

LINE MAN เปิดตัวแคมเปญ “เก็บโค้ดลดเพิ่ม” จัดเต็มโค้ดส่วนลดหลายต่อแบบไม่อั้น ให้คนไทยทั่วประเทศได้อิ่มอร่อยสุดคุ้มได้ทุกมื้อตลอดทั้งวันจากทั้งร้านอาหารชื่อดัง ร้านใหญ่และร้านเล็กใกล้บ้านที่ตบเท้าเข้าร่วมแคมเปญกว่า 50,000 ร้าน พร้อมดันพรีเซ็นเตอร์สาวสวย “ญาญ่า อุรัสยา” ในฐานะตัวแทนของผู้ใช้งานจริง มาสร้างสีสันชวน “กด เก็บ ลดกับญาญ่า” ด้วยโค้ดส่วนลดที่มีให้เก็บทั้งวัน เติมโค้ดเพิ่มทุกชั่วโมงแบบไม่อั้น มอบส่วนลดสูงถึง 60% และสามารถกดเก็บโค้ดลดเพิ่มได้อีกสูงสุดถึง 100 บาทต่อครั้ง นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกด้วยการปรับโฉมแอปพลิเคชันให้ง่ายต่อการเก็บโค้ดส่วนลดมากขึ้นด้วยการรวบรวมทุกโค้ดส่วนลดมาไว้ภายในไอคอน “เก็บโค้ดลดเพิ่ม” ให้ลูกค้าได้เลือกใช้ไปเลยแบบจุก ๆ
อิ่มคุ้มทุกช่วงเวลาหิว “กด เก็บ ลดกับญาญ่า” ได้ง่ายๆ 3 ขั้นตอน เพียงแค่ ‘กด’ ปุ่มเก็บโค้ดลดเพิ่ม เพื่อเลือกรับส่วนลดที่ต้องการ แล้ว ‘เก็บ’ โค้ดส่วนลด ก็ ‘ลด’ ค่าอาหารไปเลยทันที จะหิวเวลาไหน LINE MAN ก็ลดให้มากกว่า มอบส่วนลด 60% พร้อมเก็บโค้ดลดเพิ่มอีกสูงสุด 100 บาท ใช้ได้กับร้านค้าที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2565 นี้ สั่งได้เลยที่ https://lineman.onelink.me/1N3T/egw5elza
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
#LINEMANเก็บโค้ดลดเพิ่ม #LINEMANสู้ทุกเมื่อเพื่อทุกมื้อ
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนทุนการศึกษาและทุนวิจัยแก่สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารเทศ (IST) สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ประจำปี 2565 รวมเป็นเงิน 30 ล้านบาท แบ่งเป็น ทุนการศึกษาให้แก่นิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก จำนวน 10 ทุน เป็นเงิน 20 ล้านบาท และทุนสนับสนุนการพัฒนางานวิจัย สำหรับความร่วมมือระหว่างสำนักวิชาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นเงิน 10 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อยกระดับคุณภาพทางการศึกษาของประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เป็นรูปแบบใหม่และก้าวสู่มาตรฐานชั้นนำระดับโลก สร้างบุคลากรให้เป็นผู้นำด้านงานวิจัยทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีอัตโนมัติขั้นสูง สร้างองค์ความรู้ใหม่ รวมถึงนวัตกรรม เพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันทัดเทียมนานาประเทศได้ ตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ VISTEC ในการเป็น World-class frontier research institute โดยมี ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร (กลาง) นายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี เป็นประธานในพิธี และคุณกฤษณ์ จันทโนทก (ที่ 6 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ มอบให้แก่ ศ.ดร.จำรัส ลิ้มตระกูล (ที่ 4 จากซ้าย) อธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่
การสนับสนุนทุนการศึกษาและทุนโครงงานวิจัยแก่สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารเทศ (IST) สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) เป็นโครงการต่อเนื่อง ภายหลังจากที่ธนาคารฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการจัดตั้งสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ที่จังหวัดระยองมาตั้งแต่ปี 2559 โดยสนับสนุนงบประมาณเป็นจำนวนเงิน 450 ล้านบาท ในระหว่างปี 2560-2564 (ระยะที่ 1) ในการจัดตั้งสำนักวิชา ทุนการศึกษา และความร่วมมือในการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ด้วยตระหนักดีว่าการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเป็นพลังสำคัญต่อการขับเคลื่อนอนาคตและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวแก่ประเทศไทย ซึ่งมีการจัดการเรียนการสอนอย่างเข้มข้น เน้นการวิจัยที่จะทำให้เป็นผู้รู้จริง และรู้จักแก้ไขปัญหา รวมถึงสร้างแนวคิด องค์ความรู้ และนวัตกรรม ต่าง ๆ และในครั้งนี้ได้สนับสนุนทุนการศึกษาและทุนวิจัย ในระยะที่ 2 ระหว่างปี 2565-2569 รวมเป็นเงิน 150 ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายปีละ 30 ล้านบาท
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สำนักวิชาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถสร้างสรรค์ผลงานวิจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณชนในปี 2564 กว่า 40 ผลงาน ซึ่งล้วนเป็นผลงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและมวลมนุษยชาติ
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าคลายความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อเนื่องในจังหวัดปราจีนบุรี สระบุรี ลพบุรี และเชียงใหม่ มอบเสบียงอาหารและน้ำดื่ม ในโครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม"
นายพงษ์สิทธิ์ เนื่องจำนงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมด้วย นายสหชัย แจ่มประสิทธิ์สกุล นายอำเภอกบินทร์บุรี รับมอบน้ำดื่มซีพี 1,200 ขวด และไข่ไก่ซีพี 3,600 ฟอง จากซีพีเอฟ โดยมี นายวีระ เหลืองอร่าม ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจไก่พันธุ์ 2 (กทม.) และนางสาวสุพรรณษา ตาถาวรรณ์ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจสุกร นำทีมงานจิตอาสาร่วมกันส่งมอบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่อำเภอกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีและนายอำเภอกบินทร์บุรี กล่าวขอบคุณน้ำใจและความห่วงใยที่ชาวซีพีเอฟมอบให้กับชาวกบินทร์บุรีเสมอมา และขอให้ช่วยเหลือดูแลกันเช่นนี้ตลอดไป
ขณะที่ น.สพ.คุณวุฒิ เครือลอย รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ พร้อมด้วย นายธนวัฒน์ ทองอ้ม ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ และพนักงานจิตอาสา ลงพื้นที่มอบน้ำดื่ม 1,200 ขวด และข้าวสารอาหารแห้ง 100 ชุด แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเขตอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี โดยมี นายวสันต์ ดรชัย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่ามะนาว และ นายรังสรรค์ ดวงลูกแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าดินดำ พร้อมเจ้าหน้าที่ และชาวชุมชนท่ามะนาวและท่าดินดำ ร่วมรับมอบ ซึ่งมีชาวชุมชนถึง 600 หลังคาเรือนที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ นายกองค์การบริหารตำบลท่ามะนาว กล่าวว่า ตำบลท่ามะนาวพื้นที่ค่อนข้างต่ำ ที่ผ่านมาจึงพบปัญหาน้ำท่วมทุกปี ได้ซีพีเอฟเข้ามาช่วยตลอด ขอบคุณซีพีเอฟและทีมงานที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี สำหรับของที่ได้รับจะนำไปแจกอย่างทั่วถึงทุกครัวเรือน
