แม้โลกปัจจุบันหลายภาคส่วนจะมีการคิดค้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆเพื่อตอบสนองการใช้งานและมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภคแต่ศาสตร์ในด้านการบริหารจัดการยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
ด้วยรากฐานกว่า 80 ปี รวมกับความไว้วางใจของลูกค้าในประเทศไทย ทำให้เอไอเอ ประเทศไทย เป็นผู้นำตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อดูการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตทั้งตลาดในปี 2561 จะเห็นว่า เบี้ยประกันชีวิตรับปีแรกหดตัวลง 7.2 เปอร์เซ็นต์ แต่เบี้ยประกันแบบจ่ายครั้งเดียวเพิ่มขึ้น 31.0 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ เอไอเอ ประเทศไทย สามารถทำผลงานได้โดดเด่นกว่าตลาดโดยรวม โดยมีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรับปีแรกถึง 8.6 เปอร์เซ็นต์ และเบี้ยประกันแบบจ่ายครั้งเดียวที่เติบโตถึง 32.2 เปอร์เซ็นต์
เอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า เหตุที่เอไอเอสามารถทำผลงานได้ดีมาอย่างต่อเนื่อง มาจากการปรับตัวอย่างสม่ำเสมอของเอไอเอเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาตัวแทนที่เป็นที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตและการเงิน หรือ AIA Financial Advisor รวมถึงการผลักดันนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและพัฒนาการบริการในด้านต่างๆ
แนวโน้มประกันชีวิต ปี 2562 สมาคมประกันชีวิตไทยประเมินว่าตลาดประกันชีวิต ในภาพรวมปี พ.ศ. 2562 จะเพิ่มขึ้น 3.5 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้น เอกรัตน์มอง 4 แนวโน้มที่น่าจับตามองของธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้ซึ่งประกอบด้วย
ดิจิทัลจะเพิ่มความสำคัญ
แม้ธุรกิจประกันชีวิตจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากกระแสดิจิทัลที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงเช่นที่เกิดขึ้นแล้วในหลายอุตสาหกรรม แต่จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในบางอุตสาหกรรมทำให้เกิดความคาดหวังว่าจะได้รับบริการในรูปแบบใกล้เคียงกัน จึงเป็นโจทย์ที่บริษัทประกันชีวิตต้องเตรียมรับมือเอไอเอ ตั้งเป้าหมายจะเป็น Leading Digital Insurer ของประเทศไทยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น “การนำเทคโนโลยีมาช่วยให้กระบวนการภายในมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็จะกลับไปเป็นบริการที่ดีขึ้น คืนให้กับลูกค้าทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น”
การตลาดแบบการแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation Marketing)
จากแนวโน้มที่การสื่อสารการตลาดแบบมุ่งกระจายในวงกว้างไม่จำเพาะเจาะจงกลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพลดลงในยุคปัจจุบัน เพราะผู้บริโภครุ่นใหม่มีช่องทางรับข่าวสารจำนวนมาก การสื่อสารให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายการพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์รวมถึงวิธีการทำการตลาดจากข้อมูลที่มีอยู่จึงเป็นเรื่องสำคัญ
เอกรัตน์ยกตัวอย่าง เอไอเอ ไวทัลลิตี้ (AIA Vitality) และ เอไอเอ เพรสทีจ (AIA Prestige) ว่า เป็นการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เอไอเอสามารถทำผลงานได้อย่างชัดเจน โดย เอไอเอ ไวทัลลิตี้ เป็นโปรแกรมที่มีลูกค้าที่สนใจในเรื่องการดูแลสุขภาพและใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองเข้าร่วมแล้วถึง 250,000 ราย ทำให้บริษัทสามารถลงทุนเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ เอไอเอ เพรสทีจ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เอไอเอมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าสินทรัพย์สูง (High Net Worth) ซึ่งได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ถือว่าได้รับผลตอบรับที่ดีมาก โดย เอไอเอ เป็นบริษัทประกันชีวิตเจ้าแรกของประเทศไทยที่ทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าสินทรัพย์สูงอย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทได้เปิดตัวโครงการ เอไอเอ เพรสทีจ คลับ เพื่อมอบเอกสิทธิ์เหนือระดับให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าสินทรัพย์สูง ด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ ซึ่งได้รับสนใจจากลูกค้ากลุ่มนี้อย่างมาก ทำให้ปัจจุบัน มีลูกค้าที่อยู่ในโครงการมากกว่า 70,000 ราย ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในการเตรียมพร้อมรับมือกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันของเอไอเอ
การดูแลข้อมูลส่วนบุคคล
พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กำลังจะประกาศใช้เป็นกฎหมายในประเทศไทยซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ รวมถึงธุรกิจประกันชีวิตต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจโดยเอไอเอจะมีการพัฒนาการจัดการข้อมูลของลูกค้า ให้รองรับกฎหมายที่กำลังจะออกมาเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลของแต่ละคนจะถูกนำไปใช้อย่างถูกต้อง และมีการป้องกันข้อมูลสำคัญต่างๆ เป็นอย่างดี
