ซิ่ง (Mr. Jonas Prising) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ร่วมกับกับซีอีโอองค์กรข้ามชาติขนาดใหญ่อีกกว่า 90 ท่าน ลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงผู้นําระดับโลก จดหมายฉบับนี้ให้คํามั่นสัญญาในการเร่งการแข่งขันสู่การลดการปล่อยมลพิษให้เหลือศูนย์ หรือ Net Zero และพร้อมร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าสําหรับผู้คนในปัจจุบันและสําหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป ก่อน COP26 หรือการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ที่จัดขึ้น ณ เมืองกลาสโกว์ในปี 2021 ซึ่งคํามั่นสัญญานี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการที่ธุรกิจทั่วโลกให้ความสําคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม การปกครอง (ESG) มากขึ้น

โดยล่าสุด ทาเลนท์ โซลูชันส์ (Talent Solutions) หนึ่งในแบรนด์ของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการอาชีพ ด้านนวัตกรรมการแก้ปัญหา และกลยุทธ์การสร้างแรงงานคุณภาพแบบครบวงจรระดับโลก ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลตลอดวงจรชีวิตพนักงาน ตั้งแต่ ‘การจัดหา การจัดการ การพัฒนา และการรักษา’ ได้พัฒนากรอบการทำงาน

ที่ช่วยให้ธุรกิจวัดผล ปรับปรุง และติดตามแนวทางปฏิบัติด้านบุคลากรที่มีความสามารถของตน เทียบกับผู้ที่มีความสำคัญต่อการเป็นองค์กรที่เน้นความสามารถ นั้นคือ Talent Sustainability Framework ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเชิงลึก และแนวทางแก้ไขที่จำเป็นในการจัดลำดับความสำคัญ และพัฒนาแผนกลยุทธ์ในการดึงดูด และการบริหารจัดการบุคลากรที่มีความสามารถได้อย่างยั่งยืน และเพื่อเปรียบเทียบแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนของบุคลากรที่มีความสามารถ องค์กรต่าง ๆ สามารถกรอก Talent Sustainability Quotient (TSQ) ที่ได้รับการพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญของ Talent Solutions จากประสบการณ์หลายปีในด้าน Business Intelligence ที่แข็งแกร่งจากการทำงานร่วมกับองค์กรระดับโลก ผนวกกับการทำงานโดยตรงกับลูกค้า องค์ความรู้นี้ถูกรวมเข้ากับฐานหลักฐานในวงกว้างที่นำมาจากการปฏิบัติงานด้านทรัพยากรบุคคล ซึ่งสามารถประเมินประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาใน 3 องค์ประกอบหลัก แต่ละองค์ประกอบมี 6 มิติที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ประกอบด้วย

1. การจัดหาและว่าจ้างผู้มีความสามารถ (Acquiring and Hiring Talent) เพื่อเร่งเวลาในการผลิต 69% ของนายจ้างทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงผู้มีความสามารถที่พวกเขาต้องการได้ ดังนั้น องค์กรจําเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าแนวทางปฏิบัติของแบรนด์ และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้สมัครอย่างราบรื่น ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาโดดเด่น และมีส่วนร่วมกับพนักงานตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย

2. การมีส่วนร่วมและพัฒนาความสามารถ (Engaging and Evolving Talent) เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะสูงขึ้นด้วยต้นทุนที่เหมาะสม The World Economic Forum ประมาณการว่า ‘คน 1,000 ล้านคนจะต้องมีทักษะเพิ่มขึ้นภายในปี 2025’ องค์กรจําเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุคลากรที่บริษัทลงทุนไป ต้องเน้นไปที่บุคคลที่เหมาะสม กล่าวคือ เป็นพนักงานที่ผูกพันกับบริษัท และอยากอยู่ต่อ หากเป็นเช่นนั้น ธุรกิจสามารถส่งเสริมให้คนมีความสามารถอยู่ได้นานขึ้น องค์กรสามารถใช้การพัฒนาอาชีพช่วยให้พนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และประสบความสําเร็จมากขึ้น ตลอดเวลาที่ทํางานกับบริษัท โดยพนักงาน 3 ใน 4 (74%) ที่วางแผนจะอยู่นานกว่า 2 ปีจะได้รับการฝึกอบรมทักษะเชิงอาชีพ

3. ปรับปรุงวัฒนธรรม การจัดการและสร้างความ เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ด้วยการเปลี่ยนแปลงผู้นํา (Improve Culture, Retention and Belonging) ผู้นําทุกคนจะเป็นผู้กําหนดวัฒนธรรมองค์กร งานวิจัย 'What Workers Want' ของ ManpowerGroup แสดงให้เห็นว่าผู้คนต้องการภาคภูมิใจในบทบาท หรือองค์กรที่พวกเขาทํางานให้ เกือบ 9 ใน 10 (86%) ของคนรุ่นมิลเลนเนียลจะพิจารณาลดค่าจ้าง เพื่อทํางานในบริษัทที่มีพันธกิจและค่านิยมสอดคล้องกับตนเอง

ทั้งนี้ ทาเลนท์ โซลูชันส์ (Talent Solutions) มุ่งมั่นที่จะให้คำปรึกษาด้านแรงงาน และการวิเคราะห์กำลังคน ด้วยแนวคิด Net Zero หรือการสร้างบุคลากรที่ยั่งยืน เพราะเชื่อมั่นว่า ‘บุคลากรขององค์กร คือ ทรัพยากรที่มีค่าสุด’ การสร้างคุณภาพชีวิต และพัฒนาทักษะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