จากนั้น น.สพ.คุณวุฒิ เครือลอย นำชาวซีพีเอฟจิตอาสาจากฟาร์มสุกรพระพุทธบาท ลงพื้นที่ตำบลบ้านกลับ อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี ร่วมกันส่งมอบไข่ไก่ซีพี 1,500 ฟอง น้ำดื่มซีพี 1,200 ขวด และข้าวสาร 400 กิโลกรัม แก่ นายปิโยรส บุญสม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลับ และปลัด อบต.บ้านกลับ เพื่อนำไปแจกให้กับพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยในหมู่บ้านต่อไป
ส่วนจังหวัดสุโขทัยที่ยังคงวิกฤต ล่าสุดแนวกั้นน้ำยมสุโขทัยแตกเพิ่มอีก 2 จุด ทำให้น้ำทะลักเข้าท่วม 2 หมู่บ้าน ระดับน้ำสูงถึง 2 เมตร ชาวบ้านต้องใช้เรือสัญจรเข้าออกเท่านั้น นายลำเจียน ทองศรี ผู้จัดการทั่วไป กิจการผลิตสุกรภาคเหนือตอนบน เขต 3 และทีมงานจิตอาสาเร่งลงพื้นที่เข้าช่วยเหลือทันที โดยนำข้าวสาร น้ำดื่ม ไข่ไก่ซีพี ปลากระป๋อง และอาหารแห้ง มอบแก่ผู้ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมในเขตพื้นที่ ต.ยางซ้าย อ.เมืองสุโขทัย จ.สุโขทัย
ยายทองหล่อ พรมมา หนึ่งในผู้ประสบภัย กล่าวหลังจากได้รับมอบผลิตภัณฑ์ที่ซีพีเอฟนำมาช่วยเหลือว่า ขอบคุณซีพีเอฟ ที่เล็งเห็นความเดือดร้อนของชาวชุมชน โดยตนเองอาศัยอยู่กับบุตรชายที่มีอาการป่วยทางสมอง จึงอยู่อย่างยากลำบาก ต้องต้องนั่งเรือเพื่อนบ้านออกมารับข้าวกล่อง วันนี้ได้มีข้าวสารอาหารแห้งน้ำดื่มสำหรับตนเองและลูกแล้วรู้สึกดีใจมาก เช่นเดียวกับชาวบ้านที่ต่างขอบคุณบริษัท ในการนี้ ทีมแพทย์โรงพยาบาลสุโขทัย ร่วมกับ รพ.สต.ยางซ้าย เข้าตรวจสุขภาพแก่ประชาชน และร่วมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแจกจ่ายให้กับพี่น้องผู้ประสบภัย
ทางด้านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากพายุโนรู ทีมงานจิตอาสาจึงกระจายกำลังให้ความช่วยเหลือในหลายจุด เริ่มจาก นายสุรชัย ศิริจรรยา รองกรรมการผู้จัดการ และ นายภาคภูมิ จักกะพาก ผู้ช่วยกรรมการ
ผู้จัดการ นำชาวซีพีเอฟจิตอาสาในเขตภาคเหนือ ร่วมกันนำเนื้อหมูบด 100 กิโลกรัม และไข่ไก่สดซีพี 1,500 ฟอง มอบแก่ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.ภ.5) เพื่อนำไปประกอบอาหารที่โรงครัวสนาม และแจกจ่ายให้กับผู้ประสบอุทกภัยในเขตพื้นที่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับจากผลกระทบจากพายุโนรู โดยมี คุณพิยดา ต๊ะวิชัย ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5 และ พ.ต.อ.ภูวนาถ ดวงดี ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ร่วมรับมอบ
ส่วนที่หมู่บ้านห้วยโท้ง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ นายสมพงษ์ อัครแสงทิพย์ ผู้จัดการศูนย์ตัดแต่งและกระจายสินค้า ศูนย์ตัดแต่งและกระจายสินค้าเชียงใหม่ (ห้วยส้ม) ผนึกกำลัง พนักงานอาสาธุรกิจสุกรภาคเหนือตอนบน ทีมงานโรงงานตัดเเต่งและแปรรูปสุกร (ห้วยส้ม) เชียงใหม่ ลงพื้นที่ส่งมอบอาหารและน้ำดื่ม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนหมู่บ้าน รวมถึงครอบครัวเพื่อนพนักงานที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมเป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน จากนั้นนายสมพงษ์นำทีมงานจากธุรกิจสุกรภาคเหนือ ลงยังพื้นที่ อ.สันป่าตอง เพื่อร่วมกันนำเนื้อหมูบด 100 กิโลกรัม ข้าวสารและน้ำดื่ม 1,200 ขวด เข้าให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัย โดยมี นายคำมูล กันทา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง และทีมงาน ร่วมกันรับมอบ เพื่อนำไปแจกให้กับประชาชนที่กำลังเดือดร้อนต่อไป จากนั้น คณะของซีพีเอฟ เดินทางไปยังตำบลน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เพื่อนำเนื้อหมูบดและน้ำดื่มไปสนับสนุนภารกิจของศูนย์ช่วยเหลือประชาชน องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำบ่อหลวง โดยมี นายเจริญ ซ้อนฝั้น นายกองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำบ่อหลวง เป็นผู้รับมอบ สำหรับจัดสรรให้กับพี่น้องผู้ประสบภัยในหมู่บ้านอย่างทั่วถึง
ที่ผ่านมา ชาวซีพีเอฟทั่วประเทศ ได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือคนไทยในวิกฤติน้ำท่วมอย่างทันท่วงที เร่งส่งมอบอาหารและน้ำดื่ม ในจังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา และสระบุรี รวมถึงพื้นที่บางนา มีนบุรี ในหลายระลอก เพื่อเติมเสบียงและเติมกำลังใจให้พี่น้องชาวไทยอย่างต่อเนื่อง./
สำหรับใครหลายๆ คนเวลาพูดถึงปลั๊กไฟ หรือที่ภาษาช่างเรียกว่า เต้ารับ ส่วนมากมักนึกถึงปลั๊กไฟแบบมี 3 ช่อง กรอบปลั๊กสีขาวพื้นๆ ติดตั้งตามผนังบ้านอย่างที่เห็นกันชินตา แต่ถ้าลองเข้าไปดูในความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ประเภทสวิตช์ไฟและเต้ารับของ “AvatarOn A” จะเห็นถึงความตั้งใจของผู้ผลิตที่ใส่ใจต่อการออกแบบสวิตช์และเต้ารับให้รองรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ที่น่าสนใจคือ ในยุคที่ DIY (Do It Yourself) ต้องมา ทั้งสะดวก ประหยัด ปรับแต่งได้ดั่งใจ ซ้ำยังภาคภูมิใจอีกต่างหาก การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาผสมผสานเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น ความสะดวกในการติดตั้งแบบที่เรียกว่า เทคโนโลยี Easy Clip ช่วยให้ติดตั้งปลั๊กไฟได้อย่างง่ายดาย รวดเร็วและปลอดภัย นับเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่ทำให้ AvatarOn A ชนะใจคณะกรรมการคว้ารางวัลแบรนด์ยอดเยี่ยมแห่งปี ในสาขา Best Home Solution Influencer Campaign จากงาน Thailand Influencer Awards 2021 พลิกโฉมวงการสวิตช์ไฟ สำหรับบ้านและที่พักอาศัยยุคใหม่ ในฐานะที่เป็นสวิตช์ไฟที่ให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการออกแบบสวิตช์ไฟและเต้ารับได้อย่างอิสระตามสไตล์ที่ชื่นชอบ ในส่วนของสวิตช์ไฟนั้นเมื่อคราวเปิดตัว AvatarOn A รูปลักษณ์ภายนอกที่ออกแบบให้ไร้กรอบ ตอบโจทย์ทุกดีไซน์ เรียบและกลมกลืนไปกับผนังที่ติดตั้ง รวมทั้งสีสันที่มีให้เลือกไม่เพียงแค่สีขาว แต่ยังเพิ่มสีดำและสีเทา รวมเป็น 3 ตัวเลือกเพื่อให้เหมาะกับการออกแบบตามสไตล์ของผู้บริโภค เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจเมื่อแรกเห็น เนื่องจากในสายงานออกแบบจะทราบดีว่าสีดำ-ขาว ยังคงเป็นสีคลาสสิกตลอดกาลและไม่เคยตกยุค ให้ทั้งความหรู ดูดี มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ไม่เพียงเท่านั้น ประเด็นของการใช้งานที่ผู้ผลิตให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 ทั้งในแง่ของประโยชน์ใช้สอยให้ครอบคลุมในทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน และเหนืออื่นใดคือความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยผ่านการรับรองตามมาตรฐานทั้งของ
ประเทศไทยและสากล มีตรา มอก. และ IEC เป็นการันตี บนฐานของการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการใช้งานของผู้บริโภคทุกวันนี้ ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเพิ่ม USB Type C รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกรูปแบบ
เพราะปลั๊กไฟในปัจจุบันไม่ได้เป็นแค่ปลั๊กไฟ แต่เป็นหัวใจสำคัญของบ้านที่จะขาดเสียมิได้!
เหตุผลของการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทสวิตช์และปลั๊กไฟให้มีความหลากหลายนั้น ประเด็นสำคัญคือการเพิ่มทางเลือกให้สอดรับและเหมาะสมกับฟังก์ชั่นการใช้งานของแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ห้องนอนไปจนถึงห้องน้ำ รองรับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีหลากประเภทตั้งแต่หม้อหุงข้าวไปจนถึงสมาร์ทโฟน
Put the Right Man on the Right Job ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น แต่ละห้องในบ้านมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ต่างกัน ฉะนั้นการเลือกสวิตช์และปลั๊กไฟจึงควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละพื้นที่เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น “ห้องนอน” ห้องแห่งการพักผ่อน ชาร์จแบตเตอรี่ยามที่เหนื่อยล้าจากภารกิจนอกบ้าน หัวใจสำคัญของห้องอยู่ที่หัวนอน การติดตั้งสวิตช์และปลั๊กไฟที่หัวเตียง ควรเลือกปลั๊กไฟแบบที่มี USB Port ด้วย เพื่อรองรับการใช้งานสมาร์ทโฟน ขณะที่สวิตช์ไฟถ้าใช้แบบดิมเมอร์ สามารถหรี่ไฟปรับบรรยากาศสำหรับการพักผ่อนได้อย่างเต็มที่และตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่อย่างสดใส
“ห้องโถง” หรือ “ห้องนั่งเล่น” เนื่องจากเป็นห้องอเนกประสงค์ที่ทุกคนใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน นอกจากตำแหน่งของปลั๊กไฟที่ไม่ควรอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไปเพื่อป้องกันเด็กเล็กแล้ว การเลือกปลั๊กที่มีม่านนิรภัยเป็นการเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง รวมทั้งสวิตช์ไฟแบบ 2 ทางเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เช่นในจุดเชิงบันไดเพื่อจะสามารถปิด-เปิดไฟในส่วนของชั้นบนของอาคารได้อีกด้วย หรือ การติดสวิตช์ 2 ทางบริเวณหัวนอนก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ไม่เลว สามารถเปิด-ปิดไฟได้โดยไม่ต้องลุกจากเตียงนอน เป็นต้น ซึ่งเราสามารถเลือกสีสวิตช์ไฟให้แตกต่างเพื่อง่ายในการจดจำ
ห้องที่เป็นเสบียงคลังของบ้าน อย่าง “ห้องครัว” อุปกรณ์ที่ใช้งานในพื้นที่นี้มักเป็นอุปกรณ์ที่ต้องเสียบปลั๊กแทบจะตลอดเวลา เช่น ตู้เย็น หม้อหุงข้าว กาต้มน้ำ ฯลฯ ควรเลือกใช้ปลั๊กไฟแบบที่มีสวิตช์ปิด-เปิด เพื่อว่าจะไม่ต้องถอดปลั๊กทุกครั้งที่
เลิกใช้งาน และควรเลือกสเปคที่รองรับกำลังวัตต์สูงอย่างน้อย 2,500 วัตต์ ส่วนห้องสุดท้ายที่จะขาดไปเสียไม่ได้คือ “ห้องน้ำ” การติดตั้งปลั๊กไฟควรเลือกชนิดที่มีฝาครอบกันน้ำจะดีที่สุด
หยิบเอาสาระน่าสนใจเหล่านี้มาเล่าสู่กันฟังเป็นข้อคิดพิจารณา เพราะฟังก์ชั่นครบ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน...เช่นนี้ไม่รัก AvatarOn A ได้อย่างไร!
SBITO เดินหน้ารุกตลาดเทรดหุ้นออนไลน์ในไทย ตั้งเป้าก้าวสู่เบอร์ 1 ตลาดเตั้งเป้าก้าวสู่โบรกเกอร์ออนไลน์ที่ได้รับความไว้วางในอันดับ 1 ในใจนักลงทุนไทย เปิดสาขาใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการ ชูจุดขายเรทค่าคอมที่เร้าใจ พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ของการลงทุนโลกออนไลน์ในไทย หวังดึงกลุ่มนักลงทุนหน้าใหม่สู่ตลาด
มร.คาซึนาริ โอกาวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด หรือ SBITO (สะไบโตะ) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นโลกในช่วงที่ผ่านมาว่า แม้ผลกระทบของโควิด-19 จะลดลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ยังคงส่งผลกระทบ อาทิ กรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่ทั่วโลกต่างต้องเผชิญ รวมถึงความไม่แน่นอนในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และปัจจัยอื่นๆ อีกมาก ทำให้หลายประเทศต่างปรับนโยบายเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาด ส่งผลให้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ของปี 2565 เราเริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เริ่มปรับตัวในทางบวกเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าจะยังสถานะดังกล่าวต่อไปในระยะยาว โดย SBITO คาดการณ์ว่าในปี 2566 ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะขยับตัวทางบวกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นหลังจากได้รับผลกระทบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทในตลาดจะเริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ส่งผลให้ผลประกอบการเริ่มดีขึ้น นักลงทุนรายย่อยสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพของบริษัทต่างๆ ในตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ด้านแนวโน้มภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4 ของปี 2565 มร.คาซึนาริ แสดงความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่า “หลังจากไทยเริ่มเดินหน้าปลดล็อกข้อจำกัดและผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ทำให้สามารถกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มศักยภาพอีกครั้ง เมื่อเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศเริ่มดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเช่นกัน SBITO คาดว่านักลงทุนจำนวนมากจะค่อยๆ กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”
ส่วนมุมมองของต่างชาติต่อศักยภาพเศรษฐกิจของไทยในปี 2566 นั้น พบว่า ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการลงทุนที่ดี มีความแข็งแกร่งในฐานะฐานการผลิตของโลกที่มีแรงงานฝีมือด้านต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงการส่งเสริมจากภาครัฐในการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อเสริมศักยภาพด้านการผลิตและผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เพื่อเอื้อต่อการลงทุนโดยมีเป้าหมายเพื่อดึงกลุ่มทุนต่างชาติในเข้ามาลงทุนในไทย ตลอดจนศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจท่องเที่ยวและการพักผ่อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าลงทุนในปัจจุบัน
SBITO เชื่อว่าจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มดีจะส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการซื้อขายหุ้นผ่านออนไลน์ที่ SBITO ยังครองความเป็นผู้นำในตลาดโลกและในไทยก็จะยิ่งเติบโตเพิ่มขึ้นเพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนยุคใหม่ที่หันมาทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ผ่านโลกออนไลน์ “ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนบัญชีนักลงทุนตลาดหุ้นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตสูงถึง 5,222,983 บัญชี จากบัญชีนักลงทุนตลาดหุ้นทั้งหมด 5,536,637 บัญชี นั่นแสดงให้เห็นว่านักลงทุนตลาดหุ้นเกือบ 100% มีบัญชีซื้อขายหุ้นผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยปัจจุบันคนไทยในทุกช่วงวัยเริ่มหันมาเพิ่มความมั่นคงทางการเงินด้วยการลงทุนในตลาดหุ้น จากกระแสนิยมดังกล่าวทำให้ SBITO เชื่อว่านักลงทุนตลาดหุ้นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตในไทยก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ดังเช่นในประเทศญี่ปุ่นที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นทางอินเทอร์เน็ตสูงถึง 38 ล้านบัญชีในปัจจุบัน” มร.คาซึนาริ กล่าว
“ตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 SBITO ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการซื้อขายหุ้นผ่านออนไลน์ จะรุกขยายฐานนักลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องและดูแลนักลงทุนของ SBITO โดยจะเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ผ่านการจัดสัมมนาให้ความรู้แก่นักลงทุนทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ การขยายสาขาเพิ่มขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึง ร่วมสนับสนุนกิจกรรมกีฬากับสโมสรนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี เพื่อสร้างความรู้จักและความมั่นใจในแบรนด์ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับแบรนด์พันธมิตรชั้นแนวหน้าเพื่อมอบประสบการณ์ใหม่แก่นักลงทุนในไทยให้ได้เปิดโลกการลงทุนยุคใหม่ผ่านโลกออนไลน์ พร้อมมอบสิทธิประโยชน์จากการลงทุนเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับนักลงทุนของ SBITO ที่ยั่งยืน ที่สำคัญเรายังคงจุดขายในเรื่องอัตราค่าคอมมิชชั่นในเรทพิเศษ เชื่อว่า SBITO จะดึงดูดนักลงทุนรายใหม่สู่ตลาด โดยตั้งเป้าที่จะสร้างให้ SBITO ก้าวสู่การเป็นบริษัทหลักทรัพย์ออนไลน์สากลที่ได้รับความนิยมมากสุดในประเทศไทย” มร.คาซึนาริ กล่าวถึงแผนการรุกตลาดในไทยเพื่อก้าวสู่ผู้นำตลาด
สามารถชมข้อมูล SBITO เพิ่มเติมได้ที่ https://www.sbito.co.th/ หรือ https://www.facebook.com/Sbithaionline/
เจ เวนเจอร์ส เผยความสำเร็จ JNFT จับมือพันธมิตรเปิดประสบการณ์ NFT ให้คนไทย เจาะตลาดรูปแบบ B2B สร้างอีโคซิสเต็มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
เมื่อเร็วๆนี้ นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ได้เปิดเผยถึงตลาดคริปโตเคอร์เรนซี และ NFT ในปีนี้ทีมีความผันผวนหรือที่เรียกกันว่าภาวะตลาดหมี แต่เจ เวนเจอร์สยังคงมองเห็นว่าแนวโน้มของตลาดในภาคธุรกิจว่ามีโอกาสเติบโต สะท้อนได้จากเทรนด์และความสนใจจากหลายอุตสาหกรรม ที่ได้นำ NFT เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับแบรนด์ มีหลายแบรนด์ดังที่เข้าสู่วงการ NFT และเปิดธุรกิจใน Metaverse เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ รวมถึงการสร้างชุมชนของแฟนคลับให้ขยายฐานออกไปกว้างมากขึ้น รองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบเทคโนโลยี
“เทคโนโลยีบล็อกเชนและแพลตฟอร์มที่เจ เวนเจอร์สได้พัฒนาขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น JFIN Chain ซึ่งเป็นบล็อกเชนของเราเอง หรือ JNFT Marketplace แพลตฟอร์ม NFT ที่พร้อมใช้งาน จากเดิมเราที่เน้นสร้างแพลตฟอร์มสำหรับให้ครีเอเตอร์ได้มาพบกับคอลเล็กเตอร์ จากช่วงปีที่ผ่านมาเราได้พัฒนา Infrastructure ให้พร้อมรองรับทุกการเติบโต ทำให้เราเห็นถึงศักยภาพที่จะสร้างให้เกิดอีโคซิสเต็มของ NFT กับพันธมิตรของเรา ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ หรือรัฐวิสาหกิจ ที่จะทำให้ครีเอเตอร์ได้มีโอกาสมากกว่าแค่เพียงสร้างงานให้เกิดการสะสม หรือซื้อขาย และธุรกิจเองก็จะได้ใช้เทคโนโลยีนี้ให้เป็นมากกว่าของสะสม หรือกิจกรรมทางการตลาดเท่านั้น แต่จะเป็นทั้ง Loyalty Program หรือการจัดอีเวนต์ทุกรูปแบบ และที่สำคัญถือเป็นอีกส่วนในการขับเคลื่อนองค์กรให้เป็น DX หรือ Digital Transformation อีกด้วย ” นายธนวัฒน์ กล่าว
ในด้านของนายวรพจน์ ธาราศิริสกุล Chief of Technology บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ได้กล่าวเสริมถึง เทคโนโลยีบล็อกเชนว่าได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในส่วนต่างๆของชีวิตประจำวัน ทำให้ภาคธุรกิจเองได้นำเอา NFT เข้ามาใช้ในกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น ด้วยความพร้อมของ JNFT ที่พัฒนาแพลตฟอร์มบน JFIN Chain ทำให้ช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ทาง JFIN ได้ร่วมกับพันธมิตรนำเอา NFT เข้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการตลาด การสร้างยอดขาย การทำกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยสร้างความมั่นใจ และความโปร่งใสของการทำธุรกรรมด้วย
ทั้งนี้ที่ผ่านมา JNFT โดย บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ได้ร่วมมือกับองค์ธุรกิจชั้นนำระดับประเทศในการสร้างประสบการณ์ด้าน NFT ที่หลากหลาย ได้แก่
· Index Creative Village: โดยใช้ Immersive Experience หรือ รูปแบบการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ ที่น่าตื่นเต้น เร้าใจแก่ผู้ใช้งาน เพื่อให้รู้สึก “อิน” ผ่านการจัดคอนเสิร์ต NFT ที่ทำให้ผู้คนดื่มด่ำกับประสบการณ์ดิจิทัลทั้งในด้านดนตรี ด้านไลฟ์สไตล์ และด้านศิลปะดิจิทัลเข้าด้วยกัน
· บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด: สร้างสรรค์ 1st NFT Stamp ครั้งแรกของอาเซียน เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 140 ปี โดย JNFT เป็นผู้สร้างระบบการใช้งาน และร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการรวมกลุ่มศิลปินและชุมชน NFT ที่มีชื่อเสียงที่สุดในไทยมารวมตัวกัน เพื่อช่วยเสริมสร้างการรับรู้ถึงประสบการณ์การสะสมแสตมป์ที่แตกต่างจากเดิมเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล
· บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด: เปิดประสบการณ์ใหม่แก่ผู้บริโภคแบบ Customer Experience กับครั้งแรกของการครอบครองของขวัญสุดสมาร์ทอย่าง “Jaybird NFT Collection 2022” ของพรีเมียมอินเทรนด์ล้ำยุค ที่ไม่ซ้ำใคร จำนวน 7,777 ชิ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Enjoy MetaWorld”
· Pixel Paint ผู้เชี่ยวชาญในวงการศิลปะเมืองไทย: โดยใช้ Expressive Experience ร่วมมือกับโครงการ Portraits by Sakwut เพื่อนำเอา NFT มาใช้เป็นสื่อกลางในการสร้างประสบการณ์การซื้อขายสิทธิ์ เพื่อยืนยันว่าใครคือผู้ที่ซื้อ เพื่อยืนยันตัวตนในการรับรูปภาพ โดยหลังจากเปิดการขาย 3 รอบได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยพบว่าในรอบแรกมียอดจองขายหมดภายใน 24 ชั่วโมง โดยมีการจัดงานรูปแบบ Physical และรูปแบบ Live Sketch NFT ซึ่งผู้ซื้อจะได้เห็นลายเส้นของอาจารย์ศักดิ์วุฒิที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาในแต่ละขั้นตอนจนกลายเป็นภาพวาดที่สมบูรณ์ เรียกได้ว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ที่เจ้าของภาพ จะได้เห็นการสื่อความหมายของแต่ละลายเส้นของศิลปินผู้วาด
"สำหรับเป้าหมายของ JNFT ในปี 2566 ทาง JFIN เราตั้งเป้าที่จะขยายความร่วมมือระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) เพื่อนำเอา NFT เข้าสู่ธุรกิจและองค์กรในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งยังเน้นย้ำในการร่วมสร้างอีโคซิสเต็มทางธุรกิจ เนื่องจากเทคโนโลยี NFT จะต้องนำพาผู้ใช้งานให้เข้าถึงการทำงานที่แท้จริง ดังนั้น เราจะไม่จำกัดตัวเอง พร้อมเปิดรับทุกพันธมิตร และคอมมูนิตี้ที่สนใจ เพื่อให้สังคม NFT และบล็อกเชนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” นายวรพจน์ กล่าวเสริม