บทบาทของ ‘ที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตและการการเงิน’ จะเพิ่มขึ้น
จากการที่ธุรกิจประกันชีวิตมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ ซึ่งในหลายผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อนต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ และนี่คือบทบาทของที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตและการเงิน (AIA Financial Advisor) ที่จะเข้ามาช่วยให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทที่ทำเรื่องนี้ได้ดีก็จะสามารถสร้างความแตกต่างในตลาดได้ เอกรัตน์มองว่า ที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตและการเงิน จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเอไอเอ เพราะตัวแทนกลุ่มนี้มีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและการวางแผนการเงินอย่างลึกซึ้ง สามารถช่วยเหลือให้คำปรึกษากับลูกค้าในการเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย โดยบริษัทมีการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ AIA Financial Advisor สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การเสนอแบบประกันชีวิต การชำระเงิน การตรวจสอบสถานะการเคลม ซึ่งตัวแทนทำได้เองบนแท็บเล็ทเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
เอกรัตน์สรุปว่า ในปี 2562 เอไอเอจะมีการพัฒนาทางด้านกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าได้รับการดูแลที่ดีขึ้น และจะมีการพัฒนาตัวแทนให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยสนับสนุนการนำเสนอประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า รวมทั้งจะมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพการให้บริการลูกค้าให้ตรงกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคนแต่ละ กลุ่มมากขึ้น ซึ่งจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เอไอเอจะยังเป็นแบรนด์ในใจของผู้บริโภคต่อไป
ขณะเดียวกัน เอไอเอ ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัท ผ่านโครงการเพื่อตอบแทนสังคมในรูปแบบต่างๆ เพื่อมุ่งเน้นให้ประชากรในประเทศไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ในปีนี้นอกจากการไปร่วมเป็นสปอนเซอร์ให้กับงานวิ่งต่างๆ เอไอเอ ประเทศไทย จะมีการจัดงานวิ่งต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยจะมีการประกาศรายละเอียดในช่วงกลางๆ ปีนี้ พร้อมกันนี้ในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปี เอไอเอ ประเทศไทย ก็ยังมีการเปิดโรงเรียนศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เอไอเอ ประเทศไทย ที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งคำขอบคุณที่ เอไอเอ ประเทศไทย มอบให้แก่สังคมเพื่อร่วมพัฒนาบุคลากรและสังคมที่มีคุณภาพให้กับประเทศไทยต่อไป
“เคทีซี” ผู้นำธุรกิจบริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของไทย เผยทิศทางการทำ CSR ปี 2562 มุ่งเน้นการให้โอกาสทางการศึกษากับเยาวชนทุกกลุ่มแบบไม่มีข้อจำกัด โดยเฉพาะกลุ่มผู้บกพร่องทางร่างกาย ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาและเรียนรู้ได้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีการนำไปปรับใช้และพัฒนาไปเป็นอาชีพในการเลี้ยงดูตนเอง และยังสามารถถ่ายทอดต่อให้ผู้อื่น เพื่อสร้างความยั่งยืนในสังคมในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด SD
นางสาวอภิวันท์ บากบั่น ผู้อำนวยการ - ทรัพยากรบุคคล “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า เคทีซีเป็นสถาบันการเงินที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการให้โอกาสทางการศึกษา และสนับสนุนการให้ความรู้กับคนในสังคม โดยเฉพาะการร่วมพัฒนาศักยภาพเยาวชนไทยให้มีคุณภาพอย่างไม่มีขีดจำกัด ผ่านการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ด้วยเป้าหมายของการนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ต่อยอดในด้านต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (Sustainable Development Goals–SDGs) รวม 3 เป้าหมาย ได้แก่
1. การให้การศึกษาที่เท่าเทียม(Quality Education)
2. การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Good Health and Well-Being)
3. การบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน (Responsible Consumption and Production)
