

เพราะลมหายใจคือชีวิต
SCG เน้นย้ำความสำคัญของคุณภาพอากาศที่คนไทยควรได้รับ นำเสนอระบบกำจัดเชื้อโรคในอากาศ SCG Bi-ion ที่ช่วยสร้างอากาศที่สะอาด ปลอดภัยยิ่งขึ้นได้ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบคุณภาพอากาศที่ดีให้กับคนไทย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่กว่า 90% จะใช้ชีวิตภายในอาคาร
คุณวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Service Solution Business เอสซีจี กล่าวว่า “SCG เข้าใจถึงปัญหาด้านคุณภาพอากาศที่คนไทยทุกคนกำลังเผชิญในปัจจุบัน โดยเฉพาะอากาศภายในอาคารที่อาจไม่ได้มาตรฐาน มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคต่างๆ ทั้งแบคทีเรียและไวรัส และเพื่อให้คนไทยและสังคมตระหนักว่า อากาศ คือสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นตัวแปรสำคัญที่สะท้อนคุณภาพชีวิต จึงร่วมขับเคลื่อนการสร้างมาตรฐานอากาศสะอาดปลอดภัย ผ่านแคมเปญ Clean Air Matters ซึ่งได้สร้างสรรค์ผลงานต่างๆ อาทิ ประติมากรรมหน้ากาก “Life and Breath Monument” ที่สร้างขึ้นจากหน้ากากอนามัยที่ไม่ได้มาตรฐานจำนวนกว่า 68,728 ชิ้น เทียบเท่าจำนวนคนไทยที่เสียชีวิตจากโรคระบบทางเดินหายใจ ตั้งแต่ พ.ศ. 2563 – 2565
ต่อเนื่องแคมเปญด้วย “รถกู้อากาศบริสุทธิ์ SCG Bi-ion AIRBULANCE” ที่ติดตั้ง “SCG Bi-ion” ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ เพื่อซับสร้างอากาศภายในรถได้สะอาดปลอดภัยเสมือนอากาศจากใจกลางป่า และสร้างประสบการณ์อากาศสะอาดเคลื่อนที่ไปในหลายๆ พื้นที่ของกรุงเทพฯ
โดยล่าสุดยังปล่อยภาพยนตร์สารคดี “Life and Breath เพราะลมหายใจ...คือชีวิต” เพื่อนำเสนอความสำคัญของอากาศที่มีต่อคนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาชีพพยาบาล ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในฐานะหน้าด่านหลักที่ชีวิตต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โดยภาพยนตร์สารคดี เรื่อง “Life and Breath เพราะลมหายใจ...คือชีวิต” ได้ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของเจ้าหน้าที่พยาบาล ของโรงพยาบาลสระบุรี ถึงวิกฤติ ความเสี่ยง และความรู้สึกของผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโรคโควิด-19 ทั้งนี้สถิติจากกรมควบคุมโรคในปี พศ.2564 ที่ผ่านมา พบว่าบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิดสูงถึง 880 คน โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกจากจะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่จากการต้องกักตัวตามมาตรการกักกันโรคแล้ว เจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้างานก็จะมีความเครียด และล้าจากการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่นับถึงผลกระทบที่มีต่อบุคคลในครอบครัวที่พักอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งก็มีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อจากคนภายในครอบครัวเดียวกันได้
การติดตั้งระบบ SCG Bi-ion ในบริเวณแผนกอายุรกรรมชาย ชั้นที่ 1-3, ห้องฉุกเฉิน และในห้องไอซียูโมดูลาร์ เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อโรค และช่วยสร้างอากาศในพื้นที่ให้สะอาดปลอดภัยจากประสิทธิภาพของระบบ SCG Bi-ion ที่จะปล่อยประจุไอออนไปช่วยกำจัดเชื้อโรคในอากาศ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยนอกจากโรงพยาบาลสระบุรี แล้ว SCG Bi-ion ยังได้ติดตั้งในสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ
· กลุ่มสถานพยาบาล อาทิ โรงพยาบาลโรงพยาบาลจุฬาภรณ์, โรงพยาบาลศิริราช (ตึกอัษฎางค์ – โครงการห้อง ICU), โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลราชพิพัฒน์, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลอภัยภูเบศร์, โรงพยาบาลนครปฐม (ห้องชันสูตรศพ) และร้านขายยากรุงเทพ (101 สาขา) เป็นต้น
· กลุ่มสถาบันการศึกษา อาทิ โรงเรียนเซนต์ดอมินิก, โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย, โรงเรียนอำนวยศิลป์, โรงเรียน
เพลินพัฒนา, โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นต้น
· กลุ่มออฟฟิศสำนักงาน อาทิ อาคารสำนักงานเอสซีจี บางซื่อ, อาคารอับดุลราฮิม, KLOUD by Kbank @ Siamsquare, สำนักงานใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์, Bloomberg Bangkok Office, องค์การเภสัชกรรม (ปทุมธานี), สำนักงานองค์กร UNICEF และอาคาร Bangkok City Tower เป็นต้น
Google ประเทศไทย ประกาศเปิดโครงการ “Samart Skills” ภายใต้ธีม Grow with Google โดยจัดหลักสูตรฝึกอบรมทักษะดิจิทัลพร้อมเข้าทำงาน พร้อมช่วยจับคู่แรงงานกับความต้องการของตลาดแรงงานที่สูง ซึ่งโครงการนี้ Google ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และสถาบันการศึกษาพันธมิตรชั้นนำในประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนและผู้ที่มองหางานในทุกสายอาชีพสามารถเข้าถึงการฝึกอบรมโดยใช้หลักสูตร Google Career Certificates จนเป็นบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลพร้อมเข้าทำงานทันที
หลักสูตรแบ่งออกเป็น 6 สาขาอาชีพ ที่เป็นที่ต้องการขององค์กรในปัจจุบัน โดยเป็นหลักสูตรที่ได้พัฒนาและจะได้รับการฝีกอบรมโดยผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่างๆ ของ Google เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทักษะพื้นฐานผ่านการลงมือปฏิบัติจริง โดยผู้สมัครเรียนไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องมาก่อน และผู้เรียนสามารถจบหลักสูตรได้ภายในเวลา 3-6 เดือน พร้อมใบรับรองทักษะอาชีพ สำหรับนำไปใช้เพื่อสมัครงานในตำแหน่งระดับเริ่มต้นในสายงานดิจิทัล นอกจากนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมโอกาสการจ้างงาน Google ได้จัดตั้งกลุ่มพันธมิตรผู้ว่าจ้างซึ่งประกอบด้วยบริษัทต่างๆ กว่า 30 รายที่ให้การยอมรับคุณวุฒิจากหลักสูตรเหล่านี้และสนใจว่าจ้างผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโครงการ “Samart Skills”
เมื่อปีที่ผ่านมา รายงานของ AlphaBeta ระบุไว้ว่าการเปลี่ยนรูปแบบสู่ระบบดิจิทัลจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ถึง 2.5 ล้านล้านบาทต่อปี (7.95 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในปี 2573 ในขณะที่ 78% ของผู้นำธุรกิจไทยได้วาง กลยุทธ์ดิจิทัลให้เป็นกลยุทธ์หลักเพื่อการเติบโต รวมทั้ง จากรายงานของ World Economic Forum ปี 2563 แสดงให้เห็นว่ามีเพียง 55% ของแรงงานในไทยที่มีความรู้ด้านทักษะดิจิทัลสำหรับการทำงานในอนาคต ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการแก้ปัญหาช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลของประเทศไทย
นายไมค์ จิตติวาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดด้านแบรนด์ของ Google ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “จากรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ e-Conomy SEA Report ที่ Google จัดทำร่วมกับ Temasek และ Bain & Company ในปีที่ผ่านมา ระบุว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเข้าสู่ “ทศวรรษแห่งดิจิทัล” และเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 ในขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยถือเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่สดใสมากที่สุด โดยคาดว่าในปี 2568 มูลค่าสินค้ารวมในเศรษฐกิจดิจิทัล (GMV) จะแตะที่ 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศไทยมีผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มดิจิทัลรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 9 ล้านคน โดยกว่า 67% ของผู้ใช้รายใหม่อาศัยอยู่นอกหัวเมืองหลัก ซึ่งโครงการ “Samart Skills” นี้ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการ Saphan Digital ที่ได้ฝึกอบรมให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไปแล้วกว่า 100,000 ราย รวมทั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าคนไทยจะได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างเท่าเทียมและใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด”
นางศารณีย์ บุญฤทธิ์ธงไชย Country Marketing Manager, Google ประเทศไทย กล่าวว่า