ย่านนวัตกรรมไซเบอร์เทคกรุงเทพมหานคร หรือย่านนวัตกรรมปุณณวิถี (ตั้งอยู่ระหว่างBTS ปุณณวิถีและอุดมสุข กรุงเทพมหานคร) เป็นพื้นที่เป้าหมายของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ในการพัฒนาไปสู่ศูนย์กลางระบบนิเวศนวัตกรรมสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่แห่งโอกาสในการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ๆ ของกรุงเทพมหานคร จึงผสานความร่วมมือกับกลุ่มทรู และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ บริเวณปุณณวิถี-อุดมสุข ยกระดับพื้นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาคารศูนย์กลางการทำธุรกิจนวัตกรรม ตลอดจนถึงอบรมบ่มเพาะ การจับคู่ธุรกิจ และการแบ่งปันองค์ความรู้ในพื้นที่ตลอดมา
ด้วยพันธกิจหลักของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่ต้องการจะยกระดับพื้นที่เศรษฐกิจของเมืองที่ให้เกิดการรวมกลุ่มของนวัตกรเพื่อแบ่งปันองค์ความรู้และทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพ และสร้างความร่วมมือในการผลักดันระบบนิเวศนวัตกรรมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจและสามารถดึงดูดกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ จึงได้เกิดเป็นความร่วมมือกันระหว่างสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), True Digital Park ร่วมด้วยสำนักงานเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เกิดเป็นโครงการ ห้องทดลองเมือง (City Lab) ย่านนวัตกรรมปุณณวิถี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการในความร่วมมือของภาคีเครือข่ายเพื่อยกระดับเพื่อที่ปุณณวิถีให้เป็นพื้นที่ทดลองทางนวัตกรรม (Test Base Area) และช่วยส่งเสริมให้ Startup หรือ SMEs นำไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ Solutions ทางนวัตกรรมมาใช้แก้ไขปัญหาเมือง หรือเพิ่มบริการสาธารณะ ที่ทำให้เมืองน่าอยู่ มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้กับคนเมือง รวมถึงเพิ่มโอกาสใหม่ให้กับคนได้สร้างรายได้มากยิ่งขึ้น
โดยในวันที่ 4 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมาได้มีการจัดงานแถลงข่าว “การใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนย่านนวัตกรรมปุณณวิถี” ภายใต้โครงการ Bangkok City Lab ห้องทดลองเมือง ย่านนวัตกรรมไซเบอร์เทค กรุงเทพมหานคร ณ ห้อง Auditorium ชั้น 6 อาคาร ทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้รับเกียรติจาก ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงาน นวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวถึงแนวคิดการพัฒนาและการสร้างความร่วมมือย่านนวัตกรรม รวมไปถึงบทบาทของของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ในพัฒนา และผลักดันย่านนวัตกรรมปุณณวิถีสู่การเป็นเมืองต้นแบบ“ย่านนวัตกรรมไซเบอร์เทค กรุงเทพมหานคร (Bangkok Cybertech District)” ศูนย์กลางดิจิทัลและไลฟ์สไตล์ของคนเมืองยุคใหม่ที่สามารถสร้างโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ดำเนินโครงการนวัตกรรมเชิงพื้นที่ หรือ Area-Based Innovation เพื่อขับเคลื่อนการสรทางระบบนิเวศนวัตกรรมในประเทศไทยให้มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยและทำงาน ซึ่งมี
การดำเนินงานใน 3 ระดับ คือ ภูมิภาค เมืองนวัตกรรม และย่านนวัตกรรม โดยนวัตกรรมเชิงพื้นที่เริ่มจาก “เมือง” เป็นโจทย์สะท้อนอัตลักษณ์ และบริบทของเมืองนั้นๆทำให้เกิดการสร้างและใช้นวัตกรรมที่ตอบสนองต่อการดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ และมุ่งเน้นการเชื่อมโยงคน องค์ความรู้ เครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานเข้าด้วยกัน ซึ่งส่วนที่เล็กที่สุดของการพัฒนานวัตกรรมเชิงพื้นที่ คือ ย่านนวัตกรรม ที่มีอัตลักษณ์ความโดดเด่นและศักยภาพแตกต่างกันเฉพาะพื้นที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยงกลุ่มเศรษฐกิจของเมืองเข้าด้วยกัน โดยกว่า 6 ปีที่ผ่านมาสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้พัฒนาย่านนวัตกรรมแล้วกว่า 14 ย่าน
“โครงการ ห้องทดลองเมือง (City Lab) ย่านนวัตกรรมปุณณวิถี ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการในความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทั้งจากภาครัฐและเอกชน อย่างสำนักงานเขตพระโขนง บริษัทขนาดใหญ่ เช่น ทรู ดิจิตัล พาร์ค มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ภาคเอกชนในพื้นที่กว่า 8 บริษัท และชุมชนในย่านปุณณวิถี เพื่อยกระดับย่านปุณณวิถีให้เป็นพื้นที่ทดลองทางนวัตกรรม (Test Base Area) ช่วยส่งเสริมให้สตาร์ทอัพ Daywork ที่ผ่านการคัดเลือก นำไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ Solutions ทางนวัตกรรมมาทดลองใช้และพัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ เพื่อเกื้อประโยชน์ให้ย่าน และผู้อยู่อาศัยในย่านภายใต้โจทย์ “ทำอย่างไรให้คนที่ว่างงานในชุมชนย่านนวัตกรรมไซเบอร์เทค มีโอกาสได้รับการจ้างงานจากคนในพื้นที่ย่านปุณณวิถี และพื้นที่ข้างเคียงอย่างยั่งยืน” ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา เปรียบเสมือนเป็นพื้นที่นำร่องหรือสนามทดลองนวัตกรรมขนาดใหญ่ เพื่อใช้ยืนยันประสิทธิภาพก่อนนำไปขยายผลระดับเมืองอื่นๆต่อไป
และนอกจากนี้ภายในงานจะมีการจัดเสวนาอีก 2 หัวข้อได้แก่ หัวข้อ “ก้าวต่อไปของย่านนวัตกรรม ณ กรุงเทพมหานคร” (Next Move of Bangkok Innovation District) โดยได้รับเกียรติจาก ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง,รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์, นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย พร้อมด้วย ดร. ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์, ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำกัด มาร่วมกล่าวถึงความพร้อมและความสำเร็จในการขับเคลื่อนพื้นที่ปุณณวิถี-อุดมสุข ให้กลายเป็นศูนย์กลางพื้นที่สำหรับ Start Up ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทั้งในเชิงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานจากภาคเอกชน การขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐ และการรวมกลุ่ม/กิจกรรมต่างๆของ Start Up พร้อมทั้งนำเสนอโอกาสความเป็นไปได้ในการเริ่มต้นธุรกิจ และนโยบายที่ช่วยส่งเสริมให้ Start Up เติบโตในพื้นที่แห่งนี้ ร่วมถึงความร่วมมือในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมในกรุงเทพมหานคร และหัวข้อ “จากห้องทดลองเมือง สู่เรื่องจริงของคนกรุงเทพ” (The Real Story of City Lab in Bangkok Cyber District) นำโดยคุณศศิวิมล เสียงแจ้ว ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เดย์เวิร์ค (ประเทศไทย) จำกัด, ผศ.ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร, คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการฯ ร่วมด้วยคุณวรุณลักษม์ พลหาญ ผู้อำนวยการเขตพระโขนง และคุณนวนันท์ การสมดี รองผู้อำนวยการ สำนักประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด ที่มาร่วมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆของโครงการ Bangkok City Lab ห้องทดลองเมืองย่านนวัตกรรมไซเบอร์เทค กรุงเทพมหานครในตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาที่ได้ทำการทดลอง โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกพื้นที่ทำการทดลอง, ความท้าทายที่มีในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ หรือด้านสิ่งแวดล้อม และรูปแบบของการทำงานของสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการที่มีการร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ การทำ CO-DESIGN ร่วมกับผู้แทนจากสํานักเขต