“เคทีซีจึงได้ริเริ่มโครงการ CSR ประจำปี 2562 “เรียนรู้ ต่อยอด ยั่งยืน” เพื่อร่วมเตรียมพร้อมให้นักเรียนรู้จักการพึ่งพาตนเอง โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องความบกพร่องทางกายเป็นอุปสรรค โดยได้รับความร่วมมือที่ดีจากโรงเรียนเศรษฐเสถียรฯ บรรจุโครงการนี้ไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ซึ่งน้องๆ จะได้เรียนรู้ทฤษฎีและฝึกปฏิบัติการเกษตรเพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาและต่อยอดสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และบริหารการใช้จ่ายเพื่อการใช้ชีวิตที่มีความสุขอย่างยั่งยืน อีกทั้งรู้จักถ่ายทอดแบ่งปันให้กับสังคม โดยเราได้เลือกกระบวนการเพาะเห็ดออร์กานิคครบวงจร เพื่อทำกินและสร้างอาชีพเป็นโครงการนำร่อง โดยเริ่มตั้งแต่การเรียนรู้ชนิดของเห็ด กระบวนการเพาะเห็ด การแปรรูปเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารกลางวัน ทำให้โรงเรียนประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อ ต่อยอดสร้างอาชีพสร้างรายได้ ตลอดจนส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักบริหารการใช้จ่าย และเรียนรู้การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อใช้ในชีวิตจริงให้เกิดประโยชน์กับตนเองและครอบครัว สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอน รวม 12 สัปดาห์ จะมีวิทยากรให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญจากฟาร์มเห็ดโพธิ์ทอง อาจารย์โรงเรียน เศรษฐเสถียรฯ และเคทีซี โดยจะมีการประเมินความรู้ก่อนและหลังเรียนรวมทั้งเปิดเวทีให้น้องๆ นำเสนอผลงานในสัปดาห์สุดท้าย”
อาจารย์สายใจ สังขพันธ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “โรงเรียนเศรษฐเสถียรฯ ขอขอบคุณเคทีซีและทีมงานทุกฝ่าย ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาชีพให้กับคนพิการ โครงการ CSR ครั้งนี้ เน้นการออกแบบกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ฝึกทักษะสร้างอาชีพและสร้างรายได้ ในรูปแบบ “เรียนรู้ ต่อยอด ยั่งยืน” เชื่อมโยงกับการจัดการเรียนการสอนบูรณาการแบบโครงงานเพาะเห็ดในโรงเรียน นักเรียนจะได้ฝึกปฏิบัติจริงลงพื้นที่จริงกับวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญ และอาจารย์จะร่วมถ่ายทอดด้วยภาษามือ เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ซึ่งจะเรียนรู้ได้ดีจากการมองเห็นและสัมผัสจริง นอกจากนั้นเห็ดที่เกิดขึ้นจากการเพาะในโครงการ ยังสามารถนำไปเป็นอาหารหรือจำหน่ายเป็นรายได้ ก็จะทำให้นักเรียนมีความเข้าใจในการทำอาชีพมากขึ้น สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความคิดในเชิงบวกต่ออาชีพ จะได้คิดเป็นทำเป็น และเป็นความยั่งยืนในการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประกอบอาชีพจริงด้วยความภาคภูมิใจในตนเองและของผู้ปกครอง”
นางสาวฐิติรัตน์ พ่วงโพธิ์ทอง เจ้าของ “ฟาร์มเห็ดโพธิ์ทอง” เกษตรกรผู้เชี่ยวชาญด้านการเขี่ยเชื้อเห็ดและการเพาะเห็ด กล่าวถึงกระบวนการเพาะสายพันธุ์เห็ดเศรษฐกิจ การต่อยอดทางอาชีพตามวิถีเกษตรพอเพียงว่า “จากประสบการณ์การทำงานและอยู่ในกระบวนการเพาะเห็ดอย่างครบวงจรมามากกว่า 30 ปี ตลอดจนทำการแปรรูปเป็นอาหารคาว-หวานและเครื่องดื่ม ซึ่งนำมาสู่การต่อยอดเป็นอาชีพตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ครั้งนี้จึงมีความรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ร่วมเป็น ส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพาะเห็ดต่อยอดอย่างยั่งยืน โดยน้องๆ โรงเรียนเศรษฐเสถียรฯ จะได้เรียนรู้การ เพาะเห็ดแบบไม่ใช้สารเคมี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และเมื่อเรียนแล้วสามารถนำไปทำเองที่โรงเรียนได้ สิ่งที่ได้รับจากการเพาะเห็ดจะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า เพราะเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์จริงและสามารถทำได้จริง ดีใจที่จะได้ร่วมกับเคทีซีและโรงเรียนในการสร้างแนวทางให้กับนักเรียน รวมทั้งประสบการณ์ที่ได้รับนั้นจะเป็นแนวทางให้นักเรียนสร้างรายได้ สร้างความสุขและสร้างความยั่งยืนในอนาคต”
นางสาวอภิวันท์ กล่าวปิดท้าย “การที่เคทีซีเลือกการเพาะเห็ดเป็นหลักสูตรให้กับโรงเรียน เศรษฐเสถียรฯ เพราะเห็ดเป็นผักที่ได้รับความนิยม มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางอาหารสูง สภาพดินฟ้าอากาศของไทยเหมาะต่อการเจริญเติบโต และยังได้ผลผลิตสูง ขายง่าย ได้ราคาดี เป็นที่ต้องการของตลาด วิธีการเพาะเห็ดก็ทำได้ง่ายและลงทุนไม่มาก จึงน่าจะเรียนรู้และนำไปพัฒนาต่อได้ไม่ยาก โดยเคทีซียังได้สร้างโรงเรือนเพาะเห็ดในโรงเรียนเศรษฐเสถียรฯ เพื่อประกอบการเรียนการสอน และหวังอย่างยิ่งว่านักเรียน และบุคลากรโรงเรียนเศรษฐเสถียรฯ จะได้รับประโยชน์จากองค์ความรู้ที่เคทีซีตั้งใจมอบให้ เพื่อเป็นแหล่งความรู้ และส่งต่อการเรียนรู้จากรุ่นสู่ร่นต่อไป”
สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศรายชื่อบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance) ติดอันดับ ESG 100 ปี 62 พร้อมคัดกองทุนโครงสร้าง พื้นฐาน / รีทส์ / อสังหาริมทรัพย์ ด้วยเกณฑ์ ESG เป็นครั้งแรก สร้างทางเลือกสำหรับการลงทุนที่ยั่งยืน และได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป
สถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG Rating ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย ได้ริเริ่มจัดทำและประกาศรายชื่อ 100 หลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ในปี พ.ศ.2558 เป็นปีแรก
การจัดอันดับหลักทรัพย์กลุ่ม ESG100 รอบนี้ถือเป็นปี ที่ห้าของการประเมินโดยทีม ESG Rating ในสังกัด สถาบันไทยพัฒน์ ด้วยการคัดเลือกจาก 771 บริษัทจดทะเบียน (ไม่รวมหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู) รวมทั้งกองทุน รวมอสังหาริมทรัพย์ (PF) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IF) ทาการประเมินโดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง1 จำนวนกว่า 14,278 จุดข้อมูล
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธาน สถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “การประเมินในปีนี้สถาบันไทยพัฒน์ ได้พิจารณา ข้อมูลทั้งการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน โดยในปีนี้ เรายังได้ทำการประเมินกองอสังหาฯ - REITs – โครงสร้างพื้นฐาน โดยใช้เกณฑ์ ESG เป็นครั้งแรก เพื่อเพิ่มทางเลือกของการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ แต่สามารถให้ผลตอบแทนที่ไม่ด้อยกว่าการลงทุนในหุ้นทั่วไป”
ผลการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่เข้าอยู่ใน Universe ของ ESG100 ประจำปี 2562 จำแนกตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม จำนวน 8 กลุ่ม ประกอบด้วย
ในจำนวนนี้ มีหลักทรัพย์ที่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่ม ESG100 ที่มาจากตลาด mai อยู่ 9 หลักทรัพย์ ได้แก่ FPI, MBAX, MOONG, PPS, TMILL, TPCH, SPA, WINNER, XO และเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 กอง ได้แก่
มีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (PF) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่ได้รับคัดเลือก จำนวน 7 กอง ได้แก่
ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) รวมกันของหลักทรัพย์ ESG100 มีมูลค่าราว 10.4 ล้านล้าน บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 62.6 เมื่อเทียบกับมาร์เกตแคปรวมของตลาด (SET) ที่ 16.6 ล้านล้านบาท
รายชื่อหลักทรัพย์ ESG100 ชุดใหม่นี้ มีการเปลี่ยนแปลงจากปี ที่แล้ว ในสัดส่วนร้อยละ 27 และจะถูกนำไปใช้ ทบทวนรายการหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนี อีเอสจี ไทยพัฒน์ หรือ Thaipat ESG Index ในเดือนกรกฎาคมนี้
ผู้ลงทุนที่สนใจข้อมูลหลักทรัพย์จดทะเบียนในกลุ่ม ESG100 สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.esgrating.com
1 ประกอบด้วย ข้อมูลในหัวข้อความรับผิดชอบต่อสังคมในแบบแสดงรายการข้อมูลประจําปี (แบบ 56-1) สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ข้อมูลการประเมินการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน (ESG Rating) บริษัท อีเอสจี เรตติ้ง จำกัด ข้อมูลโครงการประกาศรางวัลรายงานความยั่งยืน สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ข้อมูลผลสำรวจการกำกับ ดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (CG Scoring) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ข้อมูลโครงการประเมินระดับการพัฒนาความยั่งยืนของกิจการ (CSR Progress Indicator และ Anti-corruption Indicator) สถาบันไทยพัฒน์ และข้อมูลการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียและสื่อ (Media and Stakeholder Analysis: MSA) บริษัท อิมเมจ พลัส คอมมิวนิเคชั่น จำกัด
นายป้อมเพชร รสานนท์ (กลาง) รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวเปิดตัวทีมสินเชื่อรถยนต์ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้ธนาคารธนชาตครองความเป็นที่ 1 ในธุรกิจมาได้อย่างยาวนาน พร้อมประกาศแนวคิด Drive Your Progress มุ่งมั่นขับเคลื่อน ความก้าวหน้า ให้ลูกค้าตลอดเส้นทางชีวิต และเดินหน้ารักษาตำแหน่งผู้นำตลาด เผยกลยุทธ์รุกดิจิทัลแพลตฟอร์ม ควบคู่กับการขยายฐานพันธมิตรออนไลน์ งานแถลงข่าวมีขึ้น ณ ห้องจามจุรี 1 โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพฯ
สมิติเวชฉลองครบรอบ 40 ปี เปิด โรงพยาบาลญี่ปุ่น สมิติเวช โรงพยาบาลญี่ปุ่นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน (First Japanese hospital in AEC) ด้วยมาตรฐานทางการแพทย์ระดับสากล จับมือโรงพยาบาลทากัตสึกิ และโรงพยาบาลซาโน่ โรงพยาบาลชั้นนำจากประเทศญีปุ่น เพื่อมอบสุขภาพที่ดีให้แก่ชาวญี่ปุ่น โรงพยาบาลญี่ปุ่น สมิติเวช เป็นหนึ่งในเครือโรงพยาบาลสมิติเวช ภายใต้การบริหารของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
เป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง ตั้งอยู่ซอยสุขุมวิท 49 เป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวญี่ปุ่น พร้อมดูแลด้วยทีมแพทย์ พยาบาลชาวญี่ปุ่น และเครื่องมือที่ทันสมัยพร้อม Tele-Translator แปลภาษาญี่ปุ่นด้วยล่ามผ่านระบบวีดีโอคอล ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และการบริการจากใจในแบบฉบับวัฒนธรรมญี่ปุน ตลอดจนออกแบบสถานที่ อุปกรณ์ในสไตล์ญี่ปุ่น เพื่อให้รู้สึกคุ้นเคย เกิดความไว้วางใจในการเข้ารักษาเสมือนโรงพยาบาลในบ้านเกิดของตนเอง
