

ข้าวหอมมะลิของไทยนับเป็นของดีที่คนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี ด้วยความหอมอร่อยของข้าวและรสสัมผัสที่นุ่มนวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวหอมมะลิที่มาจากทุ่งกุลาร้องไห้ พื้นที่ครอบคลุม 6 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่ประกอบไปด้วย อำเภอชุมพลบุรี อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์, อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม, อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์, จังหวัดศรีสะเกษ, อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร และ อำเภอปทุมรัตต์ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ และ อำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นแหล่งดินทรายทำให้ข้าวหอมมะลิที่ผลิตได้มีรสชาติหอม อร่อยเป็นที่ติดใจคนไปทั่วโลก แม้ทุกวันนี้สภาพภูมิประเทศของทุ่งกุลาร้องไห้จะมีการพัฒนามากขึ้น ถนนหนทางตัดผ่านช่วยการขนส่งสินค้าและผู้คน ต้นไม้ยืนต้นมีให้เห็นในทุ่งกว้างจากตำนานดั้งเดิมที่บอกว่าเป็นที่ราบแห้งแล้งไม่มีแม้แต่ต้นไม้ให้ร่มเงา หากวิถีการเพาะปลูกของเกษตรกรยังคงต้องพึ่งพาน้ำฝนจากธรรมชาติ พร้อมกันกับการพัฒนาที่เข้าสู่พื้นที่ส่งผลให้ประชากรในท้องถิ่นมีการโยกย้ายถิ่นฐานออกไปทำงานในต่างเมือง การทำเกษตรกรรมที่เคยใช้แรงงานในครัวเรือนก็เปลี่ยนสู่การว่าจ้างแรงงานมาทำงานในนาแทน รวมถึงการนำเครื่องจักรกลทางการเกษตรหลากหลายรูปแบบมาใช้อำนวยความสะดวกในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิต
นอกจากสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ช่วยทำให้ข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้มีความโดดเด่นแตกต่างจากข้าวที่ปลูกในพื้นที่อื่นแล้ว พันธุ์ข้าวและกระบวนการผลิตไปจนถึงกระบวนการสีข้าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลิตผลที่ออกมามีคุณภาพอันเป็นที่ยอมรับ

กว่าจะได้ข้าวเปลือกเมล็ดเรียวยาว ที่เมื่อนำมาสีแล้วกลายเป็นข้าวเมล็ดเรียวสวย ขาวใสเป็นเงา มีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย บรรจุลงถุงสู่มือผู้บริโภค ต้องผ่านกระบวนการและผู้คนจำนวนมาก และเมื่อปัญหาเดิมๆ ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวยังไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่ทำงานกับเกษตรกร เข้ามาให้ความช่วยเหลือ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขตามอัตภาพได้ดียิ่งขึ้น
ความยากลำบากของชาวนาไทย
อดุลย์ กาญจนวัฒน์ รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. บอกเล่าประสบการณ์การลงพื้นที่เยี่ยมเยียนลูกค้า ธ.ก.ส. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ทำให้พบปัญหาหลักๆ คือ การจัดการผลผลิต การที่เกษตรกรยังไม่สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และอีกปัญหาสำคัญคือเรื่องการตลาด ที่เป็นปัญหาเรื้อรังส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร การจะช่วยเกษตรกรให้ก้าวข้ามปัญหาต่างๆ จึงเป็นภารกิจที่พนักงาน ธ.ก.ส. ทุกคนต้องร่วมปฏิบัติ ไม่ว่าปัญหาจะแปรเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างไร จากช่วงเริ่มต้นของธ.ก.ส. ที่เน้นการแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมซึ่งปัจจุบันสามารถแก้ไขปัญหาไปได้ในระดับหนึ่ง ปัจจุบันสินเชื่อที่ให้กับเกษตรกรลูกค้ายังไม่เพียงพอ พนักงาน ธ.ก.ส. จึงต้องเน้นการเป็นที่ปรึกษาให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้น เพื่อร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นตามปณิธานของธนาคาร

ธ.ก.ส. มีโครงการช่วยเหลือลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งการแนะนำเกษตรกรต้นแบบเพื่อให้เกษตรกรรายอื่นๆ มาศึกษาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การช่วยพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมา เพิ่มมูลค่าแบบยั่งยืนให้กับเกษตรกร การสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มในรูปแบบต่างๆ เช่น สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนพัฒนากิจการด้านเกษตรกรรมของไทยต่อไป
จากแนวทางดังกล่าวจึงถูกกำหนดเป็นนโยบายและภารกิจที่ส่งต่อไปยัง ธ.ก.ส. ในแต่ละระดับ ในระดับภูมิภาค ศิริเพ็ญ โกษารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ธ.ก.ส. กล่าวถึงบทบาทของ ธ.ก.ส. นอกจากการอำนวยสินเชื่อให้กับเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 12 จังหวัด แล้ว ในเรื่องข้าว ธ.ก.ส. สนับสนุนชุมชนโดยการช่วยลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ โดยใช้วิธีเข้าไปในชุมชน ร่วมทำแผนชุมชนและการลดต้นทุนการผลิต ซึ่งมีทั้งเรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าว เรื่องของคลัง เรื่องของการทำปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยหมัก เรื่องของการบริหารจัดการ การรวมตัวกันใช้เครื่องจักรรวม เมื่อผลผลิตออกมาแล้ว ธ.ก.ส. ยังมีส่วนร่วมในการดูแลเรื่องความยุติธรรมที่เกษตรกรควรได้รับ เช่นเรื่องตราชั่ง การตรวจสอบคุณภาพข้าว ราคาข้าว ผ่านกระบวนการสหกรณ์ที่ ธ.ก.ส. ร่วมดูแลอยู่ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการกระจายองค์ความรู้ในการจัดการด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตให้ดียิ่งขึ้น

การปฏิบัติของ ธ.ก.ส. จังหวัดที่ได้รับมอบนโยบายมาดูแลเกษตรกร วุฒิชัย ข่าขันมะลี ผู้อำนวยการสำนักงาน ธ.ก.ส. จังหวัดร้อยเอ็ด ให้ข้อมูลปัญหาของเกษตรกรที่พบในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดว่า ปัญหาของเกษตรกรชาวนาในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดที่พบมายาวนาน คือ ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยผลผลิตของประเทศอยู่ที่ 466 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ที่ร้อยเอ็ด ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 373 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่ต้นทุนการผลิตต่อไร่ที่สูงมากอยู่ที่ 5,040.51 บาทต่อไร่ เมื่อเทียบกับมาตรฐานของประเทศที่ 3,800 บาทต่อไร่ เนื่องจากเกษตรกรใช้วิธีว่าจ้างแรงงานจึงทำให้ต้นทุนการผลิตสูง ปัญหาที่สามที่ทำให้ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ เพราะเกษตรกรไม่คัดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูก ไม่มีการบริหารจัดการเรื่องเมล็ดพันธุ์ ทำให้ผลผลิตที่ออกมาขายไม่ได้ราคา ปัญหาต่อมาคือเรื่องสภาพภูมิอากาศ ที่บางปีมีภัยแล้ง และศัตรูพืชที่รุนแรงส่งผลต่อการผลิตของเกษตรกร และสุดท้าย คือ ปัญหาด้านการตลาดที่เกษตรกรค่อนข้างเสียเปรียบพ่อค้าในกระบวนการขาย การสีข้าว ทำให้กลไกการตลาดที่ควรจะขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองไม่สามารถเดินหน้าไปได้ ทั้งที่ร้อยเอ็ดเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ
ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่ วุฒิชัย ในฐานะคนร้อยเอ็ดแต่กำเนิด มองเห็นมา และพยายามมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรลูกค้าของ ธ.ก.ส. ผ่านกลไกที่ธนาคารมีอยู่ เพื่อร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ปัญหาของเกษตรกรจากมุมมองของผู้บริหาร ธ.ก.ส. ทำให้เกิดแนวทางร่วมแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรอย่างครบวงจร ตั้งแต่จุดเริ่มต้นคือเมล็ดพันธุ์ วิธีการเพาะปลูก การควบคุมคุณภาพการผลิต การแปรรูปผลผลิต เพื่อให้ได้ข้าวหอมมะลิคุณภาพ ที่นำมาพัฒนาต่อเนื่องจนสามารถสร้างเป็นแบรนด์ข้าว A-Rice ผ่านช่องทางสหกรณ์และกลุ่มชุมชนต่างๆ