และ ผู้ประกอบการในพื้นที่ และกิจกรรม WORKSHOP ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาเมือง พร้อมด้วยการทำ JOB HOUSING BALANCE และการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งาน โดยได้ร่วมกับผู้แทนจากสํานักเขตและผู้ประกอบการ ซึ่งผลการดําเนินงานในเขตพระโขนง พบว่าในช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนอัตราตำแหน่งงานว่างที่เปิดรับเพิ่มขึ้นถึง 86 อัตรา โดยเพิ่มขึ้นจากเดิม 209.76% และอัตราของประชาชนในเขตพื้นที่ที่มีความต้องการตำแหน่งงานและหางานเพิ่มขึ้นถึง 1,162 คน ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม 83.34% และเพิ่มการจ้างงานในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลกว่า 3,167 งาน ซึ่งสามารถประเมิณเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้กว่า 21 ล้านบาท ถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้นายจ้างสามารถเข้าถึงกลุ่มคนทำงานในพื้นที่ และช่วยเพิ่มโอกาสในการได้คนทำงาน รวมถึงความสำคัญและผลลัพธ์เชิงบวกในด้านอื่นๆของการทดลองภายในย่านพระโขนงที่มีความหวังที่จะพัฒนาย่านนวัตกรรมนี้ให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่างยั่งยืน โดยในอนาคตจะร่วมมือกับภาครัฐในการขยายผลโครงการไปทุกเขตทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างการจ้างงานให้กับคนกรุงเทพให้เพิ่มขึ้นกว่า 50,000 อัตรา เพื่อเป็นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่ มีผลิตภาพ และการมีงานที่เหมาะสมสำหรับทุกคน รวมถึงเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความทนทาน ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรมของประเทศไทยอีกด้วย
การช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้กลายเป็นส่่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้วก็ว่าได้ เทรนด์อีคอมเมิร์ซไทยก็ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง พลังการช้อปในโลกออนไลน์สั่นสะเทือนไปถึงออฟไลน์ โดยเฉพาะเทศกาล Mega Sales จนสร้างเม็ดเงินให้กับธุรกิจดิจิทัลอย่างมหาศาล นับเป็นอีกหนึ่งโอกาสและช่องทางสำหรับแบรนด์, SMEs และร้านค้าออนไลน์ ในการเพิ่มยอดขายหรือสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค
เมื่อ Mega Sales ไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นวิถีชีวิตและโอกาสเติบโตของธุรกิจในปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ส่งผลต่อ Mega Sales อย่างเห็นได้ชัด เมื่อนักช้อปไม่ได้จ่ายเงินเพื่อซื้อของที่ต้องการเท่านั้น แต่การช้อปปิ้งที่มาพร้อมคอนเทนต์บันเทิงได้กลายเป็นอีกปัจจัยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้คน นับตั้งแต่วินาทีที่นักช้อปออนไลน์สัมผัสกับประสบการณ์ความสนุก ตื่นเต้น ของเทศกาล Mega Sales พวกเขาจะค้นหาสินค้าและแบรนด์เพื่อให้ได้ดีลที่ดีที่สุดและพร้อมใจกันกดสินค้าเข้าตะกร้า โดยจากรายงานพบว่า 94% ของผู้ใช้ TikTok ซื้อของในช่วง Mega Sales ในปี 2021
การเชื่อมโยงกับผู้บริโภคที่ความบันทิงต้องมาก่อน หรือ Entertainment-First
คอนเทนต์นับเป็นอาวุธลับสำหรับแบรนด์และสินค้า Shoppertainment หรือการตัดสินใจซื้อ/การซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วยเนื้อหา ที่ผสานการสร้างความบันเทิงและให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเป็นหลัก จึงมีแนวโน้มจะเติบโตอย่างรวดเร็วและมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มสูงขึ้นในตลาดอีคอมเมิร์ซโดยรวมอย่างมีนัยยะสำคัญ การสร้างคอนเทนต์ที่มีความสนุกสนานและคงความบันเทิงจะทำให้แคมเปญในช่วง Mega Sales ของแบรนด์มีความโดดเด่นมากขึ้น โดย 85% ของผู้ใช้ TikTok เพลิดเพลินกับคอนเทนต์ความบันเทิง และ 81% ของผู้ใช้ TikTok เปิดเผยว่าคอนเทนต์วีดีโอบนแพลตฟอร์มทำให้เกิดการใช้จ่ายครั้งล่าสุด Mega Sales จะเปิดโอกาสต่อยอดให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด หากแบรนด์, SMEs และร้านค้าออนไลน์ เข้าใจวิธีเชื่อมต่อกับผู้บริโภคและมอบประสบการณ์การจับจ่ายใช้สอยของพวกเขาในช่วงเวลานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ TikTok รวบรวมแนวทางสำหรับปลอดล็อคความสำเร็จในช่วง ‘Mega Sales’ เพื่อให้นักการตลาด แบรนด์รวมถึง SMEs และร้านค้าออนไลน์ สามารถนำไปวางแผนกลยุทธ์ในการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มยอดขายให้ได้มากกว่าเดิมและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญของตนเอง และช่วยคว้าโอกาสในการเพิ่มรายได้และสร้างการรับรู้ให้เติบโตได้อย่างโดดเด่น โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่
Pre-Mega Sale
· การตั้งกลุ่มเป้าหมายแสำหรับธุรกิจให้ชัดเจน เช่น เพศ อายุ พื้นที่ ความชอบ ฯลฯ
· เตรียมคอนเทนต์วีดีโอ พร้อมแคปชั่นโดนๆ ใส่ Call to Action และชื่อแคมเปญให้พร้อม ให้ผู้บริโภคอยาก”คลิก”มากยิ่งขึ้น อย่าลืมที่จะใส่เพจหรือลิงก์สำหรับการซื้อเพื่อง่ายต่อการสั่งซื้อสินค้าของคุณ
· สร้างแคมเปญ Always-on เพื่อเป็นที่จดจำของผู้บริโภคและเพิ่มการมองเห็น แบรนด์และ SMEs สามารถใช้โอกาสนี้ในการสร้างแผนการตลาดของแบรนด์ ทดสอบและเรียนรู้ตลาด ผู้บริโภค ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อปรับแผนการตลาดของแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
· นำคอนเทนต์แคมเปญของตนเข้าไปแทรกอยู่ในหน้า For You ของผู้ใช้ด้วยฟีเจอร์ In-Feed Ads เพื่อเพิ่มการรับรู้ของผู้บริโภค โดยผลสำรวจรายงานว่า 86% ของยอดชมวีดีโอมาจาก #Foryoupage เช่น McDonald Thailand ที่นำคอนเทนต์วีดีโอจากลูกค้าและที่ใช้ฟีเจอร์ Spark-Ads ในการสร้างการรับรู้แต่สามารถเพิ่มยอดขายได้ 130% และลูกค้าเข้ามาหน้าร้านมากขึ้น 83% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านั้น
Sale Announcement
· ผู้ใช้ TikTok เฝ้ารอเทศกาล Mega Sales ไม่ต่าางจากคนทั่วไป การเริ่มแคมเปญในแต่ละช่วงจะสร้างความตื่นเต้นจะสามารถทำให้คอนเทนต์เข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมาก ผู้บริโภคเหล่านี้จะเป็นจุดสำคัญที่จะช่วยให้เราเรียนรู้และตั้งกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ผลวิจัยรายงานว่า 73% ของผู้ใช้ TikTok ค้นหาแบรนด์ใหม่ๆในช่วงก่อนเทศกาล Mega Sales และ 89% ของผู้ใช้ TikTok จะกลับมาซื้อใหม่หลังเทศกาลนี้จบลง
· สร้างการมีส่วนร่วมด้วยการครีเอทไอเดียใหม่ๆ ลงไปในคอนเทนต์วีดีโอของแบรนด์ เพราะความสร้างสรรค์และความบันเทิงเป็นกุญแจสำคัญให้แบรนด์โดดเด่นและเป็นที่จดจำ
Teaser Sale
· ในช่วงเทศกาล Mega Sales จะเป็นช่วงที่การแข่งขันสูงมาก ยิ่งการแข่งขันสูงลูกค้าก็มีทางเลือกมากขึ้น เพื่อโดดเด่นในช่วงเทศกาลนี้ การสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคสามารถเพิ่มยอดชมและสร้างการจดจำได้
· ครีเอทคอนเทนต์วีดีโอด้วยการนำเทรนด์ใหม่ๆ มาใช้ เพื่อให้ได้คอนเทนต๋ที่แตกต่าง ไม่ซ้ำใคร โดยสามารถผสมผสานความสนุกสนานและสร้างแรงบันดาลใจเข้าไว้ด้วยกัน
· ทำงานร่วมกับครีเอเตอร์เพื่อทำให้แคมเปญเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เพราะผู้บริโภคจะรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมกว่า เช่น Pomelo ประสบความสำเร็จในการร่วมงานกันครีเอเตอร์จาก TikTok Marketplace พร้อมใช้ฟีเจอร์ Spark-Ads ในแคมเปญ Mega Sales ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 25% และมียอดวิวบนแพลตฟอร์มสูงกว่า 5.3 ล้านวิว