นายแพทย์ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า หลายปีนี้ มี Expat ชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำงานใน South East Asia มากขึ้น เช่นเดียวกับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนและก่อตั้งบริษัทใน EEC การที่ชาวต่างชาติต้องมาใช้ชีวิตในประเทศที่ไม่คุ้นเคย นอกจากความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตแล้ว การดูแลสุขภาพ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ชาวญี่ปุ่นคำนึงถึง โดยตลอด 40 ปีของสมิติเวช โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย และประเทศใกล้เคียง เพื่อเป้าหมายหนึ่งเดียว คือ สร้างระบบการสาธารณสุขที่ดี เพื่อรองรับชาวญี่ปุ่นในระดับประเทศ ในปีที่ผ่านมามีผู้รับบริการชาวญี่ปุ่นประมาณ 400 คนต่อวัน มีทารกญี่ปุ่นคลอดที่สมิติเวช ประมาณ 200 คนต่อปี นอกจากนี้สมิติเวชเป็นโรงพยาบาลแรกนอกประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการเยี่ยมสำรวจ จาก Japan Council for Quality Health Care (JCQHC) ประเทศญี่ปุ่น ด้านคุณภาพความปลอดภัยทางการแพทย์
รวมถึงการลงนามกับโรงพยาบาลทากัตสึกิ ที่เชี่ยวชาญด้านกุมารเวช การดูแลทารกแรกเกิดวิกฤต และการผ่าตัดข้อเข่า และโรงพยาบาลซาโน่ ที่เชียวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร ช่วยคัดกรองความเสี่ยงมะเร็งสำไส้ใหญ่ด้วยเทคนิคการส่องกล้อง NBI (Narrow Band Image) สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งเร็วขี้น 2 เท่าและเทคนิคการผ่าตัดก้อนเนื้อขนาดใหญ่ผ่านกล้อง ESD (Endoscopic Submucosal Dissection) เพื่อให้ทุกท่านมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ และมีความสุขตลอดไป
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดำเนินการมาครบ 20 ปี ในปีนี้ แนวคิดการจัดการอยู่บนพื้นฐานบริบทของสังคม ศาสนา วัฒนธรรม และกระบวนการมีส่วนร่วม ควบคู่ไปกับการสอดแทรกแนวคิด ทฤษฎีใหม่ๆ ทางด้านการบริหารธุรกิจ ซึ่งนำไปสู่ความยั่งยืนของหลักสูตร และพร้อมสำหรับกระแสการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกธุรกิจทั้งในประเทศและการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก
ผู้ศึกษาในหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจสำหรับผู้บริหาร ทั้งหมดเป็นบุคลากรจากภาคธุรกิจ มาจากหลากหลายหน่วยงานทั้งภาคธุรกิจและราชการ ในระดับผู้บริหารระดับสูง เจ้าของกิจการ ผู้มากด้วยประสบการณ์ ที่ต้องการความรู้เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงและสร้างความยั่งยืนแก่อาชีพและธุรกิจ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มเจ้าของธุรกิจ Start up (คนรุ่นใหม่) เปิดบริษัทขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับธุรกิจด้านไอที และรวมถึงต้องการทำธุรกิจให้เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด สามารถสร้างรายได้จำนวนมาก คนทั้งสองกลุ่มนี้ต้องการการเรียนรู้ ต้องการพัฒนาทักษะใหม่ๆ สำหรับการประกอบอาชีพ นับได้ว่าโครงการเราได้เปรียบในการมีผู้ศึกษาที่ประกอบด้วยคนที่แตกต่างกันทั้งสองกลุ่มนี้ สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดระหว่างกันได้
วัตถุประสงค์หลักของหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจสำหรับผู้บริหาร เพื่อสร้างความยั่งยืน คือการออกแบบหลักสูตรที่มีความยืดหยุ่น ที่จะสามารถนำความพร้อมที่แตกต่างกันของผู้เรียนทั้งสองกลุ่ม ให้สามารถนำประสบการณ์ที่ผ่านมาเข้ามาแบ่งปันแนวคิดของคนต่างรุ่น ตลอดจนสอดแทรกแนวคิดทางการบริหารธุรกิจสมัยใหม่ มาบูรณาการกับการเรียนรู้ในหลักสูตรของเรา โดยมุ่งเน้นการสร้างความผูกพันและสังคมแห่งการแบ่งปัน ทั้งระหว่างผู้เรียนในชั้นปีและศิษย์เก่าชั้นปีต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่เกิดจากความผูกพัน ความจริงใจ ในการช่วยเหลือแบ่งปันในลักษณะครอบครัว Ex-MBA อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาหลักสูตร วิชา และวิธีการเรียนการสอนให้เหมาะสมในการดึงเอาศักยภาพของผู้ศึกษาเพื่อให้เกิดการแบ่งปันและพัฒนาศักยภาพของแต่ละคนที่มีอยู่ ในภาพรวมของฟังก์ชั่นการบริหารธุรกิจ ทั้งการบริหารจัดการ การเงิน บัญชี การตลาด การวิจัย เป็นต้น แต่ในการพัฒนาหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอนนั้น ทางโครงการยังได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคม การปรับเปลี่ยนหลักสูตร ไม่ใช่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวที่เกิดขึ้น แต่เป็นการนำประสบการณ์ของมหาวิทยาลัยไปตอบสนองความต้องการของสังคม ที่สำคัญ เราต้องสร้างจิตวิญญาณที่ทำให้คนแต่ละคนสามารถพัฒนาตัวเองไปได้ไกลมากขึ้น