คุณภาพคือทางออก
อดุลย์ มองว่าทางแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรคือการทำผลผลิตที่มีคุณภาพ จะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เนื่องจากคุณภาพ เป็นหัวใจของการตลาด เมื่อมีผลผลิตคุณภาพดีสม่ำเสมอก็ย่อมสามารถจำหน่ายได้ราคาดี การเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถทำการตลาดโดยเน้นที่มาตรฐานคุณภาพ ที่ช่วยให้ได้รับการรับรองต่างๆ จึงเป็นเป้าหมายที่ธนาคารกำลังดำเนินการอยู่
ศิริเพ็ญ ให้ภาพของนโยบายระดับภูมิภาคว่า ธ.ก.ส. ส่งเสริมการรวมกลุ่มเป็นชุมชน โดยยกตัวอย่างในจังหวัดร้อยเอ็ด มีสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานงานระหว่างชุมชนเกษตรกร ด้วยการส่งเสริมภาคการผลิต ลดต้นทุน การทำแผนชุมชน โดยให้คนในชุมชนวางแผนของตนเอง โดยมี สกต. และ ธ.ก.ส. สนับสนุนในเรื่องที่ขาดแคลน รวมถึงการดึงส่วนราชการ เช่น เกษตรจังหวัด กรมที่ดิน กรมชลประทาน มาช่วยร่วมมือกันจัดทำเป็นแผนงานที่ต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความยั่งยืน และผลสัมฤทธิ์ ในส่วนของจังหวัด วุฒิชัย ยกตัวอย่างว่า ปัจจุบัน ธ.ก.ส. กำลังสนับสนุนให้เกษตรกรลงทุนรถเกี่ยวนวดของชุมชน เพื่อแก้ปัญหาข้าวปลอมปนที่มาพร้อมกับรถเกี่ยวนวดรับจ้างที่เดินทางไปในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และมีความพยายามจะพัฒนาชุมชนให้เป็นศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว โดยมีกรมการข้าวสนับสนุนดูแลทั้งด้านองค์ความรู้และการรับรอง เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้น มีคุณภาพ
ศิริเพ็ญ เสริมให้เห็นภาพรวมการผลิตข้าวรอบโรงสี สกต. ร้อยเอ็ด ว่า ต้องมีชุมชนต้นน้ำที่ป้อนวัตถุดิบคือข้าวให้กับโรงสี ด้วยราคาที่ยุติธรรม มีกลุ่มทำเมล็ดพันธุ์ เครื่องจักรกลรวมของชุมชน โดยแต่ละชุมชนแบ่งหน้าที่กันทำ เช่นผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ปุ๋ย การสร้างลานตากรวบรวมผลผลิต เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกัน เพราะเมื่อข้าวที่ปลูกมีคุณภาพมาตรฐานที่ดีราคารับซื้อก็จะดีตามกันไป ในที่สุดผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็จะกลับไปสู่ตัวเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเอง
MBA มีโอกาสพูดคุยกับผู้นำชุมชนเกษตรกร ที่เข้าร่วมกับ สกต.ร้อยเอ็ดและธ.ก.ส. พัฒนาคุณภาพกระบวนการการผลิตและแปรรูปข้าวในชุมชนโดยรอบ โรงสีข้าว สกต. ร้อยเอ็ด ถึงความเปลี่ยนแปลง วิถีการทำนา ที่กำลังเป็นไปและดอกผลที่พวกเขาได้รับจากการลงมือลงแรง เป็นตัวอย่างของการร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาการเพาะปลูกผลิตภัณฑ์ทางเกษตรที่น่าจะเป็นตัวอย่างให้กับชุมชนและพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
เมล็ดพันธุ์ดี จุดเริ่มของคุณภาพ
ชาวนาผู้เริ่มอาชีพทำนากับครอบครัวมาตั้งแต่วัยเด็ก บุญทัน แซงกลาง เกษตรกรประธานศูนย์ข้าวชุมชน ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ใน ม.4 ต.หนองแวง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด เกษตรกรที่ใช้วิถีชีวิตในระบบเศรษฐกิจพอเพียง คือรับประทานทุกสิ่งที่ปลูก ขายเมล็ดพันธุ์ พอมีรายได้พออยู่พอกิน