ดึงดูดความสนใจผู้ซื้อด้วย Shoppertainment สู่การช้อปปิ้งหน้าร้านที่ TikTok Shop
แน่นอนว่า เมื่อกลยุทธ์และแนวทางการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคในช่วง Mega Sales มีความพร้อมเต็มที่แล้ว ประสบการณ์การจับจ่ายใช้สอยที่สมบูรณ์แบบนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ แบรนด์ SMEs และร้านค้าออนไลน์ ควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ เช่นเดียวกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์บน shelf หรือหน้าร้านออนไลน์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามและควรมีการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แคตตาล็อคผลิตภัณฑ์ การเชื่อมโยงไปยังสินค้าอื่นๆ ในร้าน ตลอดจนวิธีการจ่ายเงินและจัดส่งที่สะดวกไม่ซับซ้อน เพราะนอกจาก การอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าแบบ One-Stop Service การให้สิทธิหรือโปรโมชั่นพิเศษ ย่อมดึงดูดใจและส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อได้ง่ายในทันที ซึ่งที่ TikTok Shop กำลังเป็นที่พูดถึงในแง่มุมของความสำเร็จจากร้านค้าออนไลน์และ SMEs ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับธุรกิจออนไลน์ทุกขนาดได้เช่นกัน
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดไหน สามารถทำแคมเปญ Mega Sales บน TikTok ได้อย่างง่ายดายโดยเลือกใช้เครื่องมือและโซลูชั่นให้เหมาะสมกับสินค้าและแคมเปญของแบรนด์ในการสร้างการรับรู้และสร้างเม็ดเงินให้กับธุรกิจ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย (KTAM) เสนอขายกองทุนเปิดเคแทม Inverse Floater Complex Return 2 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ช่วยจัดการความเสี่ยงในภาวะดอกเบี้ยผันผวน
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า _แม้ภายใต้ภาวะความผัวผวนของอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยและหาโอกาสจากการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ KTAM จึงเปิดตัวกองทุนเปิดเคแทม Inverse Floater Complex Return2 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (KTIF2) เพื่อเปิดโอกาสช่วยให้นักลงทุนหาโอกาสการการลงทุนจากแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยที่กองทุนจะนำมาอ้างอิง ปรับตัวสูงขึ้น แต่จะไม่ได้ปรับสูงเกินกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกองทุนดังกล่าวจะเสนอขายระหว่างวันที่ 5 – 10 ตุลาคม 2565 นี้ ด้วยเงินลงทุนครั้งแรกขั้นตํ่า 500,000 บาท
สำหรับกองทุน KTIF2 เป็นกองทุนมีลักษณะพิเศษที่มีความซับซ้อน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ย ในตลาดหรืออัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจะปรับขึ้นไม่มากหรือไม่ปรับขึ้น หรือมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในอนาคต และยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินเพื่อควบคุมความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยได้ โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ ที่ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทสัญญาสวอป (Inverse Floater Swap) โดยกองทุนจะแบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 กองทุนจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝาก และ/หรือตราสารการเงิน ที่มีอันดับของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (investment grade) ประมาณร้อยละ 100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ส่วนที่ 2 กองทุนจะเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทสัญญาสวอป (Inverse Floater Swap) ซึ่งอายุของสัญญาจะมีประมาณ 2 ปี โดยไม่ตํ่ากว่า 1 ปี 11 เดือน และไม่เกิน 2 ปี 1 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียน ทั้งนี้กองทุนจะเป็นฝ่ายจ่ายดอกเบี้ยคงที่และเป็นผู้รับดอกเบี้ยลอยตัว โดยใช้ THOR (Thai Overnight Repurchase Rate) ซึ่งคืออัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตลาดซื้อคืนพันธบัตรภาคเอกชนระยะข้ามคืนระหว่างธนาคาร เผยแพร่โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง
สำหรับเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนตามส่วนที่ 2 จากการเข้าทำสัญญาสวอปในแต่ละงวด เกิดจากส่วนต่างระหว่างกระแสเงินสดจ่าย (ดอกเบี้ยคงที่) และกระแสเงินสดรับ (ดอกเบี้ยลอยตัว) โดยขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของ THOR ซึ่งมีลักษณะผกผันกับอัตราผลตอบแทนของกองทุน แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 เมื่อนำ THOR มาแทนค่าในสูตรคำนวณแต่ละงวด และได้ผลลัพท์น้อยกว่าหรือเท่ากับอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่กองทุนจะได้รับ ดังนั้นผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับในแต่ละงวด คือ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่กองทุนจะได้รับจากสัญญาสวอป และกรณีที่ 2 เมื่อนำ THOR มาแทนค่าในสูตรคำนวณแต่ละงวด และได้ผลลัพท์มากกว่าอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่กองทุนจะได้รับ ดังนั้น ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับในแต่ละงวด คือ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวตามสัญญาสวอป ทั้งนี้ กองทุนจะพิจารณาผลตอบแทนของสัญญาสวอป ณ วันที่พิจารณาทรัพย์สินอ้างอิง
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือธนาคารกรุงไทยและผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (ถ้ามี) หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ได้ที่ https://bit.ly/KTSTSignIn
ทั้งนี้ กองทุนมีแผนจะทำธุรกรรม Inverse Floater Swap Forward กับธนาคารกรุงไทย (KTB) ในฐานะคู่สัญญาฯ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KTAM จึงถือเป็นธุรกรรมที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งผลประโยชน์
ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุนที่สำคัญ : ความเสี่ยงด้านราคาและผลตอบแทน / ความเสี่ยงด้านเครดิต / ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง / ความเสี่ยงด้านกฎหมาย / ความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์ / ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของผู้ออกตราสาร / ความเสี่ยงของประเทศที่ลงทุน / ความเสี่ยงจากข้อจำกัดการนำเงินลงทุนกลับประเทศ / ความเสี่ยงทางตลาด และความเสี่ยงในเรื่องคู่สัญญาในการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วงเวลา 2 ปี ได้ และกองทุนนี้อาจลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกและหมวดอุตสาหกรรม ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมากหรืออาจขาดทุนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / การลงทุนในผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อน ซึ่งมีปัจจัยอ้างอิงมีความแตกต่างจากการลงทุนในปัจจัยอ้างอิงโดยตรง จึงอาจทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนดังกล่าวมีความผันผวนแตกต่างจากราคาของปัจจัยอ้างอิงได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนก่อนทำการลงทุน