กรุงเทพฯ 28 กันยายน 2565 : STA เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้และหุ้นกู้ดิจิทัล อายุ 4 ปี ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” จัดอันดับโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สะท้อนความมั่นคงของธุรกิจจากแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยางธรรมชาติและความต้องการใช้ถุงมือยางที่ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง คาดเสนอขายเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยหุ้นกู้ทั่วไปจองซื้อผ่านธนาคารกสิกรไทย และหุ้นกู้ดิจิทัลจองซื้อผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ของธนาคารกรุงไทย

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้นำในธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ทั่วไป และหุ้นกู้ดิจิทัล โดยหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด มีอายุ 4 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นกู้ฯ ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับผลตอบแทนให้ทราบในภายหลัง ทั้งนี้ หุ้นกู้ฯ และบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 ที่ระดับ “A” แนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยคาดว่าจะเสนอขายในเดือนพฤศจิกายน 2565

ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยางธรรมชาติและความต้องการใช้ถุงมือยางที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ที่ดีขึ้น โดยทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทฯ จะมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งในช่วง 12 - 18 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทฯ มีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 2.7 - 4.4 พันล้านบาทในระหว่างปี 2565 - 2567 ในการนี้ ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทฯ จะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.2 - 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทฯ มีเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 1.75 หมื่นล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท

“บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ STA จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไปเป็นอย่างดี หลังจากก่อนหน้านี้เราประสบความสำเร็จจากการขายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ที่จองซื้อเข้ามาเกินจำนวนที่จัดสรรไว้ สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้ลงทุน ที่มองเห็นโอกาสจากความมั่นคงของกิจการที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ ขณะเดียวกัน การเสนอขายหุ้นกู้ให้กับประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มความหลากหลายในการเข้าถึงการลงทุน ซึ่งจะทำให้การลงทุนในหุ้นกู้สะดวกยิ่งขึ้น” นายวีรสิทธิ์กล่าว

สำหรับช่องทางการจำหน่ายหุ้นกู้ฯ ของ STA ในครั้งนี้ จะแบ่งเป็นหุ้นกู้ทั่วไป เสนอขายผ่านธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และหุ้นกู้ดิจิทัล เสนอขายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 1,000 บาท

ปัจจุบัน บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายยางธรรมชาติแบบครบวงจร (Full Supply Chain) ในหลากหลายประเทศ เริ่มตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ ได้แก่ การทำสวนยางพาราในประเทศไทย ธุรกิจกลางน้ำ ประกอบด้วย การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ ทั้งยางแท่ง (TSR) ยางแผ่นรมควัน (RSS) และน้ำยางข้น (Concentrated Latex) รวมถึงธุรกิจปลายน้ำ ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง และสินค้าสำเร็จรูป อาทิ ท่อไฮดรอลิกแรงดันสูง โดยบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนดอกเบี้ยในระดับต่ำ เนื่องจากได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ในระดับที่แข็งแกร่ง

กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร STA กล่าวด้วยว่า การออกและเสนอขายหุ้นกู้ฯ ของ STA ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการขยายกำลังการผลิตยางแท่ง 140,160 ตันต่อปี ที่โรงงานจังหวัดตรัง คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จและเริ่มทยอยเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนมิถุนายนและเดือนกันยายนปี 2566 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายกำลังการผลิตยางธรรมชาติในปี 2566 เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่แผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายมีปริมาณการขายยางธรรมชาติทุกประเภทรวม 1.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นกว่า 20% จากปีก่อนที่มีปริมาณการขายรวมประมาณ 1.3 ล้านตัน

 

 กันยายน 2565 – ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนสตาร์ทอัพทั่วไทยในกิจกรรม “Microsoft Founders Society” ที่เชิญชวนผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ B2B (Business-to-Business) มาตามติดความเคลื่อนไหวล่าสุดจากไมโครซอฟท์ ต่อยอดจากโครงการ “Microsoft Founders Program for Startups” โครงการสนับสนุนสตาร์ทอัพของไมโครซอฟท์ ที่มุ่งยกระดับสตาร์ทอัพไทย พร้อมช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นมากมาย อาทิ โอกาสในการเข้าถึงเงินทุน ความรู้ความเชี่ยวชาญจากที่ปรึกษามืออาชีพ ตลอดจนข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ เพื่อผลักดันผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพและทีมงานให้เดินหน้าไปได้อย่างเต็มกำลัง ภายใต้ความเชื่อที่ว่าทุกคน ทุกแนวคิด ควรได้รับโอกาสให้สร้างสรรค์และเติบโต พร้อมแนะนำโครงการ Microsoft for Corporate Venture Building และ M12 กองทุน Venture Capital ระดับโลกของไมโครซอฟท์ นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตของสตาร์ทอัพไทยในตลาดโลก ความร่วมมือระหว่างสตาร์ทอัพและหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงมองหาโอกาสในการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเมืองร่วมกันในอนาคต

คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้มองเห็นศักยภาพของสตาร์ทอัพไทยที่จะเข้ามามีบทบาทและเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันสร้างเศรษฐกิจและสังคมในหลายภาคส่วน ดังนั้นเพื่อยกระดับและขับเคลื่อนศักยภาพของสตาร์ทอัพไทยให้เดินหน้าอย่างเต็มกำลังความสามารถ เราจึงขอร่วมเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการผลักดันและส่งเสริมสตาร์ทอัพในประเทศเดินหน้าสร้างสรรค์ธุรกิจไปพร้อมๆ กับเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ด้วยการผสานความรู้ความเชี่ยวชาญ ขยายความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรทางเทคโนโลยี พร้อมมอบโอกาสในการเข้าถึงตลาดร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อปลดล็อคสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”

สตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการ “Microsoft Founders Program for Startups” จะได้รับการสนับสนุนทรัพยากรด้านเทคโนโลยี การเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงสิทธิประโยชน์ในสองด้านหลักๆ ดังต่อไปนี้

· เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนการสรรสร้างนวัตกรรมและดำเนินธุรกิจ

o ได้รับเครดิตสำหรับใช้งานคลาวด์ Azure (มูลค่าตามระดับของสตาร์ทอัพแต่ละราย)

o สามารถใช้งานโซลูชันจากไมโครซอฟท์อย่าง Microsoft 365 Business Standard, Power BI Pro, GitHub Enterprise, Dynamics และ Power Platform เพื่อดำเนินธุรกิจและสร้างสรรค์ผลงานต่อไป

o ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายนักพัฒนาและสตาร์ทอัพของไมโครซอฟท์

o ร่วมเรียนรู้การใช้งาน Azure และสอบรับ certificate ระดับมืออาชีพแบบฟรีๆ

· โอกาสในการเข้าถึงลูกค้าและพัฒนาธุรกิจ พร้อมคำปรึกษาแบบเฉพาะตัว

o ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญของไมโครซอฟท์ 12 ชั่วโมงเต็มในปีแรกที่เข้าร่วมโครงการ

o ได้รับงบการตลาดสูงสุดเป็นมูลค่า 2,000 USD ต่อไตรมาส

o มีโอกาสในการร่วมงานสัมมนาออนไลน์ของไมโครซอฟท์ในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อนำเสนอโซลูชันให้ลูกค้าได้สัมผัส

o โซลูชันที่ผ่านเกณฑ์ด้านความปลอดภัยจะรับตรารับรองในด้านดังกล่าวจากไมโครซอฟท์

o มีโอกาสในการร่วมกันเสนอขายโซลูชันออกสู่ตลาดร่วมกับไมโครซอฟท์และเครือข่ายพันธมิตร

ทางไมโครซอฟท์ยังมี Microsoft for Corporate Venture Building ซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่มุ่งให้การสนับสนุนกลุ่มธุรกิจใหม่ในเครือขององค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งอาจมีคุณสมบัติไม่ตรงกับโครงการสนับสนุนธุรกิจในระดับสตาร์ทอัพ โดยโครงการนี้ให้การสนับสนุนทั้งในเชิงความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี กระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรม การเข้าถึงเครือข่ายพันธมิตร การลงทุน และช่องทางการทำตลาด ซึ่งธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการสนับสนุนมากมาย อาทิ

· เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนการพัฒนาโซลูชัน อย่าง คลาวด์ Azure และ GitHub ตามมาด้วยนวัตกรรมด้านความปลอดภัยอย่าง Azure Confidential Computing ครอบคลุมการใช้งาน หรือแบ่งปันข้อมูลโดยที่เข้ารหัสเพื่อรักษาข้อมูลให้เป็นความลับจากบุคคลภายนอก และอื่นๆ อีกมากมาย

· การดำเนินธุรกิจแบบวันต่อวันด้วยแรงสนับสนุนจากเครือข่ายพาร์ทเนอร์ของไมโครซอฟท์ พร้อมด้วยตัวช่วยอย่าง LinkedIn เพื่อการเฟ้นหาบุคลากร นวัตกรรมด้านความปลอดภัยของไมโครซอฟท์ เพื่อบริหารจัดการอุปกรณ์ต่างๆ ในองค์กร และ Microsoft 365 เพื่อการทำงานเอกสารและติดต่อประสานงาน เป็นต้น

 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการแนะนำ M12 กองทุน Venture Capital ของไมโครซอฟท์ให้กับเหล่าบรรดาสตาร์ทอัพได้รู้จักกัน โดย M12 เฟ้นหาธุรกิจและสตาร์ทอัพเฉพาะในกลุ่ม B2B (Business to Business) หรือ B2B2C (Business to Business to Consumer) ที่มีศักยภาพ เพื่อร่วมลงทุนและสนับสนุนให้เติบโตสู่ตลาดโลก โดยปัจจุบัน M12 มีบริษัทที่ลงทุนไปในพอร์ทโฟลิโอรวมทั้งสิ้น 120 บริษัท ซึ่งในจำนวนนี้ มีสตาร์ทอัพที่เข้าตลาดหลักทรัพย์หรือขายกิจการ (exit) รวมแล้วเกินกว่า 20 ราย และมีสตาร์ทอัพในระดับยูนิคอร์นเกินกว่า 15 ราย ขณะที่ M12 มุ่งลงทุนกับสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยีใน 7 ด้านใหญ่ๆ ได้แก่