“วันนี้ Google ยินดีที่ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ “Samart Skills” เพื่อให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแบบให้เปล่าแก่นักเรียนระดับอาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษา รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่สนใจ เพื่อเข้าเรียนในหลักสูตรต่างๆ ในโครงการ “Samart Skills” จำนวนทั้งสิ้น 22,000 ราย โดย Google จะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ได้แก่ มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ และสถาบันการอาชีวศึกษากว่า 100 แห่ง รวมทั้งพันธมิตรองค์กรธุรกิจชั้นนำจากภาคเอกชน ได้แก่ เอไอเอส และ ทรู คอร์ปอเรชั่น ในการมอบทุนการศึกษาจำนวนดังกล่าว ซึ่งหลักสูตรการวิเคราะห์ข้อมูล การสนับสนุนด้านไอที การจัดการโครงการ การออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX) และ การตลาดดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ ได้รวบรวมไว้บน Coursera ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการคอร์สเรียนออนไลน์ชั้นนำ นอกจากนี้แล้ว เรายังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการนำหลักสูตรพื้นฐานการประมวลผลแบบคลาวด์ (Cloud Computing) ของ Google (Google Cloud Computing Foundations) ไปให้นักศึกษาของตนเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถทางเทคนิคในด้านการประมวลผลคลาวด์ โดยนักศึกษาที่เข้าเรียนในหลักสูตรนี้จะได้รับป้ายรับรองแบบดิจิทัล (skills badge) นับว่าโครงการนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยปลดล็อคการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมเพื่อตอกย้ำแนวคิด “Leave No Thai Behind” ของเราแล้ว ยังสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไปอย่างมีเสถียรภาพอีกด้วย”
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้เล็งเห็นว่าเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในประเทศเรานั้นมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นนัยยะสำคัญ โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยในปีนี้สูงมากถึง 88% รวมทั้ง จากผลวิจัยของ Google, Temasek และ Bain & Company ได้ระบุว่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยมีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาทในปี 2564 ซึ่งโตกว่าปีที่ผ่านมาถึง 51% และยังคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.9 ล้านล้านบาท ในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างเต็มตัว ส่งผลให้แรงงานที่มีทักษะดิจิทัลเป็นที่ต้องการอย่างมากเพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมในด้านต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ประเทศไทยจะต้องการแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลกว่า 1 ล้านคน ดังนั้น เราจำเป็นต้องรีบพัฒนาแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลชั้นสูงให้เร็วยิ่งขึ้น และวันนี้ ผมรู้สึกยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนอย่าง Google ประเทศไทย เพื่อช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางทักษะด้านดิจิทัล และสร้างเสริมโอกาสให้คนไทยเข้าถึงการศึกษาเพื่อตอบโจทย์อาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาด และผมขอขอบคุณ Google ประเทศไทย ที่ได้สนับสนุนทุนการศึกษาแก่เหล่านิสิต นักศึกษา และคนไทย ในการเพิ่มความรู้และทักษะของตัวเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งยังช่วยจัดหาช่องทางให้ผู้เข้าร่วมโครงการที่สำเร็จการอบรมแล้วสามารถหางานที่เหมาะสมกับพวกเขาได้อีกด้วย”
นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส กล่าวว่า “เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมทำงานกับ Google ในการเสริมทักษะดิจิทัลให้แก่คนไทย จากนโยบายของ AIS ในฐานะ Digital Service Provider ที่มุ่งนำดิจิทัลมาเสริมศักยภาพเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และขีดความสามารถในการประยุกต์ใช้ดิจิทัลของประชาชน คือ 1 ในหมุดหมายนั้น เราจึงขอยืนยันว่า จะร่วมทำหน้าที่ส่งต่อองค์ความรู้จากโครงการ Samart Skills ไปสู่ลูกค้า พนักงาน และคนไทย เพื่อเป็นอีกพลังในการสร้างทักษะดิจิทัลให้สัมฤทธิ์ผลอย่างดีที่สุด”
ดร. ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “กลุ่มทรู มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ Google ประเทศไทย ในโครงการ “Samart Skills” ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของกลุ่มทรูในการนำศักยภาพเทคโนโลยีสื่อสารและดิจิทัลครบวงจรสนับสนุนด้านการศึกษาของไทย เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ให้คนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความรู้ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยผู้สมัครรับทุนการศึกษาของโครงการ “Samart Skills” ผ่าน ทรู ดิจิทัล อคาเดมี จะได้รับโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม สัมมนา และโอกาสฝึกงานจริง รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพิ่มเติมจากกลุ่มทรู ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านดิจิทัลให้คนไทยมีความรู้ความสามารถและมีทักษะดิจิทัลทัดเทียมกับนานาประเทศ และเป็นพลังสำคัญในขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยในยุค 4.0”
ติดตามรายละเอียดโครงการ https://grow.google/intl/ALL_th/samart-skills/
บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) บริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ มุ่งมั่นเดินหน้าวางรากฐานระบบนิเวศด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและโทเคนดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เปิดเวทีสัมมนาใหญ่ “Tokenization Summit 2022” ครั้งแรกของเมืองไทยกับงานด้าน Tokenization ภายใต้แนวคิด Opportunities and Beyond. โดยมีวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรชั้นนำทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ ได้แก่ Deloitte SEA Blockchain Lab, Sygnum, Banking Circle, Baker McKenzie, Market Node, Origin Property, SC Asset, Independent Artist Management, SCB 10X, InnovestX และ Token X ร่วมให้ความรู้ พร้อมแชร์ประสบการณ์ ครอบคลุมเนื้อหาภาพรวมตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2022 เจาะลึกมุมมองเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เข้ามาปฏิวัติแวดวงการเงินการลงทุน ขั้นตอนและเคล็ดลับในการทำ Tokenization ให้ประสบความสำเร็จ พร้อมวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของวงการการเงินดิจิทัลในระดับโครงสร้างพื้นฐาน มุ่งสร้างความรู้ เสริมความเข้าใจแก่กลุ่มผู้ประกอบการ นักลงทุน ตลอดจนภาคธุรกิจไทย ให้สามารถนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้ได้จริง โดย Token X มุ่งหวังให้การจัดงานในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในการวางรากฐานระบบนิเวศด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่งในประเทศไทย พร้อมเพิ่มโอกาสและเสริมศักยภาพในการสร้างการเติบโตรูปแบบใหม่ให้กับภาคธุรกิจรองรับบริบทใหม่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
นางสาวจิตตินันท์ ชาติสีหราช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) กล่าวว่า “Token X นับเป็นหนึ่งในบริษัทยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจที่จะมีส่วนช่วยผลักดันให้ “กลุ่ม
เอสซีบี เอกซ์” สามารถบรรลุพันธกิจได้ตามเป้าหมาย ผ่านการสร้างขีดความสามารถใหม่ทางด้าน Tokenization แบบครบวงจร ควบคู่กับการวางรากฐานระบบนิเวศด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่งในประเทศไทย เราเล็งเห็นถึงความสำคัญของสินทรัพย์ดิจิทัล และ Tokenization ที่จะก้าวมามีบทบาทสำคัญ และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อโลกการเงิน ภาคธุรกิจ รวมถึงระบบเศรษฐกิจแห่งโลกในอนาคต สำหรับงาน “Tokenization Summit 2022” by Token X ภายใต้แนวคิด Opportunities and Beyond. นับเป็นเวทีสัมมนาด้าน Tokenization ครั้งแรกในประเทศไทย โดยเราได้รับเกียรติจากวิทยากรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้าน Digital Asset และประโยชน์ของ Tokenization”
“Token X ในฐานะผู้ให้บริการด้านโทเคนดิจิทัลแบบครบวงจร (End-to-End Tokenization Service) ดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นในการเป็น “Tokenization Success Partner” ร่วมสร้างความสำเร็จให้กับลูกค้าองค์กรชั้นนำของประเทศไทย ผ่านการนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและโทเคนดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนรวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโทเคนดิจิทัล เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูเชื่อมโลกปัจจุบันเข้าสู่โลกการเงินอนาคต เพื่อช่วยให้กลุ่มผู้ประกอบการ นักลงทุน ภาคธุรกิจ ตลอดจนผู้เข้าร่วมงานกว่า 400 คน สามารถนำความรู้ ความเข้าใจ ไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาต่อยอดโอกาสทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ พร้อมช่วยให้สามารถเข้าถึงโอกาสการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัดได้” นางสาวจิตตินันท์ กล่าวเสริม