บุญทัน คือหนึ่งในเกษตรกรผู้ใฝ่หาความรู้ในการประกอบอาชีพเริ่มจาก การเรียนรู้เรื่องการทำนาจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การเป็นหมอดินอาสา จนเมื่อปี 2549 มีโครงการจัดตั้ง ศูนย์ข้าวชุมชน ที่เขาเข้าร่วมอบรมและนำความรู้ไปเผยแพร่ให้กับสมาชิก และนำไปสู่การปฏิบัติเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ข้าว ขาวดอกมะลิ 105 โดยมีศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวร้อยเอ็ดเป็นพี่เลี้ยงให้ความรู้และสำนักงานเกษตรตำบลคอยช่วยสนับสนุน
“ทุกคนที่อยู่ในศูนย์เข้าใจขั้นตอนปฏิบัติที่จะทำให้ข้าวได้คุณภาพ ปลอดพันธุ์ปน ซึ่งได้เรียนรู้ในแปลงของตัวเอง ก็ปลูกเองกินเองและเพื่อจำหน่าย ขายทั้งเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกรและขายข้าวให้แก่โรงสี”
บุญทัน อธิบายวิธีทำนาของศูนย์ข้าวชุมชน โดยยกตัวอย่างนาของตนเอง ว่า ใช้วิธีปักดำบนพื้นที่ 37 ไร่ ทำเป็นแปลงพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 จำนวน 15 ไร่ ซึ่งจะต้องดูแลอย่างดี เพื่อเก็บเกี่ยวนำมาบรรจุจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวจำหน่ายในพื้นที่รอบบ้าน
“ผมนำข้าวพันธุ์หลักมาจากศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ทุกปี โดยเดือนกุมภาพันธุ์ มีนาคม ผมจะเริ่มจองข้าวจากศูนย์วิจัยข้าวเพื่อมาทำพันธุ์ในแปลงพันธุ์ ซึ่งเขาเรียก ชั้นพันธุ์หลัก พอพวกผมมาทำก็เรียก ชั้นจำหน่าย ให้แก่สมาชิก ซึ่งศูนย์ข้าวชุมชนจะเก็บข้าวไว้ทำพันธุ์และบริการในเขตพื้นที่ อีกส่วนส่งไปที่โรงสี สกต.”
บุญทัน อธิบายว่า การใช้พันธุ์หลักจากศูนย์วิจัยฯ ทำให้ได้พันธุ์ที่ไม่มีการเจือปน โดยเกษตรกรที่มาซื้อเมล็ดพันธุ์ไปปลูกก็สามารถเก็บพันธุ์ข้าวของตัวเองได้เช่นกัน โดยต้องปฏิบัติตามวิธีการที่ถูกต้องด้วยการตัดพันธุ์ที่ปนอยู่ในแปลงนา แยกการเกี่ยวไม่รวมกับข้าวอื่นๆ
เมื่อเมล็ดพันธุ์ที่นำมาเพาะออกรวงสมบูรณ์ ได้เวลาเก็บเกี่ยว กลุ่มของบุญทันจะใช้วิธีเกี่ยวข้าวด้วยมือ นำไปตากให้แห้ง เก็บในยุ้งฉาง เมื่อใกล้ฤดูทำนาก็จะมีคำสั่งซื้อเข้ามา ทางกลุ่มก็จะนำมาทำความสะอาดแยกสิ่งเจือปนเช่นหญ้าออกไป และคัดเลือกเฉพาะเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์บรรจุถุงศูนย์ข้าวชุมชนบ้านหนองช้างจำหน่ายให้แก่เกษตรกร
การจะเป็นศูนย์ข้าวชุมชนได้ บุญทันระบุว่า ต้องมีใจรัก “ใจอยากจะได้คุณภาพ ใจอยากให้คนอื่นเข้าใจสิ่งที่เราทำ เราทำดีมา อย่างผมเอามาขายที่นี่ ก็มีคนบอกข้าวอะไร ไม่มีอย่างอื่นปนสักเม็ด นี่ข้าวที่เราทำครับ ซึ่งพอนำมาขายก็ได้ราคา 14 บาท เพราะเกษตรกรทั่วไปบางท้องถิ่นจะหว่านข้าวรอฝน เป็นการเพิ่มต้นทุนในการผลิตเพราะหว่านไปแล้วฝนไม่ลง พอฝนลงข้าวไม่งอก เพราะแห้งจนเกินไป พอขายพันธุ์ข้าวให้เขาก็ต้องแนะนำเขาด้วยว่า ต้องปลูกในระยะที่เหมาะสม คือให้ดินมีความชื้น บ้านเราเรียกกำดินมาตั้งก้อนได้ พิสูจน์อย่างนี้ก็ได้ ข้าวจะงอกได้ จะได้ทำนาปีละครั้ง บางคนทำปีละ 3 ครั้งก็ยังไม่ได้เพราะไม่รู้จักตัวเอง ไม่ปลูกในระยะที่เหมาะสม หว่านรอฝนก็แห้ง หว่านใหม่ก็ไม่เกิดอีก มันเพิ่มต้นทุนในการผลิต ดังนั้น ต้องดูความชื้นของดินเป็นหลัก อย่างปีนี้ผมปักดำนาวันที่ 28 กรกฎาคม ต้องรอมีน้ำถึงปักดำได้ ช่วงนี้แสงปรับเปลี่ยนมาทางทิศใต้ เข้าสู่ปลายเดือนตุลาคม ผมสังเกตปีนี้ข้าวออกดอกช้าเพราะความแห้งแล้ง ยังไม่ออกดอกเลย พอแล้ง เกษตรกรก็ไม่ได้ให้ปุ๋ย พอให้ปุ๋ยกลางเดือนกันยายน ข้าวก็เลยออกดอกช้า ก็จะเก็บเกี่ยวกลางๆ พฤศจิกายน ต่างจากบางปี 8 พฤศจิกายน ได้เก็บเกี่ยวแล้ว”
หลักสำคัญของการทำเมล็ดพันธุ์คือการไม่มีพันธุ์อื่นเจือปน วิธีการที่กลุ่มของบุญทันใช้คือ ดูให้ละเอียด เขาอธิบายว่า “เวลาเก็บเกี่ยวก็ขอร้องให้รถเกี่ยวเกี่ยวเฉพาะข้าวพันธุ์ในวันนั้น เพื่อไม่ให้ปนกับพันธุ์อื่น หลังจากเก็บเกี่ยวก็ตากโดยใช้ผ้าเขียวรอง แล้วส่งเข้าตรวจในศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวร้อยเอ็ดของกรมการข้าว เพื่อดูความบริสุทธิ์ การงอก ดูทุกปี ทุกราย พอศูนย์ฯ บอกว่าผ่านหรือไม่ผ่านก็จะมีรายละเอียดมาให้ แล้วในกลุ่มเองก็ตกลงกันว่า ลงตัดพันธุ์ปนในครั้งนี้ ใครมีพันธุ์ปนน้อยที่สุด จะได้คะแนนเป็นที่หนึ่ง บวกคะแนนไปเรื่อยๆ และเวลาจำหน่าย ก็จะให้ข้าวที่มีความบริสุทธิ์สูงสุดจำหน่ายก่อน ซึ่งศูนย์ของเราเองก็จะผ่านทุกคน ทุกปี”
บุญทันมองว่า เป็นเรื่องดีที่หน่วยงานต่างๆ เข้ามาสนับสนุนชุมชนและเกษตรกรเรื่องคุณภาพข้าว ขณะที่บางพื้นที่มีปัญหาเนื่องจากผู้นำชุมชนเมื่อเข้ารับฟังข้อมูลความรู้ต่างๆ แล้วไม่สามารถถ่ายทอดให้กับเกษตรกรในพื้นที่ จึงทำให้เกษตรกรไม่เข้าใจปัญหาเรื่องคุณภาพข้าว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเกษตรกรเอง
นอกจากนี้ความรู้อื่นๆ เช่นการใช้ปุ๋ยพืชสด การปรับเปลี่ยนเข้าสู่กระบวนการเกษตรอินทรีย์ ทำให้ความเข้าใจเรื่องการทำนาระบบ GAP ที่ช่วยให้ตัวเกษตรกรเองปลอดภัย รวมถึงไปถึงผลผลิตที่ออกไปสู่ผู้บริโภค กระจายมากขึ้น

GAP ปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม (Good Agriculture Practices : GAP) ซึ่งเป็นแนวทางในการทำการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ได้ผลผลิตสูงคุ้มค่าการลงทุนและกระบวนการผลิตปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค มีการใช้ทรัพยากรที่เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดความยั่งยืนทางการเกษตรและไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยหลักการนี้ได้รับการกำหนดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ในประเทศไทย กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานตรวจรับรองระบบการจัดการคุณภาพ : การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (GAP) โดยได้กำหนดข้อกำหนด กฎเกณฑ์และวิธีการตรวจประเมิน ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่สอดคล้องกับ GAP ตามหลักการสากล เพื่อใช้เป็นมาตรฐานการผลิตพืชในระดับฟาร์มของประเทศ GAP ของกรมวิชาการเกษตรและกรมการข้าว มุ่งให้เกิดกระบวนการผลิตที่ได้ผลิตผลปลอดภัย ปลอดจากศัตรูพืชและคุณภาพเป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภค ประกอบด้วยข้อกำหนดเรื่อง แหล่งน้ำ พื้นที่ปลูก การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร การเก็บรักษาและขนย้ายผลิตผลภายในแปลง การบันทึกข้อมูล การผลิตให้ปลอดภัยจากศัตรูพืช การจัดการกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ผลิตผลคุณภาพ และการเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
ทองใบ เทียมวงเดือน ผู้ใหญ่บ้านบ้านหัวหนอง, ประธานศูนย์ข้าวชุมชน, ประธานโรงสีข้าว, ประธานร้านค้าชุมชน ในฐานะผู้นำเกษตรกรปลูกข้าว GAP ชาวนาผู้บอกว่า ลงนามาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ จึงผูกพันและเชี่ยวชาญการทำนาไม่แพ้ใคร