1. Vertical Software-as-a-Service เช่น โซลูชัน Fintech, Supply chain หรือ Commerce

2. โครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์

3. ความปลอดภัยและการยืนยันตัวตนในโลกดิจิทัล

4. Web3, Metaverse และเกม

5. DevOps และเครื่องมือเพื่อการพัฒนาซอฟต์แวร์

6. โซลูชันด้านสุขภาพและร่างกาย

7. ระบบอัตโนมัติต่างๆ

การรวมตัวของคอมมูนิตี้สตาร์ทอัพในครั้งนี้ ปิดท้ายด้วยการพูดคุยพิเศษระหว่าง คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในหัวข้อ “อนาคตของสตาร์ทอัพไทยในตลาดโลก” สะท้อนมุมมองการทำงานร่วมกันระหว่างสตาร์ทอัพและหน่วยงานภาครัฐ มองหาโอกาสในการสร้างความร่วมมือร่วมกัน ตลอดจนการดึงดูดสตาร์ทอัพและบุคคลที่มีความสามารถจากทั้งในไทย และทั่วโลกให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเมือง

คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ผู้บริหารต้องมีความชื่อมั่นในเทคโนโลยีว่าจะสามารถแก้ปัญหาเมืองได้ รวมถึงมั่นใจในสตาร์ทอัพว่าจะเข้ามาช่วยได้เช่นกัน ส่วนตัวเชื่อว่า การดิสรัปโมเดลธุรกิจเดิม กับ การสเกล คือหัวใจของการแก้ไขปัญหาเมืองที่แท้จริง เพราะสิ่งเหล่านี้จะเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเมืองอย่างมหาศาล เช่น โครงการนวัตกรรมโรงเรียนของกทม. ที่ตอนนี้มีโรงเรียนกว่า 54 โรงนำร่องเข้าร่วม Sandbox โดยการนำเอา EdTech (Education Technology) เทคโนโลยีการศึกษาเข้าไปช่วยยกระดับการศึกษาให้ทันสมัยและกว้างไกลยิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ขณะที่กรุงเทพมหนครพร้อมเป็น Sandbox ขนาดใหญ่เปิดรับสตาร์ทอัพที่สนใจ มีแนวทางการแก้ไข และแผนงานรองรับเข้ามาพูดคุยและแก้ไขปัญหาเมืองร่วมกัน”

คุณชัชชาติย้ำถึงพื้นฐานในการแก้ปัญหาเมืองของสตาร์ทอัพอีกว่าต้องยึดแนวคิด People Centric หรือมอง

ประชาชนเป็นที่ตั้ง ถือเป็นหลักในการคิดโซลูชันต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้คน ขณะเดียวกันตัวสตาร์ทอัพเองก็ต้องอยู่รอดให้ได้ ซึ่งมีด้วยกัน 3 องค์ประกอบหลัก คือ

1. เทคโนโลยีต้องเป็นไปได้: Technology → Possible

2. ธุรกิจเปลี่ยนแปลงได้: Business → Variable

3. ผู้คนออกแบบการใช้ชีวิตของตัวเองได้: People → Designable

โดยจุดร่วมของทั้ง 3 วงนั้นคือคำตอบในการแก้ไขปัญหาของเมือง ส่วนการดึงดูดคนที่มีความสามารถและศักยภาพ รวมถึงสตาร์ทอัพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพมหานครนั้น สามารถดำเนินการได้ทางอ้อมด้วยการ “สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่” ผ่านนโยบายและกิจกรรมต่างๆ อาทิ ดนตรีในสวนเพื่อสร้างความรู้สึกร่วม (Sense of Belonging) สร้างพื้นที่ให้ผู้คนได้มีกิจกรรมทำร่วมกัน ตลอดจนจัดกิจกรรมให้หลากหลายมากขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เลือกสรรกิจกรรมตามความชอบ และมีกิจกรรมอื่นทำนอกเหนือจากการเดินห้าง เป็นต้น

สตาร์ทอัพที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Microsoft Founders Program for Startups สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.microsoft.com/th-th/smb/isv

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เผยงานวิจัยในกว่า 40 ประเทศ ชี้ช่วงเวลา 2 ปีแห่งความรีบเร่งในการปฏิรูปเข้าสู่ระบบดิจิทัล ผู้นำองค์กรธุรกิจต่างตระหนักอย่างชัดเจนพนักงานคือผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงเดินไปสู่ความสำเร็จ

Dell Technologies Forum 2022 - กรุงเทพฯ ประเทศไทย – วันที่ 29 กันยายน 2565

ข้อมูลไฮไลท์

· ผู้นำองค์กรธุรกิจในประเทศไทย 86% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 90%; ทั่วโลก: 85%) มองว่าบุคลากรคือสินทรัพย์สำคัญที่สุด

· อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารในประเทศไทย 66.5% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 67%; ทั่วโลก: 67%) เชื่อว่าองค์กรของตนมีการประเมินความต้องการด้านบุคลากรต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อมีการวางแผนโครงการต่าง ๆ ด้านการเปลี่ยนแปลง

· พนักงานทั้งหมดในประเทศไทย 74% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 77%; ทั่วโลก: 72%) กล่าวว่าองค์กรตนต้องมอบระบบโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือที่จำเป็นเพื่อให้ทำงานได้อย่างยืดหยุ่น ในแนวทางที่เหมาะสำหรับทุกคน