ไฮไลท์จากงานสัมมนา “Tokenization Summit 2022” by Token X
· ภาพรวมและแนวโน้มตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ เจาะลึกเทรนด์และโอกาสต่างๆ รวมถึงแนวโน้มความน่าจะเป็นของหลักเกณฑ์การกำกับดูแลในระดับมหภาค
· เจาะลึกมุมมองเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2565 ในยุครุ่งเรืองและช่วงตลาดขาลงจากกูรูชั้นนำ วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรค และหนทางการกลับมาสร้างความเชื่อมั่นใหม่อีกครั้ง
· เทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตที่จะเข้ามาปฏิวัติวงการ โดย ธนาคารสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับแห่งแรกในโลก
· เจาะลึก Insight พร้อมแชร์ประสบการณ์ความสำเร็จแบบคลุกวงใน และเคล็ดลับในการทำ Tokenization ให้ได้ผลจากหลากหลายองค์กรชั้นนำ
· เจาะลึกถึงขั้นตอนในการทำ Tokenization สำหรับภาคธุรกิจ ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ ครบทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านการระดมทุน หรือ เน้นการสร้างการมีส่วนร่วมและเสริมแกร่งประสิทธิภาพและความโปร่งใสขององค์กร
· วิสัยทัศน์แห่งอนาคตของวงการการเงินดิจิทัลในระดับโครงสร้างพื้นฐาน
WEH กิจการด้านพลังงานลมขนาดใหญ่ในประเทศไทย สามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ทำกำไร 40-50% ต่อปี วางแผนขยายกำลังการผลิต COD พลังงานลม แตะ 1,500 MW ใน 5 ปี พร้อมประกาศแผนธุรกิจลงทุนเพิ่ม Healthcare & Wellness และธุรกิจใหม่ศักยภาพสูงทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้ 3 ปี 15,000 ล้านบาท เตรียมเสนอขายหุ้นกู้รองรับการขยายธุรกิจ
นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่นเป็นหลัก มุ่งเน้นในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานลม ปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม จำนวนทั้งสิ้น 8 โครงการ ด้วยขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง และบริหารจัดการโรงไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 717 เมกะวัตต์
โครงการทั้งหมดอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทย่อยแต่ละแห่งในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดชัยภูมิ กระแสไฟฟ้าที่กลุ่มบริษัทผลิตได้ทั้งหมดถูกจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (“กฟผ.”) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement: PPA) ซึ่งทุกโครงการได้ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date: COD) ให้กับ กฟผ. เป็นที่เรียบร้อย
โดยที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมเป็นหลัก สามารถรักษาการเติบโตที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากปี 2563 รายได้รวม 9,972 ล้านบาท ปี 2564 รายได้รวม 10,985 ล้านบาท โดยมีความสามารถการทำกำไรอยู่ในระดับ 40-50% ทุกปี และสามารถจ่ายปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในปี 2564 ทุกไตรมาสรวม 30.50 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 5,100 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายไฟฟ้า ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากปริมาณลมลดลงจากปีที่แล้ว ส่วนรายได้อื่นสูงกว่าปีที่แล้ว มาจากกำไรจากเงินลงทุนในระยะสั้นที่ยังไม่รับรู้ 470 ล้านบาท ส่วนในด้านค่าใช้จ่ายต่างๆนั้นลดลง 110 ล้านบาท หรือ 13% และสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ถึง 4,900 ล้านบาท
สำหรับทิศทางในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาส 4 ถือเป็นไฮซีซั่นของทุกปี อีกทั้งได้รับอานิสงส์จากราคาค่าไฟของปี 2565 ที่ปรับสูงขึ้นจากค่า Ft ที่ประกาศจาก EGAT สูงขึ้นประมาณ 6% จากปีก่อน ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ประมาณ 5-7% หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 12,000 ล้านบาท
นายณัฐพศิน กล่าวต่อถึงแผนธุรกิจในช่วง 3-5 ปี ต่อจากนี้ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มยอดกำลังการผลิตรวม COD จากพลังงานลม ให้แตะระดับ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า รวมถึงมองหาโอกาสการลงทุนที่ดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ
“บริษัทวางแผนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า เตรียมความพร้อมยื่นประมูลโครงการพลังงานลม 9 โครงการ กำลังการผลิต 810 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 2 โครงการ กำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ยื่นประมูลได้ในช่วงปลายปี 2565 ด้วยความพร้อมที่บริษัทมีในปัจจุบัน ทั้งด้านเงินทุน จากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง อัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ อีกทั้งความพร้อมทางด้านบุคลากรมากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานทดแทน เชื่อว่าจะส่งผลให้บริษัทสามารถประมูลงานดังกล่าวได้ในสัดส่วนที่เหมาะสม” นายณัฐพศิน กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทเริ่มขยายธุรกิจนอกเหนือจากพลังงานลมไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ด้านสุขภาพและความงาม โดยบริษัทเข้าไปลงทุนในบริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัทธนา พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท)
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนศึกษาธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง อาทิ ประเทศเวียดนาม กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรปตะวันออก สามารถกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตภายใน 3 ปี แตะ 15,000 ล้านบาท
ด้านนางบุษกร กอดำรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทางการเงิน บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH กล่าวว่า จากแผนการดำเนินธุรกิจดังที่กล่าวมา บริษัทจึงเตรียมออกหุ้นกู้ระยะยาวชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 6.75 ต่อปี เสนอขายไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ให้แก่ ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ลงทุนศึกษาความพร้อมการขยายแผนธุรกิจพลังงานและลงทุนในธุรกิจอื่นๆ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
อนึ่ง สำหรับข้อพิพาทต่างๆ ของบริษัทในปัจจุบันเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่ายังอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลหรืออนุญาโตตุลาการ ทั้งข้อพิพาทระหว่างครอบครัวของอดีตกรรมการ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น และกรณีการโอนหุ้นไปยัง Golden Music Limited (“GML”) ปัจจุบันข้อพิพาทนี้อยู่ในขั้นตอนของการนัดพิจารณาเพื่อกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาของกระบวนการพิจารณาคดีทั้งหมด โดยบริษัทฯ คาดว่า ข้อพิพาทดังกล่าวน่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดในช่วงปลายปี 2566
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าข้อพิพาทดังกล่าวไม่กระทบโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โครงสร้างการบริหารและการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากการดำเนินกิจการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานลมภายหลังจากที่
บริษัทในเครือต่าง ๆ ของบริษัทฯ ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว ผู้บริหาร พนักงาน รวมถึงผู้รับจ้างดูแลบำรุงรักษาระบบผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ สามารถดำเนินกิจการดังกล่าวได้ในลักษณะของการเป็นการดำเนินธุรกิจปกติ (Operation) ตามมาตรฐานหรือแนวทางปฏิบัติที่ดีของการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม
ถ้าธุรกิจคุณอยู่ในแวดวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับหนี้ทางเทคนิค (หรือ Technical Debt) ซึ่งการที่เราต้องคอยดูแลรักษาโค้ดที่มีอยู่หรือปรับปรุงแอปพลิเคชันรุ่นเก่านั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาระการทำงานที่เป็นผลมาจากหนี้ทางเทคนิคขององค์กร กล่าวง่าย ๆ ก็คือหนี้ทางเทคนิคหมายถึงการเขียนโค้ดโดยใช้วิธีลัดในอดีต ที่ส่งผลมาถึงอนาคตทำให้คุณต้องแก้ไขอดีตของโค้ดนั้น
ลองจินตนาการดูว่าจะน่าหวั่นใจเพียงใดหากองค์กรต้องรื้อแก้โค้ดบางส่วนที่มีอยู่ และยังต้องทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชันจะทำงานได้ตามที่คาดหวัง และยังต้องศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโค้ด “เก่า” ที่นักพัฒนาคนอื่น ๆ เคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน แค่นึกถึงงานยุ่งยากมากมายที่รออยู่ ก็รู้สึกหมดแรงแล้ว!