เขาเล่าวิถีการเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่รับผิดชอบอยู่ว่า “ข้าวแถวนี้เป็นพันธุ์ขยายทั้งหมด อยู่ที่ยุ้งฉางของตัวเอง พวกผมทำพันธุ์หลักที่เหลือก็เก็บไว้ ทำอย่างนี้ตลอด เจ้าหน้าที่จากศูนย์ข้าวร้อยเอ็ดก็จะมาดูแลให้เราทำ EPA 02 จดตั้งแต่ไถดะ หว่านวันไหน ลงแปลงวันไหน ก็ต้องจด เขาจะมาดูเรื่อยๆ มาตรวจ ผ่านกระบวนการแล้วก็ได้ใบรับรองจากกรมการข้าวคือ ใบ GAP”
การปลูกข้าว GAP ตามเกณฑ์ที่กำหนดนั้น ผู้ใหญ่ทองใบบอกว่า ที่นาของพวกเขานั้นผ่านอยู่แล้วเพราะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม น้ำที่ใช้ก็เป็นน้ำฝน ส่วนการใช้ยากำจัดศัตรูพืชที่เดิมเกษตรกรนิยมใช้กัน เมื่อมีประชาคมร่วม มีธรรมนูญหมู่บ้านเข้ามาบังคับ ทำให้การใช้สารเคมีลดลง จนแทบจะไม่มี
เขาเล่าต่อว่า ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ทำนาโดยมีการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ เปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ทุก 3 ปี จัดเป็นกลุ่มเกษตรกรสมัยใหม่ที่มีการนำหลักวิชาการมาประกอบในการเพาะปลูก
“กลุ่มข้าวหอมมะลิของเราส่วนมากจะพัฒนา การผลิตเมล็ดพันธุ์ให้มีคุณภาพ เราบอกให้ทุกคนใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมีก็ใส่เหมือนกัน แต่ใส่ปริมาณ 30 กิโลกรัมต่อไร่ ตามที่ศูนย์ข้าวร้อยเอ็ดกำหนดมา แล้วก็ได้ใบรับรอง ทุกปีเราต้องส่งเมล็ดพันธุ์ไปตรวจหาสารตกค้าง ส่งดินไปตรวจ ส่งน้ำไปตรวจ ถึงจะได้ใบรับรอง เกษตรกรคนที่ไม่ผ่านก็มี คือคนที่มีนาแล้วน้ำจากนาคนอื่นก็ไหลมา หรือมีเมล็ดพันธุ์ปนมั่ง แต่ส่วนที่เราควบคุมดูแลผ่านหมด” ผู้ใหญ่ทองใบกล่าวอย่างภูมิใจ
ข้อมูลที่ผู้ใหญ่ทองใบสำรวจเมื่อปีที่ผ่านมาในพื้นที่รับผิดชอบ 184 หลังคาเรือน มีประชากร 716 คน ที่ขึ้นทะเบียนปลูกข้าวนาปี 3,100 ไร่ เกษตรอำเภอวิเคราะห์สรุปผลผลิตต่อไร่ ประมาณ 456-457 กิโลกรัมต่อไร่ เป้าหมายของเขาจึงอยากจะพัฒนาให้ได้ 600 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นความใฝ่ฝันร่วมกันของชุมชนที่คิดจะทำ อยากเพิ่มผลผลิต โดยปัญหาสำคัญคือการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตที่ออกมา
“ผมทำแผน 3 ปี ไว้กับองค์การบริหารส่วนตำบล เกี่ยวกับการทำคลองน้ำหรือลงท่อ แต่ อบต. ก็ไม่ค่อยจะมีงบประมาณ รอน้ำฝน ใช้ธรรมชาติล้วนๆ กรมพัฒนาที่ดินสุวรรณภูมิก็มาช่วยเกี่ยวกับบ่อน้ำ ปีที่ผ่านมาได้มา 25 บ่อ ถ้าเรามีการระบายน้ำดี ก็ระบายน้ำออกได้ทันท่วงทีเวลาเก็บเกี่ยวข้าว ได้ยินว่าจะมีโครงการไปช่วย ธ.ก.ส. จะให้ไปทำคลองระบายน้ำ ฝาย ก็จะมีโครงการช่วย ก็คาดว่าอนาคตจะมีลักษณะนั้น เราก็อาจจะได้ข้าว 600-650 กิโลกรัมต่อไร่” ผู้ใหญ่ทองใบอธิบาย
นอกจากเรื่องเพิ่มผลผลิตชุมชนยังมีเป้าหมายเรื่องตลาด เมื่อสามารถผลิตได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นผลผลิตส่วนหนึ่งจึงจะจำหน่ายตามปกติ อีกส่วนที่เหลือจะนำมาทำเป็นข้าวออร์แกนิก และต่อไปเมื่อมีโรงสีของชุมชนก็จะสามารถทำเป็นข้าวกล้อง แล้วส่งต่อให้กับ โรงสีของ สกต. สีให้เป็นข้าวขาวจำหน่ายในอนาคต โดยปัจจุบันสิ่งที่ยังขาดอยู่คือ ลานตากข้าวหรือโรงอบข้าว ซึ่งยังต้องการการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
GAP
กองตรวจสอบและรับรองมาตรฐานข้าว กรมการข้าว กำหนดวัตถุประสงค์การผลิตข้าว GAP ไว้ว่า
1. ผลิตข้าวเปลือกที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง
2. ผลิตข้าวเปลือกคุณภาพตรงตามพันธุ์ มีพันธุ์ปนได้ไม่เกินร้อยละ 5 คุณภาพการสีดีได้ปริมาณต้นข้าวไม่น้อยกว่าร้อยละ 40
โดยมี 7 ข้อที่ตรวจประเมินในการตรวจสอบและรับรองระบบการผลิตข้าว GAP ประกอบด้วย
1. แหล่งน้ำ : น้ำมีสภาพแวดล้อมที่ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนวัตถุอันตราย
2. พื้นที่ปลูก : ต้องเป็นพื้นที่ที่ไม่มีวัตถุอันตรายที่จะทำให้เกิดการตกค้างหรือปนเปื้อนในข้าว
3. การใช้วัตถุอันตราย : ห้ามใช้สารเคมีต้องห้ามตามประกาศของกรมวิชา-
การเกษตร การใช้และเก็บรักษา ต้องป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นต่อผู้ใช้และผู้อื่น
4. การจัดการคุณภาพข้าว : ป้องกัน ควบคุมการผลิตเพื่อให้ได้ข้าวเปลือกตรงตามพันธุ์ และมีการดูแลรักษา และป้องกันกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
5. การเก็บเกี่ยวข้าว : เก็บเกี่ยวในระยะเวลาที่เหมาะสม อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ต้องทำความสะอาดและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ต้องลดความชื้นให้ไม่เกิน 15%
6. การขนย้าย การเก็บรักษา และการรวบรวมผลผลิต : อุปกรณ์และพาหนะสำหรับบรรจุ การขนส่ง และสถานที่เก็บรักษาที่สะอาด ป้องกันการปนเปื้อนและไม่มีผลต่อคุณภาพของผลผลิต
7. การบันทึกข้อมูล : ต้องมีการจดบันทึกข้อมูลการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ และครบถ้วน