หลังจากช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาที่องค์กรธุรกิจต่างเร่งปฏิรูปสู่ระบบดิจิทัล ราวครึ่งหนึ่งของผู้นำด้านไอทีในประเทศไทย หรือ 58% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 45%; ทั่วโลก: 50%) กล่าวว่าองค์กรของตนรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างในการปฏิรูปคนทำงานสู่ระบบดิจิทัล แต่หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พนักงานหลายคนกำลังเจอปัญหาท้าทายในการก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องตามการสำรวจครั้งใหม่ของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ มากกว่าสองในสามของผู้ตอบจำนวน 10,500 รายจากกว่า 40 ประเทศ เชื่อว่าองค์กรของตนประเมินต่ำเกินไปในเรื่องการทำให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสมในการวางแผนโปรแกรมการปฏิรูป

ผลสำรวจเน้นให้เห็นว่าช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้บรรดาองค์กรธุรกิจและคนทำงานต้องการเวลาในการปรับตัว เตรียมใจ ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการตามโครงการใหม่หรือโครงการที่หยิบมาทำซ้ำ แม้ว่าช่วงสองสามปีที่ผ่านมาจะเห็นถึงความมุ่งมั่นพยายามและความก้าวหน้าอย่างมากก็ตาม โดยผลวิจัยเน้นว่ายังคงมีแนวโน้มว่าการปฏิรูปจะเกิดการสะดุด โดยผู้ตอบในประเทศไทย 69% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 72%; ทั่วโลก: 64%) เชื่อว่าการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจากคนในองค์กรอาจทำให้การปฏิรูปไม่ประสบผลสำเร็จ กว่าครึ่งของผู้ตอบในประเทศไทยจำนวน 54% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 62%; ทั่วโลก: 53%) กลัวว่าจะตัวเองจะถูกปิดกั้นจากความก้าวหน้าของโลกดิจิทัล เนื่องจากขาดผู้ที่มีอำนาจ/มีวิสัยทัศน์ที่เหมาะสมจะนำโอกาสมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และเรื่องนี้ก็ทำให้โมเดล As-a-Service กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลายธุรกิจ

“ในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นและเหมาะสมสำหรับทุกคน เราต้องเข้าใจก่อนว่าความสำเร็จทางธุรกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานนั้นคือสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก การวิจัยล่าสุดของเราแสดงให้เห็นว่าการปฏิรูปสู่ดิจิทัลที่ให้ความยั่งยืน

เกิดขึ้นจากการมาบรรจบกันระหว่างคนและเทคโนโลยี การจะบรรลุความก้าวหน้าครั้งสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรต่างๆ ควรพิจารณาแนวทางใน 3 แง่มุมด้วยกัน ประการแรกคือมอบประสบการณ์การทำงานที่ต่อเนื่องและปลอดภัยให้กับพนักงาน ไม่ได้กำหนดว่าทำงานจากที่ไหน ประการที่สอง ช่วยขับเคลื่อนผลลัพธ์ของงานด้วยการนำเครื่องมือด้านเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มความสามารถให้กับคนเพื่อช่วยให้พนักงานมุ่งเน้นกับงานที่ทำได้ดีที่สุด ประการสุดท้ายคือการสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานด้วยวัฒนธรรมการทำงานที่เข้าอกเข้าใจรวมถึงความเป็นผู้นำที่แท้จริง” อามิต มิธา ประธาน เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น และGlobal Digital Cities เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว

“องค์กรส่วนใหญ่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ตระหนักดีถึงความจำเป็นในการปฏิรูปทางดิจิทัล แต่พวกเขาพบว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลนั้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก และบุคลากรที่อยู่ในองค์กรก็ไม่ได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเสมอไป ความขัดแย้งระหว่างเทคโนโลยีกับมนุษย์นี้ประกอบกันขึ้นมาเพียงจากการแพร่ระบาดของโรค ทำให้สุดท้ายแล้วเราต้องเข้าสู่การทำให้ธุรกิจความสามารถตอบสนองต่อวิกฤติได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายๆ คนอ่อนแรงไปไม่ใช่น้อย” ฐิตพล บุญประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหม่ประจำประเทศไทย เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าวเสริม “วันนี้ องค์กรธุรกิจที่ปรารถนาความสำเร็จอย่างยั่งยืนต้องถามตัวเองว่าพวกเขาจะสามารถช่วยพนักงานของตนนำทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นต่อไปได้อย่างไร”

ปัจจุบัน นับเป็นช่วงเวลาที่องค์กรจะต้องประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะเริ่มโครงการใหม่ในการปฏิรูปสู่ดิจิทัล เพื่อให้มั่นใจว่าคนทำงานจะได้รับการสนับสนุนและมีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินงานในขั้นตอนถัดไป

เปรียบเทียบเพื่อประเมินความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล

เดลล์และผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านพฤติกรรมได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการสำรวจความพอใจในการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลของผู้เข้ารับการสำรวจ และพบว่าคนทำงานในประเทศไทย 30% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 7%; ทั่วโลก: 10%) ตั้งแต่ผู้นำธุรกิจระดับอาวุโส ตลอดจนผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีและพนักงาน กำลังดำเนินการตามโครงการปรับปรุงความทันสมัยให้กับองค์กร จำนวนน้อยกว่าครึ่งของคนทำงานในประเทศไทย 19% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 46%; ทั่วโลก: 42%) ตอบรับการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ หรือยังลังเลอยู่