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจซึ่งเกิดจากการที่ใช้วิธีลัดและเกิดหนี้ทางเทคนิค:
· ขั้นตอนการพัฒนาช้าลง: ถ้าองค์กรมีหนี้ทางเทคนิคจำนวนมาก เวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในแอปพลิเคชัน ก็จะต้องแก้ไขโค้ดในหลาย ๆ จุด และทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดความล่าช้าในการนำเสนอฟีเจอร์และบริการที่มีประโยชน์แก่ผู้ใช้
· ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนามากขึ้น: การมีแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนและมีสถาปัตยกรรมและรูปแบบโค้ดที่ไม่เหมาะสมทำให้ต้องใช้นักพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญเพิ่มมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาและปรับปรุงแอปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเราทุกคนรู้ดีว่าทุกวันนี้การจ้างนักพัฒนาที่มีทักษะความชำนาญยากแค่ไหน
· งานไอทีที่คั่งค้างมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น: คำร้องขอจากฝั่งธุรกิจค่อย ๆ สะสมคั่งค้างมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทีมพัฒนาไม่สามารถรับมือกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และปัญหานี้กำลังบั่นทอนศักยภาพและความคล่องตัวของธุรกิจในการนำเสนอคุณประโยชน์ การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการรักษาขีดความสามารถด้านการแข่งขันขององค์กร
· เพิ่มความเสี่ยงการเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย: ทางลัดที่ใช้เพื่อให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วอาจก่อให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยตามมา
ดังนั้น องค์กรควรตั้งเป้าขจัดปัญหานี้ให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจำเป็นที่จะต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์ดิจิทัลใหม่ ๆ ให้เร็วกว่าที่เคย ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้ถ้าหากยังมีหนี้ทางเทคนิคค้างอยู่
ทำไมการดำเนินธุรกิจอย่างปลอดหนี้ถึงเป็นเรื่องยาก
ก่อนอื่นเราจะเริ่มจากการตอบคำถามส่วนแรก นั่นคือ การขจัดหนี้ทางเทคนิคเป็นเรื่องยากที่จะทำได้สำเร็จ
นั่นเป็นเพราะว่าหนี้ทางเทคนิคไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการเขียนโค้ดอย่างไม่เหมาะสมและการเลี่ยงใช้แนวทางการพัฒนาที่ถูกต้อง เพื่อให้สามารถนำเสนอแอปออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้นเท่านั้น นั่นเป็นเพียงสาเหตุประการหนึ่ง แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับปรุงการวางแผนให้ดียิ่งขึ้น
ปัญหาก็คือ มีปัจจัยภายในและภายนอกหลายอย่างที่องค์กรไม่สามารถควบคุมได้จนก่อให้เกิดหนี้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น:
1. ทีมที่ขาดความชำนาญ: ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นจากการที่นักพัฒนาอายุงานยังน้อยในทีมอาจไม่ทราบวิธีการปรับใช้แนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม
2. ข้อมูลรายละเอียดไม่เพียงพอและมีการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย: หลายครั้งที่นักพัฒนาต้องสร้างหรือปรับเปลี่ยนแอปที่มีอยู่โดยทั้งที่ยังไม่เข้าใจภาพรวมเกี่ยวกับสิ่งที่ธุรกิจต้องการ
3. ไม่มีการจัดทำเอกสารและการถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างทีมงานต่าง ๆ: เพื่อเร่งดำเนินโครงการ ทีมพัฒนามักข้ามขั้นตอนการจัดทำเอกสาร เพราะคิดว่าตนเองจะยังคงทำงานอยู่ที่เดิมเพื่อดูแลรักษาแอปอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่กลับไม่เป็นเช่นนั้น และผลที่ตามมาก็คือ ทีมงานใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการดูแลและปรับปรุงแก้ไขต่อไม่สามารถเข้าใจบริบทการทำงานของแอปนั้น ๆ โดยรวม และสุดท้ายแล้วก็ทำให้แอปเกิดข้อผิดพลาดเพิ่มมากขึ้น
4. ขาดวิสัยทัศน์: ทีมงานมุ่งเน้นเฉพาะการส่งมอบแอปพลิเคชันตามกรอบเวลาปัจจุบัน โดยไม่ได้นึกถึงการปรับเปลี่ยนในอนาคต ซึ่งการมองการณ์ใกล้เช่นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิธีการออกแบบ รวมไปถึงขีดความสามารถของแอปเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต
5. ความเปลี่ยนแปลงของตลาดที่ไม่อาจคาดการณ์ได้: หนี้ทางเทคนิคยังอาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากทุกสิ่งที่องค์กรธุรกิจไม่เคยรู้มาก่อนเมื่อตอนที่เริ่มต้นสร้างโซลูชั่น และองค์กรก็ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ
ส่วนใหญ่ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นองค์กรจึงควรวางแผนรับมือ
กับคำถามว่า “เราควรตั้งเป้าลดหนี้ทางเทคนิคให้เป็นศูนย์ดีหรือไม่” คำตอบสั้นๆ ก็คือ ไม่
เนื่องจากหนี้ทางเทคนิคที่ไม่สามารถควบคุมได้ย่อมจะส่งผลกระทบต่อความคล่องตัวของธุรกิจและความสามารถในการตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจที่สำคัญ รวมไปถึงการตอบสนองต่อแรงกดดันของตลาด ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เราจะขจัดหนี้ทางเทคนิคให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง
ประเด็นหลักจึงไม่ได้อยู่ที่วิธีการขจัดหนี้ทางเทคนิคให้หมดไป แต่เป็นเรื่องของ ”วิธีการควบคุม” หนี้ทางเทคนิคเพื่อรักษาขีดความสามารถในการตอบสนองความต้องการและความจำเป็นเร่งด่วนของธุรกิจ
เคล็ดลับในการจัดการหนี้ทางเทคนิค
หนทางที่ดีที่สุดก็คือ การรับรู้ถึงการมีอยู่ของหนี้ทางเทคนิคและพยายามควบคุมจัดการหนี้ดังกล่าว วิธีนี้จะช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้รวดเร็วขึ้น ควบคู่ไปกับการควบคุมความเสี่ยงของหนี้ทางเทคนิคและตอบสนองความต้องการทางด้านธุรกิจ
ทีมงานขององค์กรธุรกิจควรดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อปรับปรุงการจัดการหนี้ทางเทคนิคให้ดียิ่งขึ้น:
· ปรึกษาทีมพัฒนาเพื่อกำหนดระดับของหนี้ทางเทคนิคที่องค์กรยอมรับได้ และช่วยให้ทีมงานมีความคล่องตัวในระดับที่เพียงพอเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ
· ประเมินความเสี่ยงของการปล่อยผ่าน “หนี้ทางเทคนิค” บางส่วน เพื่อให้สามารถทำงานได้เสร็จตามกำหนดเวลา
· ประเมินผลกระทบและปัญหายุ่งยากที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องจัดการกับหนี้ทางเทคนิคภายหลัง ด้วยการตั้งคำถามที่เหมาะสม เช่น “หลังจากที่เปิดให้ใช้งานแอปพลิเคชั่นแล้ว จะต้องย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อที่จะแก้ไขโค้ดหรือไม่” หรือ “จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อพาร์ทเนอร์ที่ใช้ API จากระบบของเราหรือไม่”
และอีกหนึ่งคำแนะนำ คือ องค์กรควรหันมาใช้แพลตฟอร์มการพัฒนาที่มีเครื่องมือที่จำเป็นครบครันอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจจัดการหนี้ทางเทคนิคได้ทันทีตั้งแต่วันแรก แพลตฟอร์มที่ว่านี้ก็คือแพลตฟอร์ม Low-Code ซึ่งประกอบด้วยเครื่องมือพัฒนามากมายที่จะช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับอนาคต โดยมีการจัดการหนี้ทางเทคนิคอย่างเป็นระบบภายไว้ในกระบวนการของการพัฒนา
นอกจากนี้ ยังมีความสามารถของ AI ที่จะช่วยให้ผู้บริหารไอทีสามารถตรวจสอบสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อระบุปัญหาที่เกิดขึ้น และช่วยนักพัฒนาดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม พร้อมหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด
บทความโดย เติมศักดิ์ วีรขจรพงษ์ / รองประธานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ OutSystems
-บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) และมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เป็นเวลา 3 ปี ในการวิจัยและพัฒนาโซลูชันระบบอัตโนมัติด้วยผลิตภัณฑ์เดลต้าและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพรังสีอัลตราไวโอเลต-ซี (UV-C)
ภายใต้ข้อตกลง เดลต้าจะสนับสนุนโครงการเดลต้า ออโตเมชั่น อะคาเดมี (Delta Automation Academy) ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อพัฒนาทักษะของนักศึกษาในด้านวิทยาการหุ่นยนต์, ระบบอัตโนมัติ, IoT, อิเล็กทรอนิกส์ และพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่ห้องแล็บระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมของเดลต้า (Delta Industrial Automation Lab) นายแจ็คกี้ จาง ประธานบริษัทเดลต้า ประเทศไทย และ ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมลงนาม MOU ดังกล่าว พร้อมมอบเกียรติบัตรและรางวัลแก่ทีมนักศึกษา Gaia จากมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขัน Delta Cup ประจำปี 2565 จากการนำเสนอโครงงาน Carbon Polymerizing System ระบบจุลินทรีย์อัตโนมัติที่สามารถเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นพลาสติกที่ย่อยสลายทางชีวภาพที่เรียกว่า Polyhydroxybutyrate (PHB) โดยสามารถย่อยสลายได้ถึง 90% ภายในเวลา 10 วันโดยไม่ทิ้งเศษเมื่อสิ้นสุดวงจรชีวิตของมัน โดยโครงงานทดลอง Carbon Polymerizing System Project ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ระบบอัตโนมัติของเดลต้า ดังต่อไปนี้:
· อุปกรณ์ควบคุมระบบ AS200 PLC 1 ตัว
· ระบบ DIAView SCADA
· ซอฟต์แวร์ DIACloud
· หุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะ DRV70L 1 ตัว
· AC มอเตอร์ไดรฟ์ ASDA-A3 5 ตัว
· เซอร์โวมอเตอร์ ECMA-C20401SS AC กำลังไฟ 400W 5 ตัว
· วาล์วควบคุม 3 ตัว
· ปั๊ม 1 ตัว
· มิเตอร์วัดพลังงานไฟฟ้า DPM-C530 1 ตัว
ในการร่วมมือครั้งนี้ เดลต้าจะสนับสนุนชุดฝึกอบรมระบบอัตโนมัติขั้นสูงและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อฝึกอบรมที่ Delta Industrial Automation Lab
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมของเดลต้าจะจัดหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับคณาจารย์เกี่ยวกับอุปกรณ์ควบคุมระบบ (PLC), หน้าจอสัมผัสรับ-ส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเครื่องจักร (HMI), อุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ (VFD) รวมถึง เซอร์โวมอเตอร์/ไดรฟ์ และการรวมระบบ
โดยก่อนหน้านี้ เดลต้าและมหาวิทยาลัยมหิดลได้ร่วมมือกันเพื่อเฟ้นหาและพัฒนาผู้มีความสามารถด้านวิศวกรรมระบบอัตโนมัติ โดยการบันทึกข้อตกลงนี้ ถือเป็นก้าวใหม่ที่ทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลอยู่ในรายชื่อพันธมิตรของสถาบัน Delta Automation Academy ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือและธนบุรี
นอกจากนี้ การลงนามบันทึกข้อตกลงนี้ จะช่วยให้นักศึกษาและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมหิดลมีโอกาสพัฒนาโครงการนวัตกรรมที่สอดคล้องกับธุรกิจระบบอัตโนมัติและพลังงานสีเขียวของเดลต้าให้เป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่งาน Delta Angel Fund สำหรับสตาร์ทอัพประจำปีอีกด้วย โดยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 เดลต้าและกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดตั้งกองทุน Angel Fund ที่มุ่งพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถในประเทศไทย และบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ตอัปเพื่อสนับสนุนแผนพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0
นายแจ็คกี้ จาง กล่าวในพิธีว่า “เดลต้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเริ่มต้นความร่วมมือบทใหม่กับมหาวิทยาลัยมหิดล ในขณะที่เรายังคงบุกเบิกการพัฒนาการศึกษาด้านระบบอัตโนมัติซึ่งสนับสนุนแผนการพัฒนาประเทศไทย 4.0 อย่างต่อเนื่อง เรามุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของภาคการผลิตในท้องถิ่น และยกระดับมูลค่าของประเทศไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก” โครงการ เดลต้า ออโตเมชัน อะคาเดมี ได้ให้การฝึกอบรมแก่นักศึกษาวิศวกรรมไทยกว่า 1,000 คน รวมถึงบุคลากรระดับแนวหน้าซึ่งได้รับรางวัลจากการแข่งขัน Delta Advanced Automation Competition ระดับนานาชาติหรือ Delta Cup ที่จัดขึ้นทุกปีระหว่างทีมนักศึกษาวิศวกรรมชั้นยอดจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไต้หวัน จีน อินเดีย และ ยุโรป"
นางประณยา นิถานานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เคทีซีได้จัดโปรโมชันสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ต้อนรับมหกรรม Shopee 10.10 Brands Festival แบรนด์ดัง ปังเต็มสิบ รับส่วนลดสูงสุด 650 บาท เมื่อช้อปผ่านแอปฯ Shopee (ช้อปปี้) 9,999 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 – 10 ตุลาคม 2565 (เริ่มเที่ยงคืน) โดยระบุโค้ดส่วนลด 1010KTCINSTALL เฉพาะการผ่อนชำระ รับส่วนลด 500 บาท เมื่อซื้อขั้นต่ำ 7,500 บาทต่อรายการ และระบุโค้ดส่วนลด KTCDOUBLE500 รับส่วนลด 200 บาท เมื่อซื้อขั้นต่ำ 1,499 บาทต่อรายการ และระบุโค้ดส่วนลด 1010SPKTC วันที่ 10 ตุลาคม 2565 (เริ่มเที่ยงคืน) โดยสมาชิกสามารถกดเก็บโค้ดได้ที่แอปช้อปปี้ ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/shopee”
“สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซียังสามารถรับความคุ้มค่ายิ่งขึ้น ด้วยการใช้คะแนนเท่ายอดซื้อต่อรายการ พร้อมลงทะเบียนตามเงื่อนไขที่กำหนดผ่าน www.ktc.co.th/shoponline เพื่อแลกรับเครดิตเงินคืน 10% พร้อมคะแนน KTC FOREVER สูงสุด 10 เท่า ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2565 – 31 มกราคม 2566 สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภทคลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC Phone โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ”
สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ครัวเรือน นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำในสังคมที่นับวันมีแนวโน้มสูงขึ้น “เอสซีจี” จึงเดินหน้าลดปัญหานี้อย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero 2050 – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเชื่อมั่น โปร่งใส) เพื่อสร้างโอกาสให้ชุมชนมีอาชีพและรายได้ด้วยการอบรมให้ความรู้ ผ่านโครงการ “พลังชุมชน” หลักสูตร Mini MBA สำหรับชุมชน ปัจจุบันมีผู้คนที่สามารถสร้างอาชีพแล้วกว่า 450 คน 850 ผลิตภัณฑ์ เกิดการจ้างงานกว่า 1,800 คน และส่งต่อความรู้มากกว่า 10,200 คน เป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง ล่าสุดจัดงาน “พลังชุมชน คนบันดาลใจ” ชวน 4 ชุมชนต้นแบบ มาร่วมกันส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ นำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต
ปาฐกถาพิเศษฝากข้อคิดและคาถาแก้จน