การตลาดข้าวผ่าน สกต.
ปัญหาหนึ่งของข้าวที่ผลิตออกมา คือเมื่อนำไปจำหน่ายแล้วเกษตรกรเสียเปรียบพ่อค้า การที่สกต. จัดตั้งโรงสีในพื้นที่ อ.เกษตรวิสัย จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรในบริเวณใกล้เคียงให้สามารถขายผลผลิตในราคาที่เป็นธรรม แต่อย่างไรก็ตามโรงสี สกต. ร้อยเอ็ดยังจัดว่าเป็นหน้าใหม่ในแวดวงโรงสีข้าว จึงต้องมีผู้ช่วยในการรวบรวมผลผลิตข้าวคุณภาพมาสีแปรรูปเพื่อนำไปทำการตลาดต่อไป
ไพบูลย์ นารีไผ่ กำนัน ต.หนองแวง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ในฐานะผู้นำชุมชนที่ช่วย โรงสี สกต.ร้อยเอ็ดรวบรวมข้าวในพื้นที่ บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเรื่องนี้ว่า ปัญหาดั้งเดิมที่เคยมีคือชาวบ้านเสียเปรียบให้กับเอกชน อย่างเช่นเรื่องตราชั่ง และเทคนิคทางการค้าของโรงสีเอกชน ซึ่งต่างจาก สกต. ที่เกษตรกรเป็นสมาชิกมีหุ้นอยู่ด้วย จึงน่าจะได้รับมาตรฐานความเป็นธรรมมากกว่า แม้ระบบของโรงสีเอกชนจะมีความรวดเร็วกว่าในด้านการตัดสินใจปรับเปลี่ยนราคาเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นธุรกิจครอบครัว แตกต่างจาก สกต. ที่มีคณะกรรมการและอนุกรรมการพิจารณาเรื่องต่างๆ แต่ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอย่างไรก็ยังอยู่กับผู้ถือหุ้นสหกรณ์นั่นคือตัวเกษตรกรเอง
การเข้ามามีส่วนร่วมโดยชักชวนให้ความรู้กับเกษตรกรในพื้นที่จึงเป็นบทบาทที่กำนันไพบูลย์เริ่มทำตั้งแต่ปี 2557 ที่ผ่านมา “เราก็ให้ความรู้เขาไปว่า ก่อนที่คุณจะไปขายให้เอกชน สมมติว่ามีตราชั่งของเอกชนใกล้บ้านคุณก็ลองไปจ้างชั่งดูก่อน เสียสัก 20 บาท เป็นค่าชั่ง ถ้าคุณไปเอกชนน้ำหนักคุณหายไป 100-200 กิโลกรัมแสดงว่าเขาเอาเปรียบคุณแล้ว คุณก็เอามาทางนี้ แต่อย่างไรก็ต้องมาที่ สกต. ของเรา ชุมชนเราอยู่ใกล้ๆ ก็ช่วยกัน ถ้าเราไม่ช่วยก็จะไปไม่ไหว ไม่รู้จะเอาทุนที่ไหนมาคืน ทำให้เขาเข้าใจ อธิบาย และมีอะไรก็ช่วยกัน เราก็ร่วมมือกับ สกต.ตลอด ทางนี้ราคาเท่าไร ถ้าไปแล้วแน่นไหม พี่น้องต้องชะลอไว้สักหน่อยไหม ไม่ใช่มาเรียงคิวเป็นร้อยคิว ก็โทรหาผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการว่าแน่นไหม วันนี้นัดตำบลไหนมา”
“ผมบรรยายอธิบายให้เขาเข้าใจนะ โรงสีของเรานะ ไม่ใช่ของคนอื่น คนที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส.ทุกคนเป็นหุ้นส่วนหมดเลย ทีนี้เป็นเจ้าของโรงสีเองแท้ๆ ดันไปขายให้เอกชน ของตัวเองไม่เหลียวแลมีแต่ป้ายสีกันไม่มาส่งเสริม มาคุยกัน นี่แก้ยาก ก็ไปอธิบายผมก็ให้ทางนี้ (สกต. และ ธ.ก.ส.) ทำให้เห็นภาพพิมพ์ไปเลย ท่านเป็นลูกค้าเลขที่เท่านี้ มีหุ้นเท่านี้ ปีนี้ 120 มาถึงขณะนี้รวมแล้วได้เท่าไรก็ว่ากันไป ก็เริ่มตื่นตัวเหมือนกับกองทุนหมู่บ้าน คุณต้องออมเท่าไรถึงจะกู้ได้ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้น”

กำนันไพบูลย์มองว่า พื้นที่ ต.หนองแวงจัดว่าได้เปรียบเพราะอยู่ในเขตบริการ 15 กิโลเมตรรอบโรงสี สกต. จึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากสกต. รวมถึงการพัฒนาที่เกิดขึ้นก็ส่งผลดีต่อคนในชุมชน จึงจัดเป็นของดีที่มาอยู่ใกล้บ้าน ที่ทุกคนในพื้นที่ต้องร่วมกันดูแล
ปัญหาที่กำนันไพบูลย์พบจากลูกบ้านคือ การส่งข้าวที่ไม่ได้ตากให้แห้งเข้าโรงสีทำให้ได้ราคาต่ำกว่าที่ควรเนื่องจากที่โรงสี สกต.ร้อยเอ็ดไม่มีโรงอบข้าว ซึ่งยังอยู่ระหว่างการหารือกันว่าควรจะลงทุนหรือไม่
“ผมไม่ส่งเสริมให้ขายข้าวสดเพราะเสียเปรียบ ผมจะตาก สมมติเกี่ยวใช้รถเกี่ยวพอเสร็จก็ขึ้นรถมา เทใส่รถมาดัมพ์ลงก็ช่วยกันตาก 3 แดดก็เก็บขึ้นฉาง พอแห้งได้ดี หมักได้สัก 1-2 เดือนแข็งตัวพอ มาบดไม่หักไม่บิ่นค่อยมาขาย ก็จะได้ราคาดี แต่พี่น้องใจร้อน ปีหนึ่งทำรอบเดียวเกี่ยววันเดียวก็ขายเลย บางทีฝากคนรถมาด้วย ตัวเองกินเหล้าอยู่บ้าน นี่คือปัญหา บางคนให้เขานับสตางค์ให้ด้วย นี่คือเรื่องจริง เป็นปัญหาของชาวนาเราบางคน ผมก็บอกว่าอย่ามักง่ายเกินเพราะว่าปีหนึ่งทำแค่ครั้งเดียว กว่าจะได้ คุณข้าว คุณน้ำ แม่โพสพ สิ่งที่เลี้ยงเรามาต้องเคารพบูชา ถ้าเราศรัทธาก็อยู่กับเรานาน อย่างข้าวก็เหมือนกันถ้าเราทะนุถนอม ตอนเย็นๆ ผมมีความสุขมากนะลงทุ่งนา”
กำนันไพบูลย์มองว่าวิธีการที่ สกต. และ ธ.ก.ส. เข้ามาร่วมกับชุมชนและเกษตรกร เพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตข้าวหอมมะลิ นั้นมาถูกทางแล้ว สิ่งที่ต้องดูกันต่อไปคือ ต้องรักษาสิ่งดีๆ ที่มี และชุมชนจะต้องมีความเข้มแข็ง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่วมมือร่วมใจเพราะสถานการณ์ปัจจุบันก็ยังมีโรงสีเอกชนอยู่รายรอบอีกหลายแห่งในพื้นที่
โรงสี สกต. จุดเชื่อมคุณภาพ
กระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ดที่จัดเป็นตัวอย่างความร่วมมือร่วมใจระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตข้าว ชุมชน สหกรณ์ และสถาบันการเงินอย่าง ธ.ก.ส. คือ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) ที่ทุกภาคส่วนเป็นเจ้าของ สกต. ร่วมกัน และใช้หน่วยงานนี้เป็นตัวกลางเชื่อมโยง ถ่ายทอดองค์ความรู้ และช่วยแก้ไขปัญหาที่เกษตรกรกำลังเผชิญอยู่