การศึกษาที่กำหนดเส้นทางข้างหน้า ส่งสัญญาณบ่งบอกถึงโอกาสสำหรับภาคธุรกิจในการมุ่งเน้นและก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยมีความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นจากการบรรจบกันของคนและเทคโนโลยีในสามส่วนด้วยกัน

1. การเชื่อมต่อ

ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องของการเชื่อมต่อ การประสานความร่วมมือและการทำธุรกิจออนไลน์ในช่วงของการแพร่ระบาด แต่นับว่ายังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์

ผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทย 2% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 78%; ทั่วโลก: 72%) บอกว่าอยากให้องค์กรของตนมอบระบบโครงสร้างและเครื่องมือที่จำเป็นที่ช่วยให้ทำงานได้จากทุกที่ (พร้อมให้อิสระในการเลือกรูปแบบการทำงานได้ตามต้องการ) ในความเป็นจริง คนเหล่านี้ต่างกังวลว่าพนักงานของตนจะถูกทิ้งอยู่ข้างหลังเนื่องจากไม่มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมในเวลาที่เปลี่ยนไปใช้รูปแบบการทำงานแบบกระจายศูนย์ (ซึ่งการทำงานและการประมวลผลไม่ได้ผูกกับส่วนกลาง แต่เกิดขึ้นได้ทุกที่)

ลำพังแค่เทคโนโลยีอย่างเดียวนับว่าไม่พอ องค์กรธุรกิจต้องทำให้งานเป็นเรื่องที่เสมอภาคสำหรับคนที่มีความต้องการต่างกัน มีความสนใจและความรับผิดชอบต่างกัน รวมถึง ประเทศไทย 86% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 78%; ทั่วโลก: 76%) ของพนักงานอยากให้องค์กรของตนดำเนินการในเรื่องต่อไปนี้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

· กำหนดความมุ่งมั่นที่ชัดเจนต่อเนื่องเพื่อให้จัดการงานได้อย่างยืดหยุ่นและมีแนวทางปฏิบัติที่ทำได้จริง ประเทศไทย 56% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 46%; ทั่วโลก: 40%)

· เตรียมความพร้อมให้กับผู้นำในการบริหารจัดการทีมงานจากระยะไกลได้อย่างทัดเทียมและมีประสิทธิภาพ ประเทศไทย 65% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 45%; ทั่วโลก: 43%)

· ให้อำนาจแก่พนักงานในการเลือกรูปแบบการทำงานได้ตามต้องการและมอบเครื่องมือ/ระบบโครงสร้างที่จำเป็น ประเทศไทย 51% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 47%; ทั่วโลก: 44%)

2. ผลลัพธ์ของงาน

เวลาของคนทำงานนั้นมีอยู่อย่างจำกัด และปัจจุบันผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะกับบทบาทการทำงานที่เปิดกว้างนั้นมีอยู่ แค่ไม่กี่คน ในการรับมือกับข้อจำกัดเหล่านี้ องค์กรธุรกิจสามารถมอบหมายงานที่ต้องทำซ้ำให้เป็นเรื่องของกระบวนการดำเนินงานแบบอัตโนมัติ และทำให้บุคลากรมีเวลาเพื่อมุ่งเน้นการทำงานที่สร้างคุณค่าได้มากขึ้น

ปัจจุบัน คนทำงานในประเทศไทย 32% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 32%; ทั่วโลก: 37%) บอกว่างานของตนได้รับการส่งเสริมและไม่จำเจ การที่มีโอกาสเปลี่ยนงานที่ต้องทำซ้ำๆ ให้เป็นระบบอัตโนมัติได้มากขึ้น ทำให้พนักงานในประเทศไทย

73% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น:74%; ทั่วโลก: 69%) มุ่งหวังว่าจะเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะใหม่ เช่นทักษะด้านความเป็นผู้นำ หลักสูตรด้านแมชชีนเลิร์นนิ่ง หรือมุ่งเน้นที่โอกาสในเชิงกลยุทธ์มากขึ้นเพื่อต่อยอดหน้าที่การงาน

อย่างไรก็ตาม บรรดาธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัดมีความกังวลว่าจะไม่สามารถพัฒนาคนทำงานให้มีความก้าวหน้าและแข่งขันได้

3. การเข้าอกเข้าใจ

หัวใจสำคัญ คือองค์กรธุรกิจต้องสร้างวัฒนธรรมที่มีแบบอย่างมาจากผู้นำที่มีความเข้าอกเข้าใจและดูแลพนักงานเสมือนเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญที่สุดที่ให้ความคิดสร้างสรรค์และคุณค่าแก่องค์กร