ในการเรียนการสอน เราให้ความสำคัญกับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้กับสภาพแวดล้อมจริง เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่นในปีที่ผ่านมาทางหลักสูตรได้ บูรณาการ การเรียนกับโจทย์จากธุรกิจจริงในท้องถิ่น โดยทำในรูปแบบของการจัดทำแผนธุรกิจให้กับธุรกิจท้องถิ่นที่ยินดีให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลต่าง ๆ ให้ทีมนักศึกษาเข้าร่วมในการศึกษาวิเคราะห์ธุรกิจและนำเสนอข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาศักยภาพของธุรกิจนั้นๆ ในรูปแผนธุรกิจ จำนวน 6 กลุ่มธุรกิจ นักศึกษาแต่ละกลุ่มจะได้เรียนรู้โดยเอาแนวคิดที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้ ประสบการณ์การบริหารจัดการส่วนตัว ความถนัดในแต่ละสาขาวิชาที่มีอยู่ การทำวิจัย มาแบ่งปันเรียนรู้ร่วมกันและบูรณาการร่วมกัน โดยมีคณาจารย์เป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิดทุกกลุ่ม
ผลการจัดทำ Action Learning จะทำให้ผู้เรียนต้องใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ใช้เวลาในการศึกษาภาคทฤษฎีจากคณาจารย์ไปพร้อมๆ กับการประชุมกลุ่ม การเข้าพบผู้ประกอบการนอกเหนือจากเวลาเรียนมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนต้องใช้ความพยายามและเวลามากขึ้น แต่ผลการทำ Focus Group กับกลุ่มผู้เรียน พบว่าส่วนมากเกิดความรู้เข้าใจในธุรกิจใหม่ๆ ที่ต่างไปจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ ได้มุมมองภาพรวมของการบริหารจัดการมากขึ้นว่าทุกฟังก์ชั่น ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งหมด เช่น การบริหารด้านการเงิน จะส่งผลต่อระบบธุรกิจด้วย เป็นต้น ในด้านเจ้าของธุรกิจที่กรุณามาเป็น Case ให้เรา จากการทำแบบประเมินพบว่า การเรียนการสอนรูปแบบนี้ช่วยสะท้อนแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในมุมมองของคนภายนอกธุรกิจของตน ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ดี และมีความพึงพอใจในระดับมาก ในปีนี้เราจึงทำการสอนในรูปแบบ Action Learning ต่อเป็นปีที่สอง แต่ทางคณาจารย์ของโครงการ มีการปรับวิธีการเรียนการสอนเพื่อให้เหมาะสมและช่วยลดเวลาต่างๆ ของนักศึกษาลง โดยนำเอาจุดอ่อนของปีที่ผ่านมาเป็นตัวตั้งในการปรับปรุง เพื่อให้สามารถดึงพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวคนทุกคนออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์จากการเรียนรู้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ และวิธีการเรียนการสอนแบบ Action Learning ของทางหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจสำหรับผู้บริหาร เป็นที่สนใจของศิษย์เก่ารุ่นพี่ๆ ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว ทางเรากำลังคิดว่า อาจมีการจัดหลักสูตรอบรมระยะสั้นๆ สำหรับอัปเดตความรู้ให้กับศิษย์เก่ารุ่นพี่ๆ ในอนาคต อาจเป็นการสมัครเข้ามาเรียนรู้ในบางหัวข้อร่วมกับรุ่นน้องและคณาจารย์ผ่านการเรียนการสอนแบบ Action Learning เพื่อตอบสนองต่อผู้เรียนในการพัฒนาธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องจากการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ทางหลักสูตรยังได้มุ่งเน้นไปที่การเปิดวิสัยทัศน์ ด้าน International Business Management ให้กับกลุ่มผู้เรียน โดยในช่วงแรกๆ จะเป็นรูปแบบการไปเยี่ยมเยือนต่างประเทศเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และดูงานในกลุ่มประเทศต่างๆ ในระยะสั้นๆ เพื่อการเปิดวิสัยทัศน์และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน แต่เมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาทางหลักสูตรเริ่มให้มีการเข้าไปศึกษาโดยฟังการบรรยายในหัวข้อสำคัญๆ ด้าน International Business Management ในปี ค.ศ. 2015-2017 เข้าฟังการบรรยายด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยในประเทศฝรั่งเศส และ ในปี ค.ศ. 2018 และ 2019 ทางหลักสูตรได้ติดต่อพาผู้เรียนไปศึกษากระบวนวิชา International Business Management ระยะเวลา 5 วัน กับมหาวิทยาลัยที่มี MOU กับทางคณะ ในประเทศเยอรมัน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เกิดวิสัยทัศน์ ฝึกใช้ภาษาต่างประเทศ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เรียน