ทิพาภรณ์ ศรีพลลา ผู้จัดการโรงสี สกต. ร้อยเอ็ด จำกัด หนึ่งในลูกหม้อของสกต.ร้อยเอ็ดที่มีส่วนร่วมในการทำงานมาตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2535 จากเจ้าหน้าที่บัญชีจนเติบโตมาเป็นผู้จัดการโรงสี สกต.ร้อยเอ็ดในวันนี้
บทบาทหน้าที่ของ สกต. ที่สำคัญอย่างเช่นการต่อรองซื้อสินค้าที่มีคุณภาพดีมาจำหน่ายให้กับสมาชิกในราคายุติธรรม เป็นการรวมพลังการต่อรองของสมาชิกทั้งจังหวัด และวางแผนล่วงหน้าเพื่อให้สมาชิกได้สิ่งที่ต้องใช้ทันฤดูกาลและการใช้งาน
ในส่วนของการขาย สกต. เป็นตัวกลางเพื่อคานอำนาจราคาของพ่อค้าคนกลางไม่ให้สามารถกำหนดราคาได้ตามอำเภอใจ ช่วยประคับประคองราคาผลผลิตที่ออกมาช่วยเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น
และที่พิเศษสำหรับที่ร้อยเอ็ดคือการมีโรงสีที่ทำหน้าที่แปรรูป ที่เป็นช่องทางหนึ่งในการอำนวยความยุติธรรมให้กับเกษตรกร ช่วยให้มีทางเลือกในการนำผลผลิตมาเพิ่มมูลค่าให้กับสมาชิก โดย ธ.ก.ส. และ สกต. ร่วมกันพัฒนาให้สมาชิกผลิตข้าวคุณภาพดีเพื่อเข้าสู่โรงสี มีการทำโครงการเชื่อมโยงกัน เป็นการประกันราคาขั้นต่ำ
“ถ้าย้อนไปปีแรกๆ 2554-2555 ที่เปิดโรงสี รัฐบาลมีโครงการจำนำข้าวตันละ 20,000 บาท ช่วงนั้น สกต. ก็ประกันให้สมาชิกตันละ 20,000 บาทเช่นกัน แต่ปีนี้เรามีโครงการพัฒนาข้าวหอมมะลิเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มสู่ตลาดแบบยั่งยืนของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ซึ่งเรามีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความหอมเพิ่มขึ้นของข้าวเปลือกและเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวหอมมะลิ จากเดิม 400 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 500 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นโครงการที่ร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ผลิตข้าวคุณภาพดี โดย สกต. ประกันราคาที่ 14,000 บาท ถ้าคุณภาพเพิ่มขึ้น สกต.บวกเพิ่มให้ตันละ 200-300 บาท ถ้าราคาขณะนั้นในตลาดมากกว่า 14,000 สกต. ก็ซื้อเท่าราคาตลาดและให้ราคาเพิ่มตามคุณภาพ นี่คือการเฉลี่ยคืนทันทีสำหรับสมาชิกที่ทำธุรกิจกับ สกต. พอสิ้นปีมีกำไรก็จ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิกอีก ที่เกษตรกรได้ชัดเจนคือ ราคาข้าวเปลือก โดยปกติที่ไม่มีโรงสี เราซื้อมาขายไป ส่วนต่าง 200 บาทถือว่าสูงสุด แต่พอเรามีโรงสี เราตั้งเลย ส่วนต่าง 500 บาทเป็นอย่างต่ำ” ทิพาภรณ์ กล่าว
การมีโรงสีข้าวของตัวเองทำให้ราคารับซื้อทำได้สูงกว่าตลาด เนื่องจากสามารถนำมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการแปรรูปมาใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น ตามคุณภาพของข้าวที่เข้ามาสู่โรงสี
ทั้งนี้วิธีการในการได้ข้าวที่มีคุณภาพมาตรฐานคือการส่งเสริม สร้างความรู้ความเข้าใจวิธีการผลิตโดย สกต. ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ เพื่อนำประโยชน์กลับคืนสู่สมาชิก ไม่ว่าจะเป็นกรมการข้าว กรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกษตรกรให้หันมาปลูกพืชแบบ GAP ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น “เราคาดหวังว่ากลุ่มชุมชนต้นแบบนี้จะส่งข้าวคุณภาพดีให้โรงสี สกต.” ทิพาภรณ์กล่าว
จากข้าวคุณภาพที่เกษตรกรเพาะปลูกขึ้นมา และด้วยความที่อยู่ในแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ขึ้นชื่อคือทุ่งกุลาร้องไห้ ทำให้โรงสี สกต.ร้อยเอ็ดเป็นโรงสี สกต.เพียงแห่งเดียวที่ได้สิทธิ์ใช้แบรนด์ A-Rice ในข้าวบรรจุถุงส่งขายทั่วประเทศ ตั้งแต่เปิดโรงสีในปี 2555
“ธนาคารก็ให้พนักงานธนาคารมาตั้งมาตรฐานให้เลยว่า ต้องพรีเมียม เป็นแบรนด์เอไรซ์นะ คุณภาพต้องแบบนี้นะ เราก็ได้สิ่งดีๆ ตั้งแต่เริ่มทำ ข้าวเราสะอาด ลูกค้าพึงพอใจ และโรงสีของเราได้มาตรฐานสากลอยู่แล้ว ทั้ง GMP HACCP ISO14100 ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และจะทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามมาตรฐานสากล เพราะเราเน้นเรื่องคุณภาพ”

ทิพาภรณ์เล่าว่า ผลตอบรับหลังจากสกต.ร้อยเอ็ดมีโรงสีของตัวเอง ที่ได้รับฟังจากสมาชิกคือ ความเชื่อมั่นในความยุติธรรมของเครื่องชั่งและการตรวจคุณภาพข้าว ในขณะที่ราคาที่เกษตรกรได้รับก็เป็นรองโรงสีเอกชน พร้อมกับความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของเจ้าหน้าที่ สกต. ที่เคยเป็นเพียงช่องทางการตลาดทางหนึ่ง จึงเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับเกษตรกรที่ตั้งใจทำข้าวคุณภาพดี
A-Rice From the Farmer
อดุลย์ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ในฐานะผู้บริหาร ที่ลงพื้นที่คลุกคลีกับเกษตรกรลูกค้าของธนาคารมายาวนาน มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกษตรกร จนได้บทสรุปที่สำคัญว่า คุณภาพ คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของลูกค้า ธ.ก.ส. ดียิ่งขึ้น การสร้างแบรนด์ A-Rice จึงเป็นความพยายามร่วมแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน โดย ธ.ก.ส.เข้ามาสนับสนุนในด้านต่างๆ ที่เกษตรกรยังขาดแคลน และพื้นที่ร้อยเอ็ดจัดเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการเชื่อมโยงระหว่างธนาคารกับเกษตรกร ผ่านตัวกลางคือ สกต. ในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้วยวิธีการต่างๆ ส่งผลให้เกษตรกรปรับปรุงคุณภาพผลผลิตของตนเองได้ดียิ่งกว่าที่เคยเป็นดังตัวอย่างข้างต้น