ภายในงานได้จัดปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “อยู่รอด เติบโต ด้วยคุณธรรม” โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานคณะกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี ที่ให้ข้อคิดว่า ทุกปัญหา อุปสรรคเอาชนะได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อยู่อย่างแบ่งปัน และมีน้ำใจต่อกัน ซึ่งโครงการพลังชุมชนประสบความสำเร็จในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจแล้ว จึงอยากเพิ่มอีกมิติ คือ มิติจิตวิญญาณของความเป็นไทย นั่นคือ เราเป็นพี่น้องกัน ต้องมีน้ำใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน
“ขอชื่นชมโครงการพลังชุมชน อยากให้เดินหน้าต่อไป เพราะประเทศไทยมีคนจนและคนเปราะบางอีกมากที่ต้องการให้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ สิ่งที่ช่วยแก้จนมีสองเรื่องคือ หนึ่ง ต้องรู้จริง ไม่ว่าทำอาชีพอะไร ก็ต้องเอาเทคโนโลยีและความรู้เกี่ยวกับอาชีพนั้นที่ทันสมัยที่สุดไปให้กับผู้ประกอบการ สอง เรื่องการบริหารจัดการ การสร้างเครือข่าย การประสบความสำเร็จต้องพัฒนาตลอดเวลา เราจะนำหน้าคู่แข่งเสมอ และผลิตภัณฑ์ต้องไม่ทำเหมือนเดิม ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เรื่อย ๆ และเมื่อผลิตได้แล้ว ต้องถามตัวเองว่าเอาไปขายใคร ตลาดอยู่ที่ไหน” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม กล่าว
“แรงบันดาลใจ” สร้างจากสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว
เปิดเวทีส่งต่อแรงบันดาลใจ โดย “เกศรินทร์ กลิ่นฟุ้ง” หรือ หนิง คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ค้าขนมภายใต้แบรนด์ แม่หนิงภูดอย จาก จ.ลำปาง ที่เริ่มต้นจากความตั้งใจทำขนมให้ลูกชายกิน เล่าว่า โครงการพลังชุมชน เป็น
อีกจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต โดยนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มาปรับปรุง พัฒนาต่อยอดแปรรูปขนมคุกกี้ไส้สับปะรดให้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างเป็นรูปไก่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของลำปาง ทั้งยังปรับมาตรฐานสินค้าให้ได้รับ อย. และเลือกเป็นเมนูในเวทีประชุม APEC Thailand ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
“พลังชุมชนได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งให้ก้าวเดินอย่างมั่นคงและงดงาม หนิงมุ่งมั่นและพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน พร้อมเปิดรับทุกโอกาสดี ๆ ที่เข้ามา เป้าหมายหรือแรงบันดาลของเราอาจเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ แล้วตั้งใจ พัฒนาฝึกฝน และทำสม่ำเสมอในทุกวัน อาจลำบากหรือเจออุปสรรคบ้าง แต่การทำในสิ่งที่รัก เราจะมีความสุข พร้อมพุ่งชนและแก้ไขปัญหา หนิงเชื่อว่าดอกผลของพยายามสวยงามเสมอ”
“ความรู้” คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
ตามมาด้วย “ยศวัจน์ ผาติพนมรัตน์” สมาชิกโครงการพลังชุมชน จ.อุดรธานี ข้าราชการบำนาญ ที่แบกหนี้หลักล้านกลับบ้านเกิด นำปลามาแปรรูปเป็นปลาส้ม จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เล่าว่า แม้จะลำบาก แต่ไม่เคยท้อ เพราะในความมืดย่อมมีแสงสว่าง ที่สำคัญมีความรู้เป็นกุญแจสำคัญ โครงการพลังชุมชนสอนให้ตัวเองทำในสิ่งที่ถนัด เมื่อลงมือทำโดยใช้เวลาเพียง 1 ปี ก็กลับมามีรายได้อย่างมั่นคง จากแปรูปปลาเป็นปลาส้ม ซึ่งขายได้ 28,800 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 180 บาท จากต้นทุนกิโลกรัมละ 50 บาท อีกทั้งยังขยายเครือข่าย สร้างระบบ สร้างงาน สร้างคน ส่งต่อไปความรู้ ความเชี่ยวชาญไปอีกหลายตำบล
“เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เปิดใจ ยอมรับ พร้อมปรับเปลี่ยน ค้นหาคุณค่าของสิ่งรอบข้างมาสร้างมูลค่า และเป้าหมายต้องชัด ทำตามลำดับขั้นตอน ซึ่งสำคัญที่สุดคือ การลงมือทำ ผมเรียนรู้รายละเอียดของปลาจนนำมาแปรรูปได้ 9 หมวด 50 ผลิตภัณฑ์ มีพันธมิตรอย่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 4 มาให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย จนตกผลึก จากเดิมที่มี 1 ไลน์การผลิต ตอนนี้เพิ่มเป็น 3 ไลน์ พร้อมเป็นสถานที่พัฒนา ระดับอำเภอ และส่งต่อแบ่งปันความรู้ไปให้กับเอสเอ็มอี และธุรกิจขนาดกลางในหลายตำบล”
นำสิ่งรอบตัวมาทดลองคิดค้นเพิ่มมูลค่า
มัจฉา สุดเต้” จาก จ. อุบลราชธานี ผู้พัฒนาก๋วยจั๊บอุบล ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นให้มี 20 รสชาติ เล่าว่า ในช่วงที่ชีวิตเหมือนจะไปต่อไม่ได้ แต่ต้องฮึดสู้เพื่อครอบครัว โครงการพลังชุมชนแนะให้นำสิ่งรอบตัวมาเพิ่มมูลค่า รักในสิ่งที่ทำและทำในสิ่งที่รัก สุดท้ายปิ๊งไอเดียทำก๋วยจั๊บสำเร็จรูป เนื่องจากลูกชายชอบทาน แม้ว่าในอุบล
ฯ จะมีสินค้าอยู่แล้วนับพันแบรนด์ แต่ก็ยังคงทดลองคิดค้นสูตรเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์และมีความแตกต่าง ซึ่งลูกชายการันตีว่าอร่อยมาก จึงเป็นที่มาของก๋วยจั๊บอุบล สูตรมาดามโซ่ รสต้นตำรับ เปิดตลาดในอำเภอน้ำยืน ก่อนบุกทำตลาดออนไลน์ จ้างทำเพจ ยิงโฆษณา จนประสบความสำเร็จ
“เราคิดค้นรสชาติแปลกใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า พร้อมปรับปรุงโรงเรือนตามมาตรฐาน อย. พัฒนาเป็นผู้รับจ้างผลิต มีการเชื่อมโยงเครือข่ายและกระจายรายได้ไปพร้อมกัน จนเกิดผลิตภัณฑ์มาดามโซ่ 20 รสชาติ ได้จับเงินหลักล้านภายใน 6 เดือน ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน แบ่งปันองค์ความรู้ให้ผู้สนใจที่มาเยี่ยมชมโรงงาน อยากให้เอสซีจีสานต่อโครงการพลังชุมชนต่อไป เพราะยังมีหลายชีวิตรอแสงตรงนี้ส่องไปยังพวกเขา”
ค้นหาคุณค่าของตัวเองและความชอบให้เจอ
“อำพร วงค์ษา” หรือ ครูอ้อ ประธานศูนย์หัตถกรรมบ้านงานฝีมือผาหนาม จ. ลำพูน และเจ้าของก๋วยเตี๋ยวลำไยแปรรูป แบรนด์ ไร่วงค์ษา” ที่ลาออกจากการเป็นครูพี่เลี้ยงในโรงเรียนอนุบาลมาดูแลแม่ที่เจ็บป่วย ทำให้ขาดรายได้ประจำและมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งยังแบกภาระหนักเมื่อสามีล้มป่วย และยังรับหน้าที่ดูแลลูก ตนจึงฝึกฝนพัฒนางานฝีมือหัตถกรรมสร้างรายได้เสริม ได้กำลังใจจากพ่อและครอบครัวทำให้ครูอ้อเข้มแข็ง ลุกขึ้นมาค้นหาคุณค่าของตัวเองจนพบว่าชอบอาชีพหัตถกรรม จึงสร้างงานฝีมือและพัฒนาเป็นกลุ่มหัตถกรรมงานฝีมือ เป็นฐานการผลิตส่งต่อออเดอร์ของลูกค้า
“โครงการพลังชุมชนสอนให้พึ่งตนเอง เรานำความรู้มาพัฒนาต่อยอดในหลายเรื่อง เมื่อลำไยราคาตกก็แปรรูปเป็นก๋วยเตี๋ยวลำไย ฝึกฝนทำงานหัตถกรรมไปพร้อมกับดูแลครอบครัว นำความรู้เรื่องการจัดการ มาบริหารงานภายในกลุ่ม เชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างเพื่อขยายฐานการผลิต ทั้งยังเปิดศูนย์เรียนรู้ ให้ชุมชนมีอาชีพ มีงานทำ รู้สึกภูมิใจมากที่ได้มายืนในจุดนี้”
เหล่านี้คือเสียงสะท้อนจาก “คนบันดาลใจ” ที่เป็นเพชรเม็ดงามจากโครงการ “พลังชุมชน” หลักสูตร Mini MBA สนับสนุนโดยเอสซีจี ซึ่งเป็นหลักสูตรอบรมวิสาหกิจชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมพัฒนาศักยภาพให้ชุมชน ด้วยการให้ความรู้คู่คุณธรรม เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิด ให้พึ่งพาตนเอง เช่น สอนหลักการตลาดให้รู้จักลูกค้า แปรรูปผลิตภัณฑ์ให้โดนใจผู้บริโภค สร้างแบรนด์สินค้า และขยายช่องทางจำหน่ายให้หลากหลายอย่างออนไลน์ ช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้เข้มแข็ง เติบโตอย่างยั่งยืน