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมามีศิษย์เก่าของทางหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจสำหรับผู้บริหาร (Ex-MBA) ที่สำเร็จการศึกษาและประสบความสำเร็จมากมาย ทั้งในส่วนของภาคราชการ ภาคธุรกิจ ตลอดจนเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งคงขอยกเป็น Case ธุรกิจโดยไม่เอ่ยชื่อผู้เรียนเพราะอาจจะทำให้ผู้ไม่ถูกเอ่ยนามน้อยใจ เช่น ในภาคราชการเราจะมีทั้งในส่วนของอาจารย์ ตำรวจ ทหาร พยาบาลในหน่วยงานของภาครัฐบาล ที่หลังจากสำเร็จการศึกษาไปแล้วได้นำความรู้ที่เรียนมาไปช่วยในการทำงานจนประสบความสำเร็จได้เลื่อนตำแหน่ง เช่น เป็นคณบดี เป็นหัวหน้าแผนก หัวหน้าฝ่าย ได้รับรางวัลยกย่องเป็นบุคลากรดีเด่นของหน่วยงาน เป็นต้น ในส่วนของผู้บริหารมืออาชีพได้รับความสำเร็จในอาชีพบริหาร ได้เลื่อนเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล หัวหน้าหน่วยงาน ผู้จัดการเขต ผู้จัดการภาค ก็มากมาย หรือในส่วนของผู้ประกอบการก็มีผู้สำเร็จการศึกษาที่สามารถกลับไปสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจ ขยายธุรกิจให้มีหลายสาขามากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ มีการเข้าไปทำธุรกิจเป็นธุรกิจระดับ International และมีกลุ่มที่ได้รับรางวัลดีเด่นระดับนานาชาติ หรือบางท่านนอกจากจะไปเป็นผู้บริหารมืออาชีพระดับประเทศแล้ว ยังใช้ความรู้ที่ได้จากระดับปริญญาโทไปต่อยอดในการศึกษาระดับปริญญาเอกอีกด้วย ทำให้เราได้ข้อสรุปว่าการเรียนที่ได้สามารถตอบสนองผู้เรียนได้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติได้จริงๆ
ที่สำคัญและเป็นความภาคภูมิใจของหลักสูตร คือ ศิษย์เก่าของหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ สำหรับผู้บริหาร (Ex-MBA) ของเรา ไม่เคยลืมที่จะกลับมาช่วยเหลือทางคณะ เพื่อนๆ ร่วมหลักสูตร และเป็นคนคิดดีทำดี
เรื่อง : รศ.อรชร มณีสงฆ์ | ประธานกรรมการบริหารหลักสูตร บริหารธุรกิจมหาบัณฑิตสำหรับผู้บริหาร
ภาพ : ชัชชา ฐิติปรีชากุล
แม้ว่าปัจจุบันหลายๆ คนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้นภายใต้พัฒนาการของเทคโนโลยีที่เข้ามาทั้งช่วยต่อยอด ช่วยต่อเติม กระทั่งถึงการแทรกแซงการศึกษาในระบบ
หากมองว่าเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการในยุคนี้ อาทิเช่น AI หรือ ArtificialIntelligent จะเข้ามาแทนที่ หรือ Disrupt แรงงานในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมกระทั่งถึงงานด้านการบัญชีแล้ว แล้วเรามองว่านั่นคืออุปสรรคและเรากำลังจะถูกแทนที่ คงไม่จำเป็นต้องเปิดสอนหลักสูตรการบัญชีกันอีกต่อไป แต่ในข้อเท็จจริงคือปรากฏการณ์กำลังจะส่งผลต่อทุกๆ อาชีพและหากพลิกมุมมองจะพบว่าความเปลี่ยนแปลงนี้นอกจากความท้าทายยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘โอกาส’ รวมอยู่ด้วย หากว่าเราสามารถดึงเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยยกระดับประสิทธิภาพงานด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีที่มีทั้งความถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว แล้วตัวเราเองก็หันมาพัฒนาทักษะและปรับบทบาท ตลอดจนการเรียนรู้เพื่อเป็นนักบัญชียุคใหม่ คือความเห็นของ รศ.ดร.นฤนาถ ศราภัยวานิช หัวหน้าภาควิชาการบัญชี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือ AccBA CMU
ด้วยการเล็งเห็นแนวโน้มความเปลี่ยนแปลง ภาควิชาการบัญชีของ AccBA จึงเริ่มกระบวนการปรับพัฒนาหลักสูตรซึ่งจะ Implement ในปี พ.ศ. 2563 โดยหลักสูตรระดับปริญญาตรีจะมีวิชา Minor เกี่ยวกับไอทีเพิ่มเข้ามาและกำหนดเป็นวิชาบังคับ ซึ่งหลักสูตรบัญชีปัจจุบันไม่ได้กำหนดให้นักศึกษาต้องเรียน Minor แต่หากนักศึกษาสนใจจะเรียน Minor ก็จะเปิดกว้างให้สามารถเลือกเรียน Minor สาขาอะไรก็ได้ เช่น Major บัญชี แต่ Minor อาจจะเป็นภาษาอังกฤษ เยอรมัน วิทยาศาสตร์ หรือสาขาอื่นๆ เป็นต้น แต่หลักสูตรใหม่จะเป็นภาคบังคับเลยว่า Major บัญชี ต้อง Minor ไอที ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 วิชา โดยทางภาควิชาได้เข้าไปสร้างความร่วมมือกับคณะวิศวฯ เพื่อร่วมศึกษาและกำหนดแนววิชาด้านไอทีที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องและจำเป็นกับวิชาชีพบัญชี หรือ AI มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานในวิชาชีพตรงไหน อย่างไรบ้าง
ทั้งนี้ รศ.ดร.นฤนาถ ยังกล่าวถึงกระบวนการปรับพัฒนาหลักสูตรของภาควิชาบัญชีว่า “อันดับแรกทางสาขาการบัญชีเราเริ่มจากการทำความเข้าใจ AI ด้วยวิชา Minor ที่จะสอนให้นักศึกษาได้รู้ว่า AI ทำงานอย่างไรและสามารถนำมาสนับสนุนและต่อยอดในวิชาชีพได้อย่างไร โดยเทรนด์ปัจจุบันจะเห็นว่ามีเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นมาช่วยการจัดการด้านบัญชีได้มาก ถึงขั้นที่สามารถสแกนเอกสารแล้วเข้าสู่ระบบงานบัญชีเพื่อทำการบันทึกและรวบรวมข้อมูลได้เลย ซึ่งช่วยลดงานด้านการบันทึกรายการหรือ Record Transaction เบื้องต้นได้มาก เท่ากับว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ เข้ามาช่วยลดทอนงานในลักษณะที่เป็น Routine ออกไปได้มาก นั่นคือความหมายของการถูกแทนที่หรือถูกดิสรัป แต่อย่างไรก็ตามงานที่เป็นเรื่องของการคิดวิเคราะห์ งานวางแผน การตัดสินใจหรือหน้าที่ในการ Approve ข้อมูล วิเคราะห์ Transaction เชิงลึกนั้นยังคงต้องเป็นหน้าที่ของมนุษย์อยู่นั่นเอง ดังนั้น ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีจึงต้องมีทักษะและความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นเครื่องมือในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ยุคสมัย นอกจากนี้ทางหลักสูตรยังมีการส่งเสริม Soft Skill เพื่อเป็นทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและมีจิตสำนึกต่อสังคมอีกด้วย”