งานวิจัยชิ้นนี้ แสดงให้เห็นว่ามีงานที่ต้องทำและใช้ความเข้าอกเข้าใจในการตัดสินใจ จากการลดความซับซ้อนของเทคโนโลยีลงเกือบครึ่งหนึ่งของคน หรือในประเทศไทยราว 73% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 52%; ทั่วโลก: 49%) คนมักจะรู้สึกว่าโดนครอบงำด้วยเทคโนโลยีที่ซับซ้อน เพื่อให้โปรแกรมการเปลี่ยนแปลงนั้นตรงกับทักษะเฉพาะตัวของแต่ละคน โดย ประเทศไทย 73% (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น: 50%; ทั่วโลก: 41%) ของพนักงานเชื่อว่าผู้นำของตัวเองจะทำแบบนี้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม อ่านงานวิจัยของเราได้ที่ www.dell.com/breakthrough

รูปแบบ วิธีการดำเนินการวิจัย

งานภาคสนามดำเนินการโดยบริษัทวิจัยตลาดแวนสัน บอร์น (Vanson Bourne) ตั้งแต่เดือนสิงหาคม - ตุลาคม 2564 ครอบคลุมกว่า 40 แห่งในทุกภูมิภาคทั่วโลก

ฐานการทำวิจัย: เดลล์ เทคโนโลยีส์ ได้ทำการสำรวจกับผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจระดับสูง 10,500 คน ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที และพนักงานที่มีความรู้ (พนักงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสู่ดิจิทัล) ในกว่า 40 ประเทศ โดยในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ได้มีการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถาม 2,900 คนจาก 11 แห่ง สำหรับในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ประเทศไทย และเวียดนาม โดยในประเทศไทยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 200 คน

ในการต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ในการประชุมครั้งล่าสุดในเดือนกันยายน ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นมาทั้งหมดร้อยละ 3 ตั้งแต่ต้นปี 2565 อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้นส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายและส่งผลกระทบต่อผลกำไรที่ลดลงของธุรกิจจำนวนมาก ท่ามกลางสถานการณ์ของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น นายยุทธชัย เตยะราชกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนสามารถใช้ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้

หลังจากขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 75 bps หรือร้อยละ 0.75 เป็นครั้งที่สามจากการขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวว่า “เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อโดยไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 3 ถึงร้อยละ 3.25 ซึ่งถือเป็นการคุมเข้มทางการเงินครั้งรุนแรงที่สุดของเฟดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980”

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เรียกได้ว่าเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค จากข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาสสอง มีรายงานว่าลดลงร้อยละ 0.9 GDP และลดลงร้อยละ 1.6 ในไตรมาสแรก ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส ในมุมมองของธนาคารยูโอบีคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว ตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบตื้น (Shallow recession) เนื่องจากงบดุลของภาคครัวเรือนยังแข็งแรง และหนี้สินที่ยังไม่มากเกินไป การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจไม่รุนแรง สิ่งสำคัญที่สุดคือเราอยู่ในช่วงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจพร้อมกับการเติบโตที่ชะลอตัวลง และถึงเวลาที่เราต้องเตรียมรับมือ และกลยุทธ์การลงทุนเมื่อธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้แก่

ลงทุนอย่างต่อเนื่องพร้อมตระหนักถึงเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้

ขั้นตอนแรกในการลงทุนคือการทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ของการลงทุน กำหนดระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ และประเภทผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยง การมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนสามารถช่วยกำหนดกรอบเวลาการลงทุน และทราบถึงระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถทนต่อความผันผวนของการลงทุน

กระจายแหล่งรายได้ด้วยสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น ตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ, หุ้นปันผล และสินทรัพย์ที่แท้จริง เช่น อสังหาริมทรัพย์

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ เราคิดว่าตราสารหนี้คุณภาพสูงที่มีการจัดอันดับ BBB ขึ้นไปและออกโดยบริษัทที่มีพื้นฐานที่ดี มีอัตราการกู้ยืมต่ำ และมีแหล่งรายได้จากหลากหลายช่องทางเป็นตัวเลือกที่ดี บริษัทเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีสถานะกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง มีความสามารถในการชำระคืนที่ดีและให้รายได้ที่มั่นคงสำหรับนักลงทุน สินทรัพย์ประเภท อสังหาริมทรัพย์ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ที่ดิน และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นวิธีการในการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ให้กับนักลงทุน ดังนั้นนักลงทุนสามารถพิจารณาสินทรัพย์เหล่านี้นอกเหนือจากตราสารหนี้และตราสารทุนทั่วไปเพื่อเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้

ลงทุนเพื่อรับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างในระยะยาว และภูมิภาคที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวเพื่อโอกาสในการเติบโต

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนในระยะสั้น เช่น การระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ หรือความตึงเครียด ความขัดแย้งทางการเมือง นักลงทุนยังสามารถมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในโครงสร้างระยะยาวที่มีเสถียรภาพในการเติบโต เราขอแนะนำสามเมกะเทรนด์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปัจจุบันและเป็นพลังขับเคลื่อนโลกแห่งอนาคต

เครื่องมือแห่งอนาคต – เครื่องมือแห่งอนาคตประกอบด้วยการพัฒนาพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเทคโนโลยีที่เร่งการเติบโตของธุรกิจและขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจโลก นักลงทุนสามารถพิจารณาลงทุนในเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน ตลอดจนบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการนำระบบ AI มาใช้