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดจากการเปิดประเทศที่ทำให้การเดินทางเข้าออกประเทศสะดวกมากขึ้น รวมถึงความต้องการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเพื่อชดเชยจากการที่ถูกจำกัดไว้ก่อนหน้า (Pent Up Demand) ซึ่งส่งผลดีต่อฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญของไทยช่วงครึ่งหลัง 2565 โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2565 จะอยู่ที่ 9.5 ล้านคน จากอานิสงส์ตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้ โดยเฉพาะกลุ่มอาเซียน อินเดีย และตะวันออกกลาง สำหรับปี 2566 ประเมินว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 18.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 46% ของยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 และจะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2566 ขยายตัวได้ 3.7%
ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 เดือนแรกของปีเฉียด 4.4 ล้านคน นำโดยตลาดท่องเที่ยวระยะใกล้
ภาพรวมการท่องเที่ยวทั่วโลกในปี 2565 มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากการผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงและครอบคลุมขึ้น ทำให้หลายประเทศรวมทั้งไทยทยอยผ่อนคลายมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศมาตั้งแต่ช่วงกลางปี ส่งผลให้ความต้องการท่องเที่ยวเพื่อชดเชยที่ถูกจำกัดไว้ก่อนหน้าจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเยือนยังประเทศต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม สูงถึง 4.4 ล้านคน หรือคิดเป็นเกือบ 20% ของจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19
เป็นที่สังเกตว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มาจากประเทศที่ไม่ห่างไกลจากไทยมากนัก เห็นได้จากยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 8 เดือนแรก กว่า 1 ใน 3 เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีพรมแดนติดหรือใกล้กับไทย (เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และลาว) แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางข้ามพรมแดนและการลดค่าธรรมเนียมเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งส่งผลดีต่อการเดินทางเข้าออกผ่านด่านพรมแดนไทยทำได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ การรุกตลาดอินเดียผ่านเวที Roadshow เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาเพื่อชดเชยความไม่แน่นอนในการเปิดประเทศของตลาดจีน รวมถึงการเปิดเส้นทางบินตรงครอบคลุมเมืองรองของอินเดีย ยังหนุนให้นักท่องเที่ยวอินเดียเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากเฉลี่ยเดือนละ 1-2 หมื่นคนช่วงต้นปี เป็น 1.1 แสนคน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวอินเดียกลายเป็นกลุ่มที่ครองส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงเป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย อีกทั้งตลาดตะวันออกกลางซึ่งเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อสูงก็เติบโตได้อย่างโดดเด่น อาทิ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิสราเอล หนุนการเติบโตในแง่ของรายรับจากการท่องเที่ยวอีกด้วย
ทั้งนี้ หากพิจารณาร่วมกับจำนวนเที่ยวบินพาณิชย์ขาเข้าระหว่างประเทศมายังท่าอากาศยานหลัก (สุวรรณภูมิและดอนเมือง) ก็พบว่า เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจาก 3,774 เที่ยวบินในเดือนมกราคม เป็น 7,659 เที่ยวบินในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หรือราว 46.5% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 และคาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความต้องการเดินทางช่วงเทศกาลท่องเที่ยวปลายปี จึงเป็นไปได้ว่าจำนวนเที่ยวบินพาณิชย์ขาเข้าระหว่างประเทศจะแตะ 60% ได้ในช่วงสิ้นปีนี้
ttb analytics ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ดีกว่าคาดที่ 9.5 ล้านคน มองปี 2566 อาจสูงถึง 18.5 ล้านคน
นับตั้งแต่ประกาศปลดล็อกเงื่อนไขให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยผ่านการยกเลิกระบบ Thailand Pass กลายเป็นแรงหนุนสำคัญให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางท่องเที่ยวในไทยสะดวกขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวครึ่งหลังปี 2565 ซึ่งแม้ว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะส่งสัญญาณเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเช่นกัน แต่คาดว่าจะไม่กระทบตัวเลขนักท่องเที่ยวของไทยช่วงปลายปี เนื่องจากพฤติกรรมเที่ยวนอกประเทศภายหลังการเปิดประเทศส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากจุดหมายปลายทางระยะใกล้ (Short Haul Destination) ก่อนในปีนี้ และไทยก็ได้อานิสงส์จากกลุ่มที่มีแนวพรมแดนติดกัน รวมถึงอินเดีย และตะวันออกกลาง เช่นเดียวกับการเปิดประเทศของกลุ่มเอเชียแปซิฟิกที่โดยมากจะเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และฮ่องกง
ดังนั้น ttb analytics จึงประเมินว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยช่วงครึ่งหลังปี 2565 จะอยู่ที่ 7.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกถึง 2.5 เท่า ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งปี 2565 อยู่ที่ 9.5 ล้านคน (จากประมาณการเดิมที่ 7 ล้านคน) สร้างรายได้ราว 4.6 แสนล้านบาท สำหรับปี 2566 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 18.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 46% ของตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2562
อย่างไรก็ดี แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สะท้อนผ่านข้อมูลการเคลื่อนที่ (Google Mobility Data) ในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวได้เริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่ระดับการฟื้นตัวในภาพรวมยังคงต่ำกว่าก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่มาก สะท้อนผ่านดัชนีผลผลิตภาคบริการ (Service Production Index) ในหมวดที่พักแรมและบริการด้านอาหารที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าก่อนวิกฤตราวครึ่งหนึ่ง เนื่องจากสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศที่กลับมาคึกคักได้ในระยะหลังมีแรงหนุนสำคัญจากไทยเที่ยวไทยเป็นหลัก ทำให้ภาพรวมจังหวัดที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงฟื้นตัวได้จำกัด สอดคล้องกับอัตราการเข้าพักแรม (Occupancy Rate) ของภาคใต้ที่เฉลี่ยอยู่ที่เพียง 40% เมื่อเทียบกับอัตราการเข้าพักแรมของภาคเหนือซึ่งพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นหลักที่ 50%
ชี้ธุรกิจโรงแรมปี 2566 ยังเจอความท้าทายอีกมาก แนะปรับตัวเพื่อลดต้นทุน
แม้ธุรกิจโรงแรมที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลักมีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วจากโมเมนตัมการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ ttb analytics มองว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทยจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงปลายปี 2567 ทำให้ธุรกิจโรงแรมยังต้องเผชิญความท้าทายอีกมากในปี 2566 จากการที่นักท่องเที่ยวไทยที่มีกำลังซื้อสูงบางส่วนจะเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาใกล้เคียงกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ก็อาจต้องรอแรงส่งจากกลุ่มหลักอย่างนักท่องเที่ยวจีนที่คาดว่าจะกลับมาเยือนไทยได้เต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