บ่มเพาะจิตสำนึกเพื่อสังคม
ทั้งนี้ รศ.ดร.นฤนาถ ยังขยายความถึง Vision ด้านการเรียนการสอนของคณะที่นอกจากเรื่องทักษะทางวิชาชีพแล้ว ทางคณะฯ ยังมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการผลิตบัณฑิตที่มีจิตสำนึกต่อสังคมหรือ Social Conscious ว่า
“ความรู้ที่เราจัดในหลักสูตร 4 ปีนี้น่าจะก่อประโยชน์อะไรให้สังคมได้บ้าง มีการปรับหลักสูตรให้นักศึกษาปี 4 เข้าไปศึกษาหาข้อมูลว่ามีชุมชนใดที่ต้องการความช่วยเหลือและนักศึกษาเห็นว่าตนเองสามารถนำองค์ความรู้ในสาขาบัญชีที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา ไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาให้กับชุมชนเหล่านั้นได้อย่างยั่งยืนบ้าง แล้วพัฒนาเป็นข้อเสนอโครงการที่ระบุวัตถุประสงค์ แนวคิด วิธีการในการแก้ปัญหา ตัวชี้วัด หลังจากที่โครงการได้รับแนะนำและอนุมัติจากอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ นักศึกษาจะเข้าไปทำการช่วยเหลือชุมชนตามแนวทางและวิธีการที่ได้ออกแบบไว้ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่อง 2 ภาคการศึกษา ทำให้นักศึกษามีเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง เป็นการผสมผสานความรู้และทักษะทางวิชาชีพบัญชีกับศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไอที Soft Skill ในด้านความสามารถในการสื่อสาร การทำงานเป็นทีมและการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยมีเหล่าคณาจารย์ช่วยกันทำหน้าที่เป็น Advisor คอยให้คำปรึกษา แนะนำและกลั่นกรองไอเดียต่างๆ ให้แก่นักศึกษา”
นอกจากบทบาทการเป็นพี่เลี้ยงโครงการเพื่อสังคมของนักศึกษาแล้ว คณาจารย์ของภาควิชาฯ ยังมีบทบาทหน้าที่ในการดูแลประสานการนิเทศและการฝึกงานของนักศึกษา กับผู้ประกอบการตลอดจนศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันที่อยู่ในตลาดงาน โดยทางคณะฯ จะเน้นการเป็น Partner กับสำนักงานบัญชีบริษัทต่างๆ ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์เพื่อส่งนักศึกษาไปฝึกงาน
รศ.ดร.นฤนาถ กล่าวถึงจุดเด่นของหลักสูตรบัญชีของ AccBA ว่าคือ เรื่องของการนำเอาไอทีมาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการฝึกงานและ Social Conscious ที่จะทำให้เด็กเรียนรู้การเป็นผู้ให้ ฝึกฝนการทำงานเป็นทีมและทักษะการสื่อสาร นำองค์ความรู้ที่มีอยู่ไปประยุกต์ใช้จริง เรามีการกำหนดให้นักศึกษาเรียนซอฟต์แวร์ก่อนที่เด็กจะออกไปฝึกงาน ทั้งตัวเล็ก อย่าง Express หรือ BC Account แล้วแต่ว่าช่วงนั้นอะไรที่กำลังมาแรง ตัวกลางก็จะเป็น SAP B1 และตัวใหญ่ ที่ Listed Company ใช้เช่น SAP ซอฟต์แวร์ทั้ง 3 ระดับนี้จะถูกบรรจุในหลักสูตรให้นักศึกษาได้เรียนรู้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถปรับใช้ได้กับซอฟต์แวร์อื่นๆ ทำให้เราได้รับ Feedback จากบริษัทต่างๆ ว่าเด็กเราต่างจากที่อื่นเพราะรู้จักโปรแกรมเหล่านี้ สร้างความพึงพอใจและบัณฑิตก็มีโอกาสที่จะได้รับ Offer งานค่อนข้างสูง
ปัจจุบันหลายสิ่งหลายอย่างปรับเปลี่ยนไปอย่างมากทั้งเรื่องของการลดลงของจำนวนประชากรทั้งของเราเองและในหลายๆ ประเทศ โอกาสการศึกษามีมากขึ้น รูปแบบการศึกษา และคุณสมบัติของพนักงานที่นายจ้างต้องการในอนาคตอาจไม่ได้ยึดติดอยู่เพียงปริญญา แต่อยู่ที่ทักษะที่จะทำงานได้ จุดนี้จึงถือเป็นความท้าทายสำหรับเรา ทำให้ระยะเวลาของการปรับหลักสูตรจากเดิมทุกๆ 4 ปี ต้องเร่งเร็วขึ้นเพื่อให้เท่าทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อย่างไรก็ตามสาขาการบัญชียังคงได้รับความสนใจเป็นจำนวนมากจากผู้เรียนและผู้ปกครอง เนื่องจากเป็นวิชาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานและมีตำแหน่งงานรองรับจำนวนมากทั้งในภาครัฐและเอกชน
สำหรับเทรนด์ทางด้านการบัญชีจะยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทางภาควิชาบัญชี AccBA พยายามที่จะทำงานให้รองรับและตอบสนองในสิ่งที่เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าน่าจะส่งผลกระทบและเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียนให้มากที่สุด โดยเฉพาะหลักสูตรปี พ.ศ 2563 จะเห็นการปรับเปลี่ยนของหลักสูตรมากพอสมควร แต่ในระหว่างนั้นหากมีอะไรที่เปลี่ยนใหม่ ทางภาควิชาบัญชีและคณะฯ ก็มีความพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และสำหรับศิษย์เก่าของคณะฯ หรือนักบัญชีทั่วไปที่จำเป็นต้องปรับความรู้เพื่อให้ก้าวทันมาตรฐานรายงานทางการเงินและสภาพงานที่เปลี่ยนไป ทางภาควิชาก็ยังมีโครงการ Refresh ให้กับศิษย์เก่าและบุคคลทั่วไปเพื่อช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาวิชาชีพด้านการบัญชี
เรื่อง : ณัฐพัชธ์ สุมา
“ภาพรวมโดยกว้างของปรากฏการณ์ Disruptive Technologies ที่เรากำลังเผชิญหน้าร่วมกันในช่วงเวลานี้มีหลายมุมมอง หากมองบวกก็คือการลัดกระบวนการขั้นตอนต่างๆ ที่เคยมีมา เพื่อมุ่งเป้าเข้าสู่จุดหมายให้ได้โดยเร็ว