“โลตัส (Lotus’s)) ผู้นำค้าปลีก New SMART Retail ดำเนินงานภายใต้ชื่อจดทะเบียน บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (“บริษัทฯ”) ประกาศอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้จำนวน 3 รุ่นจากทั้งหมด 4 รุ่นที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนรายใหญ่ และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน โดยหุ้นกู้รุ่นอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี และรุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี ขณะที่รุ่นอายุ 1 ปี 6 เดือน จะประกาศอัตราดอกเบี้ยให้ทราบในภายหลัง พร้อมเสนอขายระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม 2565 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง เผยกระแสตอบรับในขณะนี้เป็นไปอย่างคึกคัก หลังจาก “โลตัส” สร้างปรากฏการณ์ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ที่นับเป็นครั้งแรกของธุรกิจค้าปลีกแบบ Omni-channel ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งภายใต้ แบรนด์ “โลตัส” (Lotus’s) ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” ตอบโจทย์ผู้ลงทุนรายใหญ่ และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน ที่แสวงหาโอกาสลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำขนาดใหญ่ และบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “โลตัส” (Lotus’s) มีความพร้อมในการเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยล่าสุดได้ประกาศอัตราดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้จำนวน 3 รุ่นจากทั้งหมด 4 รุ่น ที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนรายใหญ่ และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน ในระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม 2565 โดยหุ้นกู้รุ่นอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี และรุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี ส่วนรุ่นอายุ 1 ปี 6 เดือน จะประกาศอัตราดอกเบี้ยให้ทราบในภายหลัง สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่สามารถจองซื้อผ่านผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ ทั้งสิ้น 8 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จํากัด (มหาชน)
“เป็นที่น่ายินดีที่ หุ้นกู้ “โลตัส” (Lotus’s) ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ลงทุนรายใหญ่ และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน ที่สอบถามผ่านมายังผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งความสนใจดังกล่าวสะท้อนปรากฏการณ์ที่สำคัญในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพราะถือเป็น “ครั้งแรก” กับการลงทุนในหุ้นกู้ของธุรกิจค้าปลีกแบบ Omni-channel ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งภายใต้แบรนด์ “โลตัส” (Lotus’s) และถือเป็น “ครั้งแรก” ของการออกหุ้นกู้ “โลตัส” (Lotus’s) ภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งด้วยอายุของหุ้นกู้แต่ละรุ่นที่มีความหลากหลาย ผลตอบแทนที่น่าพอใจ และอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “A+” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ซึ่งอยู่ที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” ซึ่งจัดอันดับ ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2565 ทำให้หุ้นกู้ “โลตัส” (Lotus’s) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนรายใหญ่ได้เป็นอย่างดี” ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าว
ปัจจุบัน บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ และบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “โลตัส” (Lotus’s) ถือเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกแบบ omni-channel ที่มีช่องทางจัดจำหน่ายหลายรูปแบบ โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 “โลตัส” (Lotus’s) มีร้านค้าปลีก จำนวน 2,597 แห่งทั่วประเทศไทย ประกอบด้วยร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 224 แห่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 202 แห่ง และมินิซูเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 2,171 แห่ง ซึ่งธุรกิจในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่แข็งแกร่ง ตลอดจนระบบการกระจายสินค้าและเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเร่งการเติบโตของยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายร้านค้าทั้ง 2,597 แห่งทั่วประเทศในการเป็น fulfillment center จัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพทั่วประเทศไทย รวมทั้งยังร่วมมือกับธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ (Online Marketplace) อาทิ Grab, Shopee และ Lazada เพื่อเพิ่มจุดจำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภค ตลอดจนการเปิดตัวธุรกิจใหม่ ทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) ซึ่งสะท้อนการปรับตัวของ “โลตัส” (Lotus’s) ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ และรองรับกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า โดยมีพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า 201 แห่ง (ไม่รวมศูนย์การค้าที่มีการลงทุนโดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท หรือ LPF จำนวน 23 แห่ง) มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิถาวรรวมประมาณ 784,612 ตารางเมตร โดยมีร้านไฮเปอร์มาร์เก็ตของ “โลตัส” (Lotus’s) เป็นร้านค้าหลัก โดยในจำนวนศูนย์การค้าทั้งหมด บริษัทฯ ถือกรรมสิทธิ์ (Freehold) ใน
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าจำนวน 69 แห่ง ขณะที่อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของศูนย์การค้าอยู่ที่ประมาณ 89% และบริษัทฯ ถือหน่วยลงทุน 25% ในกองทุนรวม LPF ที่ลงทุนในศูนย์การค้า 23 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีพื้นที่ให้เช่าสุทธิถาวรรวมประมาณ 339,000 ตารางเมตร ทั้งนี้ ผลประกอบล่าสุดครึ่งปีแรกของปี 2565 (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565)
ผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ Lotus’s สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 8 แห่ง ดังนี้
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือ 02-645-5555
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 819
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-777-6784
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร 0-2111-1111
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร 1428 กด#4
ธนาคารยูโอบี จำกัด )มหาชน( โทร .02-285-1555
บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555
* ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด )มหาชน( ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด )มหาชน( และรวมทั้งการจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล)
** ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด )มหาชน(
***ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด )มหาชน( ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด )มหาชน