นอกจากนี้ อุปทาน (Supply) ห้องพักโดยรวมก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากอุปทานเดิมที่โรงแรมบางส่วนซึ่งประสบภาวะขาดทุนก่อนหน้านี้จะกลับมาดำเนินกิจการเต็มรูปแบบหลังท่องเที่ยวเริ่มฟื้น ทำให้ห้องพักใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมจากการเปิดตัวโรงแรมของผู้ประกอบการขนาดใหญ่มากกว่า 20 แห่งในปี 2566 หลังจากที่ชะลอการเปิดออกไปในช่วงปิดประเทศ ท่ามกลางการแข่งขันด้านราคาของธุรกิจโรงแรมที่รุนแรงขึ้น เห็นได้จากราคาห้องพักเฉลี่ยทั้งประเทศในปัจจุบันที่ยังต่ำกว่าระดับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ถึงกว่า 30% สวนทางกับต้นทุนค่าแรงและการดำเนินงานที่ปรับสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ฉะนั้น กลยุทธ์สำคัญของธุรกิจโรงแรมจึงหนีไม่พ้นเทรนด์การปรับตัวเพื่อตอบสนองพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป การนำเทคโนโลยีมาใช้และการหันมาเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์มากขึ้น ตลอดจนการมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ เพื่อลดต้นทุนทั้งในส่วนของต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันให้มีความคล่องตัวรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
กรุงเทพฯ : บริษัท อาร์ไอแอล 1996 จำกัด (RIL) ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ เอสซีจีซี (SCGC) ได้รับการรับรองเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco Industrial Estate - World Class (Eco-World Class) ซึ่งเป็นรางวัลระดับสูงสุด จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยในปีนี้ได้รับการรับรองต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อมด้วยหลักบรรษัทภิบาล ตามแนวทาง ESG สะท้อนเจตนารมณ์ในการยกระดับมาตรฐานการจัดการในกระบวนการผลิตสู่มาตรฐานระดับสากล นำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและพลังงานในกระบวนการผลิต ทั้งยังเป็นต้นแบบนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่ให้ความสำคัญด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต การดูแลชุมชน และสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ โดยมีนายนายบุญเอื้อม น้อยเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัทอาร์ไอแอล 1996 จำกัด ในกลุ่มธุรกิจ SCGC และนายสุพัฒน์ สวัสดิ์-ชูโต ผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก (มาบตาพุด) กำกับดูแลนิคมอุตสาหกรรม RIL เป็นตัวแทนรับมอบโล่เกียรติยศพร้อมใบประกาศเกียรติคุณจาก นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในงาน “ECO Innovation Forum 2022: Eco Journey to Carbon Neutrality” ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร
นายบุญเอื้อม น้อยเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ไอแอล 1996 จำกัด ใน SCGC กล่าวว่า “นิคมอุตสาหกรรม RIL ใน SCGC ได้ขับเคลื่อนให้โรงงานทั้งหมดที่ดำเนินธุรกิจอยู่ภายในนิคมฯ ผ่านการรับรองเป็นโรงงานเชิงนิเวศ หรือ Eco Factory 100% โดยร่วมมือกับภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และชุมชน ร่วมกันผลักดันให้เกิดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในจังหวัดระยอง พร้อมทั้งมีการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมตามกรอบแนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน และการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานการจัดการด้านต่าง ๆ เช่น มาตรฐานการจัดการความปลอดภัยในกระบวนการผลิต (Process Safety Management; PSM) การดำเนินงานมาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียวระดับสูงสุด (Green Industry Level 5) รวมทั้งมาตรฐานโรงงานเชิงนิเวศ (Eco Factory) มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในกระบวนการผลิต เป็นต้น จึงทำให้นิคมอุตสาหกรรม RIL ได้รับการ
รับรองจาก กนอ. ให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-World Class ซึ่งเป็นระดับสูงสุดแห่งแรกในประเทศไทย ต่อเนื่องถึง 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน”
ซึ่งโครงการที่มีส่วนสนับสนุนให้นิคมอุตสาหกรรม RIL ได้รับการรับรองเป็น Eco-World Class ในปีนี้ ได้แก่ โครงการด้าน Symbiosis หรือการแลกเปลี่ยนก๊าซเชื้อเพลิงและรีไซเคิลก๊าซเหลือทิ้งระหว่างโรงงานภายในนิคมฯ ทำให้ลดการกำจัดของเสียและเปลี่ยนเป็นมูลค่าเพิ่มได้ในเชิงพาณิชย์ที่เป็นต้นแบบของประเทศ โครงการ Flare Gas Recovery การนำสารไฮโดรคาร์บอนที่ต้องเผาทิ้งนำกลับมาใช้ใหม่ สามารถลด อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 997 ตัน โครงการ Vent Gas Recovery การติดตั้งท่อเพื่อนำก๊าซที่เหลือจากระบบกลับเข้าสู่กระบวนการผลิต สามารถลดการซื้อวัตถุดิบได้ 13,664 ตัน โครงการด้าน Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการนำถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon) ไปฟื้นฟูเพื่อกลับมาใช้ใหม่ ลดปริมาณของเสียที่ต้องกำจัดลงได้จำนวนมาก และโครงการด้าน Eco Community ณ ชุมชนเนินพยอม ในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด จ.ระยอง โดยการส่งเสริมและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในชุมชน การจัดกิจกรรมและการรวมกลุ่มชุมชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งการพัฒนาและส่งเสริมด้านเศรษฐกิจท้องถิ่น ได้แก่ โครงการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ตั้งแต่การผลิต การหาตลาด การช่วยพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และช่วยเพิ่มช่องทางการขายทางออนไลน์ ประเด็นสิ่งแวดล้อม ได้แก่ โครงการคัดแยกขยะและสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ รวมทั้งสนับสนุนธนาคารขยะชุมชนและถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการแยกขยะ และโครงการด้านการดูแลความปลอดภัยในชุมชน ได้แก่ โครงการ The Lifesaver ผู้พิทักษ์ชีวิต เป็นต้น
นอกจากนี้ ภายในงาน ECO Innovation Forum 2022 ยังมีอีก 7 โรงงานในกลุ่มธุรกิจ SCGC ที่ได้รับรางวัล โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ได้แก่ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท มาบตาพุดโอเลฟินส์ จำกัด บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด บริษัท ระยองเทอร์มินัล จำกัด บริษัท ไทยเอ็มเอ็มเอ จำกัด บริษัท ไทยเอ็มเอฟซี จำกัด และบริษัท แกรนด์สยามคอมโพสิต จำกัด และมี 4 โรงงาน ที่ได้รับรางวัลโรงงานสนับสนุนข้อมูลการดำเนินงานพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ได้แก่ บริษัท ไทยโพลิเอททีลีน จำกัด บริษัท มาบตาพุดโอเลฟินส์ จำกัด บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด และ บริษัท ระยองเทอร์มินัล จำกัด เหล่านี้เป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง และการร่วมมือกันก้าวสู่การพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ การรับรองนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) มีด้วยกันทั้งหมด 3 ระดับ ได้แก่ ระดับที่ 1 Eco-Champion ระดับที่ 2 Eco-Excellence และระดับที่ 3 Eco-World Class (ระดับสูงสุด) อีกทั้งยังมีรางวัลโรงงานสนับสนุนข้อมูลการดำเนินงานพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