ศิริเพ็ญ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภาตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ธ.ก.ส. เสริมว่า ธ.ก.ส. จะช่วยลูกค้าชุมชนในเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่ม เพราะในภาคชนบทมีภูมิปัญญาที่มีค่าอยู่มากที่ต้องช่วยกันนำมาสร้างเป็นมูลค่า นำรายได้กลับสู่ท้องถิ่น โดยบทบาทนี้จะทำควบคู่ไปกับหน้าที่หลักของธนาคารในการให้บริการสินเชื่อ
ในเรื่องตลาด สกต. มีแบรนด์เอไรซ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งเมื่อนำไปทำการตลาดได้ ผลประโยชน์ก็จะกลับมาสู่ผู้ผลิต และจะช่วยให้เกษตรกรมีเป้าหมายในการสร้างมาตรฐาน และทำผลผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาด และหากโมเดลที่ร้อยเอ็ดประสบความสำเร็จก็มีโอกาสที่จะขยายเครือข่ายออกไปได้อย่างไม่มีสิ้นสุด
วุฒิชัย ผู้อำนวยการสำนักงาน ธ.ก.ส. จังหวัดร้อยเอ็ด ให้ความเห็นว่าการมีแบรนด์ A-Rice เป็นข้าวพรีเมียมให้ผู้บริโภคได้รับประทานผลผลิตจากทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นข้าวที่มีการทำวิจัยมาแล้วว่ามีความหอมแตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ เมื่อกระบวนการทั้งหมดเดินไปด้วยคำว่าคุณภาพ เริ่มจากแหล่งรับซื้อคือ สกต. ที่เน้นรับเฉพาะข้าวที่ได้คุณภาพ ผู้ผลิตคือเกษตรกรก็จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามคุณภาพข้าวที่ผลิตได้ ตัวเกษตรกรก็จะใส่ใจกระบวนการผลิตเริ่มตั้งแต่เมล็ดพันธุ์จนถึงการตากข้าวก่อนส่งขาย จึงเกิดประโยชน์ต่อทุกส่วนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
กำนันไพบูลย์ ในฐานะเกษตรกรและผู้นำชุมชน พูดถึงข้าวหอมมะลิที่ผลิตในพื้นที่ร้อยเอ็ดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ผมว่าของผมสุดยอดจริงๆ คือเราภูมิใจ ทานแล้วก็หอมจริงๆ ผมว่าข้าวร้อยเอ็ดหอมที่สุดในโลกน่าทานที่สุด และอย่างที่เห็นเป็นธรรมชาติจริงๆ ไม่ต้องไปเอาน้ำจากที่อื่นมา รอน้ำธรรมชาติ ทุกอย่างธรรมชาติจริงๆ อยากให้คนทานได้มาเห็นด้วย มาเห็นแปลงที่ปลูกเป็นอย่างไร อยู่ใกล้โรงงาน สารเคมีอะไรหรือไม่ มีบ่อบำบัดน้ำเสีย มีโรงงานขยะหรือไม่ เราไม่มีสิ่งเหล่านี้ น้ำก็ห้วยหนองคลองบึงไหลผ่านมาเราก็สูบธรรมดา หรือไม่สูบก็รอฝนธรรมชาติมา ข้าวออกมาก็ธรรมชาติจริงๆ หอมจริงๆ”
ความตั้งใจและความภาคภูมิใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดนี้รวมกันกลายเป็นแบรนด์ข้าว A-Rice ที่จะเป็นหัวหอกในการนำมูลค่าเพิ่มกลับคืนสู่เกษตรกร ด้วยสายใยที่ร้อยรัดระหว่างเกษตรกร ชุมชน สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้าธ.ก.ส. และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ร่วมมือร่วมใจกันนำผลผลิตคุณภาพที่เป็นความภูมิใจของเกษตรกร และเป็นความภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ ไปสู่โต๊ะอาหารของผู้บริโภคที่ได้บริโภคข้าวคุณภาพด้วยความสบายใจในกระบวนการผลิตและแปรรูปที่มีมาตรฐาน และยิ่งดีกว่านั้นเมื่อได้ทราบว่าเม็ดเงินที่จ่ายเพื่อข้าวหอมอร่อยที่ทานอยู่นั้นยังย้อนกลับไปหาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้ผลิตข้าวเมล็ดสวยด้วยความภาคภูมิใจต่อไป
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เป็นที่ทราบกันดีว่า ชาวนาไทยจำนวนมากยังมีฐานะยากจน ต้องเผชิญกับปัญหามากมายทั้งต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ปัญหาสภาพดินฟ้าอากาศ หลายหน่วยงานจึงพยายามคิดหาหนทางช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรกระดูกสันหลังของชาติเหล่านี้ด้วยวิธีการต่างๆ
อย่างไรก็ดีเมื่อมองไปทั้งกระบวนการจากท้องนาสู่จานข้าว ยังมีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นระหว่างทางอีกจำนวนมากที่ชาวนาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นปัญหาดั้งเดิมที่พูดกันมา คือพ่อค้าคนกลางที่เข้าไปกดราคาผลิตผลการเกษตร ทำให้เกษตรกรยากจน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต การเปิดช่องให้เกษตรกรสามารถได้ส่วนแบ่งจากมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นระหว่างทางของผลิตผลของตัวเองจึงเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการสร้างความยั่งยืนให้กับชีวิตของคนกลุ่มนี้
ข้าวเป็นพืชสำคัญของประเทศไทย มีเกษตรกรจำนวนมากเพาะปลูกจนไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับต้นๆ ของโลก และข้าวไทยก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นข้าวที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ รวมถึงเรายังมีพันธุ์ข้าวที่หลากหลาย กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักในการดูแลสนับสนุนเกษตรกรด้านเงินทุนด้วยการให้สินเชื่อ รวมถึงภารกิจการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกรลูกค้า ในฐานะหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับเกษตรกรมากที่สุดหน่วยงานหนึ่งในประเทศ มองเห็นช่องทางและวิธีการที่จะช่วยให้เกษตรกรชาวนาเข้ามารับมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทาน จึงเกิดเป็นการสร้างแบรนด์สินค้า A-Rice ที่ทำขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ข้างต้น
ความเป็นมาของ A-Rice ข้าวบรรจุถุงที่มีแนวคิดเชื่อมโยงการผลิตสู่การตลาดผ่านกระบวนการสหกรณ์โดยมีธ.ก.ส. สนับสนุนเกิดจากการที่ธนาคารเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าเรื่องการผลิตและพบว่า การให้สินเชื่อทำการผลิตอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หลังจากศึกษาปัญหาก็พบว่า ปัญหาที่แท้จริงของเกษตรกรคือเรื่องการตลาด จึงเกิดแนวคิดที่จะเข้ามาดูแลเรื่องการตลาดของสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งนำมาสู่การนำข้าวมาแปรรูปและทำการตลาดข้าวในแบรนด์ A-Rice

อดุลย์ กาญจนวัฒน์ รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อธิบายกระบวนการเชื่อมโยงเกษตรกรสู่ผู้บริโภคนี้ว่า มีสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้าธ.ก.ส. (สกต.) เป็นกลไกหลัก โดย สกต. รับซื้อข้าวที่ได้คุณภาพจากวิสาหกิจชุมชนที่เป็นสมาชิกมาสีที่โรงสีและทำการบรรจุ และมี บริษัท ไทยธุรกิจเกษตร จำกัด (TABCO) ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนของ สกต. 90 เปอร์เซ็นต์ ธ.ก.ส. 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวกลางทำตลาด
กลไกนี้คือความแตกต่างสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานของข้าวตั้งแต่ต้นจนถึงมือผู้บริโภคผ่านเงินปันผลจาก สกต.ที่เกษตรกรเป็นเจ้าของ และ TABCO ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ สกต.
“จุดที่แตกต่างของ A-Rice เราทำโดยกระบวนการสหกรณ์ ว่าเป็นความหวังของธนาคารเราอยากให้เป็นกระบวนการที่เติบโตเข้มแข็งยั่งยืน เพราะเกษตรกรเป็นผู้ผลิตจริง และโดยกระบวนการสหกรณ์ สกต. ทำการรวบรวมแปรรูปและแพ็กเกจจิงต่างๆ และมาถึงกระบวนการขายก็จะกลายเป็นเพื่อเกษตรกรโดยตรง เกษตรกรเดิมที่ได้แต่ขายในราคาข้าวปกติ พอไปแปรรูปสหกรณ์มีกำไรเขาก็ได้ปันผลกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ A-Rice แตกต่างจากการไปบริโภคข้าวทั่วไป ที่บอกว่าจะไปช่วยชาวนา A-Rice นี่ช่วยจริงเพราะส่วนต่างที่กลับไปเป็นเงินปันผลให้กับสมาชิกของเขา” อดุลย์อธิบาย
หากใช้ตัวเลขอ้างอิง ปัจจุบันข้าวเปลือกอยู่ที่ประมาณตันละ 13,500 - 14,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก เมื่อผ่านกระบวนการสหกรณ์เราจะซื้อในราคาสูงขึ้นตันละ 100 - 200 บาท เมื่อนำข้าวเปลือกไปสีแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุงเพื่อจำหน่าย โดย สกต.เป็นผู้บริหารจัดการในการจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงที่ราคาประมาณ 38,000 บาทต่อตันข้าวสาร หรือ 38 บาทต่อกิโลกรัม มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในส่วนนี้หากเป็นกลไกตามปกติเกษตรกรจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เมื่อสหกรณ์เป็นผู้แปรรูปได้กำไร กำไรส่วนนี้ก็จะสามารถนำไปเฉลี่ยคืนสู่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกในช่วงสิ้นปีตามกลไกของสหกรณ์
การสนับสนุนเชื่อมโยงการผลิตสู่การตลาดโดยผ่านกระบวนการสหกรณ์ของธ.ก.ส.เป็นหนึ่งในนโยบายของธนาคารที่ต้องการเพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกรลูกค้า โดยคัดเลือกกลุ่มการผลิต วิสาหกิจชุมชนที่มีข้าวคุณภาพ เพื่อนำมาปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้น เป็นการทำงานในส่วนของ Value Chain Financing หรือสินเชื่อทั้งห่วงโซ่การผลิต เพิ่มเติมจากสินเชื่อที่ให้เพื่อสนับสนุนการเพาะปลูกแบบเดิม A-Rice จึงเป็นดังโครงการต้นแบบในการช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรของไทยสามารถเข้าไปรับประโยชน์จากมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในกระบวนการปรับปรุงคุณภาพจนถึงการจำหน่ายสู่ผู้บริโภค และหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ก็สามารถนำไปใช้กับผลิตผลอื่นๆ เพื่อช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรต่อไป