การบริโภคแห่งอนาคต - การเปลี่ยนแปลงทางประชากรนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลต่อรูปแบบการใช้จ่ายของคนในรุ่นต่างๆ ปริมาณชนชั้นกลางที่มีความมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาจะนำไปสู่ความต้องการสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน บางประเทศกำลังเผชิญกับประชากรสูงอายุ ซึ่งหมายความว่าจะมีการใช้จ่ายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของคนในรุ่นต่างๆ องค์กรจะต้องปรับกลยุทธ์และลำดับความสำคัญใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นมิลเลนเนียลและเจเนอเรชัน Z ซึ่งเป็นคนยุคดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม นักลงทุนสามารถพิจารณาลงทุนในธุรกิจที่เข้าถึงดิจิทัลอย่างยั่งยืน เพื่อได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคนี้

ผู้นำเศรษฐกิจในอนาคต - การแข่งขันเชิงกลยุทธ์ระหว่างผู้นำเศรษฐกิจที่ทรงอำนาจของศตวรรษนี้ – สหรัฐอเมริกาและจีน – มักจะใช้อิทธิพลเหนือกรอบการกำกับดูแล นโยบายเศรษฐกิจ และการปรับเปลี่ยนตลาดของประเทศอื่นๆ ตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่ของทั้งในสหรัฐอเมริกาและจีน จะสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนในการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในทั้ง 2 ประเทศ

นักลงทุนต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่รับได้ของตนเองและรักษาพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ด้วยหลักการ Risk-First ของธนาคารยูโอบี จะช่วยให้การลงทุนของนักลงทุนราบรื่นขึ้น โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย และเหมาะกับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละราย ก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ ผู้ลงทุนควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่ามีความชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังลงทุนและได้พิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เลือกช้อปสินค้าสุขภาพและความงามสุดคุ้ม แลกรับเครดิตเงินคืน 15% เพียงสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ และใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป (ไม่จำกัดยอดแลกสูงสุดตลอดรายการ) ที่ร้านอีฟแอนด์บอย (EVEANDBOY) ทุกสาขาทั่วประเทศ ช่องทางออนไลน์: www.EVEANDBOY.com และแอปพลิเคชัน EVEANDBOY โดยสมาชิกสามารถส่ง SMS ลงทะเบียนเข้าร่วมรายการได้ที่ 061 384 5000 พิมพ์ EVE เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตร 16 หลักและเครื่องหมาย # ตามด้วยยอดใช้จ่าย หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ktc.promo/eveandboy (ลงทะเบียนรับเครดิตเงินคืนทุกครั้งภายในวันที่มีการใช้จ่ายเท่านั้น) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 - วันที่ 31 ธันวาคม 2565

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือที่เว็บไซต์ www.ktc.co.th สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ได้ที่นี่: http://bit.ly/apply-ktc

“วินด์เซอร์” (WINDSOR) ผู้นำตลาดประตูหน้าต่างไวนิล ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ เอสซีจีซี (SCGC) เปิดตัวนวัตกรรมสินค้ามุ้งไวนิล รุ่น “Pet Friendly” เอาใจคนรักสัตว์เลี้ยง ในงาน Pet Expo 2022 พร้อมชูคุณสมบัติเด่นที่ออกแบบมาเพื่อคนรักสัตว์โดยเฉพาะ ด้วยวัสดุผ้ามุ้งทำจากพอลิเอสเทอร์คุณภาพสูง เคลือบด้วยพีวีซี สามารถทนต่อแรงกดได้ดีกว่ามุ้งไฟเบอร์ทั่วไปถึง 4 เท่า จึงมีความแน่น เหนียว ทนทานต่อแรงขีดข่วนของสัตว์เลี้ยงได้เป็นอย่างดี ตัวกรอบบานผลิตจากไวนิลสูตรพิเศษเช่นเดียวกับประตูหน้าต่างไวนิลวินด์เซอร์ สามารถติดตั้งร่วมกับประตูหน้าต่างวินด์เซอร์เดิมได้โดยไม่ต้องเสริมรางเพิ่ม คงคุณสมบัติทำความสะอาดง่าย ระบายอากาศดี และป้องกันแมลงได้เช่นเดียวกับมุ้งทั่วไป

ผลิตภัณฑ์มุ้งลวดไวนิล รุ่น “Pet Friendly” จึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ เปลี่ยนการอยู่อาศัยร่วมกับเหล่าสัตว์เลี้ยงตัวโปรดให้เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หมดกังวลเรื่องมุ้งลวดชำรุดขาดง่าย แก้ปัญหาได้ตรงจุด งบไม่บานปลาย ให้บรรดาเหล่าน้องหมาแมวสัตว์เลี้ยงแสนรัก ยังคงวิ่งเล่น และสนุกได้เต็มที่อย่างปลอดภัยโดยมุ้งลวดไวนิลยังคงความสวยงามเช่นเดิม นอกจากนี้ มุ้งไวนิล รุ่น “Pet Friendly” ยังสามารถเปลี่ยนและใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างไวนิลสำเร็จรูปวินด์เซอร์ ที่ผลิตจากไวนิลสูตรพิเศษ (WINDSOR Advance Vinyl) ได้ทุกรุ่น ตอบโจทย์ด้วยขนาดที่หลากหลาย ให้เลือกสรรเป็นบ้านสัตว์เลี้ยงได้หลายรูปแบบ อีกหนึ่งทางเลือกเพื่อการอยู่อาศัยของคนรักสัตว์ จากวินด์เซอร์

X

Right Click

No right click