A-Rice กับ 6 ความนัยที่แฝงไว้ลึกซึ้ง
• A Rice = ข้าวที่มีการคัดคุณภาพ เป็นสินค้าเกรด A
• A-Rice = Agricultural Cooperative เป็นข้าวที่มาจากผู้ปลูกที่เป็นเกษตรกรตัวจริงผ่านกระบวนการสหกรณ์ ซึ่งเกษตรกรเป็นสมาชิกและเป็นเจ้าของสหกรณ์ และทำการตลาดโดยบริษัท ไทยธุรกิจเกษตร จำกัด (TABCO) ที่สหกรณ์เป็นเจ้าของ เพื่อส่งข้าวสารถึงมือผู้บริโภค
• A-Rice = เป็นการทำข้าวที่มีหน่วยงานสนับสนุนหลักคือ ธ.ก.ส. หรือ Bank for Agriculture and Agricultural Cooperatives
• A-Rice = Advantage ข้าวที่ไม่ใช่ข้าวทั่วไป เป็นข้าวคุณภาพ เช่น ข้าวหอมมะลิ ไรซ์เบอรี่ ข้าวสังข์หยด ที่มีชื่อเสียงของพื้นบ้าน เป็นสมบัติที่ล้ำค่าของคนไทยที่เหนือกว่าประเทศอื่นๆ คือ เป็นความได้เปรียบที่เหนือกว่าที่อื่นๆ
• A-Rice = Admire เป็นมรดกทางสังคมและวัฒนธรรมของไทยที่สืบทอดต่อกันมา เพราะข้าวเป็นพืชที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง (พระแม่โพสพ)
• A-Rice = Acceptable คือเป็นที่ยอมรับในเรื่องมาตรฐานคุณภาพ

Viral Marketing การตลาด A-Rice
A-Rice มีข้าวหลากหลายประเภทจาก 14 จังหวัดทั่วประเทศไทย จัดเป็นข้าวสำหรับตลาดระดับกลางถึงบนที่มีคุณภาพมาจากเกษตรกรโดยตรง คำว่าคุณภาพเป็นเรื่องที่แบรนด์ A-Rice ให้ความสำคัญอย่างมาก การมีแหล่งผลิตรวมถึงสายพันธุ์ข้าวที่หลากหลายนำมาจำหน่ายสู่ท้องตลาดเป็นอีกวิธีหนึ่งในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของสายพันธุ์ข้าว เป็นหลักประกันว่าข้าวสายพันธุ์ดีๆ ของไทยยังจะอยู่คู่ประเทศต่อไป และสิ่งสำคัญคือต้องมีผู้บริโภคที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ช่วยให้วัฏจักรการผลิตยังคงเดินหน้าต่อไปได้
การทำการตลาดข้าว A-Rice มีช่องทางหลักคือ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) ซึ่งมีอยู่ 77 แห่ง เป็นหน้าร้านที่มีอยู่ทุกจังหวัดของประเทศไทย ขณะเดียวกันก็ใช้สาขาของ ธ.ก.ส. เป็นช่องทางจำหน่าย A-Rice เช่นเดียวกันกับผลิตภัณฑ์อื่นจากลูกค้า ธ.ก.ส. อีกช่องทางที่จะนำ A-Rice สู่มือผู้บริโภคจำนวนมากคือผ่านบริษัท ไทยธุรกิจเกษตร จำกัด (TABCO) ที่จะส่งข้าวเข้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ 11 สาขา สยามพารากอน เอ็มควอเทียร์ เดอะพรอมานาด เทอร์มินอล 21 เอ็มโพเรียม และโกลเด้นเพลสทุกสาขา
อดุลย์ระบุว่า “ที่ผ่านมาเราทำ A-Rice โดยเน้นการบอกปากต่อปาก คนที่มาบริโภคข้าว A-Rice 3 ครั้งก็จะติด A-Rice มีความต่างเพราะมี 14 จังหวัด พื้นข้าวมีความต่างกัน บางคนก็บอกว่าชอบกินข้าว A-Rice ร้อยเอ็ดบางคนก็บอกชอบกินข้าว A-Rice สุรินทร์ ข้าวหอมมะลิเหมือนกัน พอบริโภคไปแล้วก็จะติด แล้วจะมาถามหา
“เราคงจะไม่เน้นการวางขายแบบแมส โพสิชันเราไม่ใช่ เราทำเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ เราจะค่อยๆ เจาะกลุ่มคนชั้นกลางขึ้นไป ให้เขามีโอกาสได้เข้าถึงข้าว A-Rice อย่างที่ผมว่าใครกินสัก 3 ครั้ง ติดใจแน่นอน ในราคาที่เราไม่ได้วางไว้สูง ของเราเป็นข้าวคุณภาพ ก็จะมีอีกเกรดให้เป็นระดับแมส เป็นข้าวหอมมะลิ ข้าวขาวก็เริ่มทำแล้ว เราคิดว่าค่อยๆ โตดีกว่า เร่งทำ แล้วควบคุมไม่ได้ จะมีปัญหาเรื่องคุณภาพขึ้นมา”
นอกจากนี้ยังมีโครงการผูกปิ่นโตข้าวที่เริ่มต้นเป็นการภายในของ ธ.ก.ส. โดยให้พนักงานสามารถสั่งซื้อข้าว A-Rice ผ่าน TABCO รวมถึงมีวิสาหกิจชุมชนบางแห่งที่ส่งข้าวให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านไปรษณีย์ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ผู้บริโภคสามารถได้รับประทานข้าวคุณภาพส่งตรงถึงบ้าน รวมถึงช่องทางที่เว็บไซต์ของสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (www.sktbaacmarket.com) ซึ่งรวบรวมสินค้าของ สกต.ต่างๆ มาจำหน่าย
ข้อมูลยอดขายของ A-Rice เมื่อปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 8,000 ตัน ขณะที่ปี 2558 คาดว่าจะมียอดอยู่ที่ 20,000 ตัน จากการทำการตลาดและโครงการเสริมอื่นๆ เช่นการผูกปิ่นโตข้าวของพนักงาน ธ.ก.ส.

ความท้าทายที่รออยู่
A-Rice เป็นแบรนด์น้องใหม่ในตลาดข้าวถุงที่มีคู่แข่งมากมาย ความท้าทายที่แบรนด์นี้ต้องทำคือการสื่อสารกับผู้บริโภคให้เข้าใจถึงเรื่องคุณภาพ การเข้าถึงตัวผลิตภัณฑ์ รวมถึงการรักษามาตรฐานของผลิตภัณฑ์
อดุลย์เล่าว่า “สิ่งที่เราคิดข้างหน้า คือสร้างความเข้มแข็งให้ สกต. TABCO ธ.ก.ส.จะไปลงทุนสนับสนุนเรื่ององค์ความรู้เทคโนโลยี ในการทำ การวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อาจจะเป็นเรื่องความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อาหาร food science ต่างๆ เอาแค่ข้าวอย่างเดียวไม่พอ เราอาจจะแปรเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างมะพร้าวเขาก็ไปทำเป็นเครื่องสำอางได้ ข้าวก็ได้เหมือนกันแต่ต้องมีองค์ความรู้ระดับสูงขึ้นไปซึ่งประเทศเรายังไม่มี จึงทำให้ประเทศที่เจริญแล้วมาซื้อข้าวเราไป แล้วนำไปแปรรูปได้ส่วนต่างเยอะมาก เหมือนมังคุดเปลือกมังคุดเอาไปทำเครื่องสำอาง ส่งไปเข้าแล็บที่อินเดีย อินเดียก็ได้ส่วนต่าง เราอาจจะต้องใช้เวลาเพราะการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้บ้านเรายังไม่ค่อยมีเท่าไร แต่สามารถทำได้ง่ายๆ การแปรรูป เราเก่งนะ คนรุ่นโบราณเราทำขนม ก็อาจจะแปรรูปจากผลิตภัณฑ์ข้าวมาเป็นสินค้าโอท็อปชนิดอื่นได้ โดยใช้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่เราเริ่มมีการทำบ้างแล้ว
“เราก็คิดถึงขั้นต่อไปทำแพ็กเกจจิงแล้ว ที่ไปดูที่ญี่ปุ่นข้างถุงข้าวสามารถบ่งบอกได้ว่าใครเป็นผู้ผลิต อยู่ที่ไหนอย่างไร และเราก็จะทำการตลาดต่อไปได้ง่าย ต่อไปอาจจะเป็นคูปองนอกจากได้คูปองได้ข้าวแล้วยังได้แพ็กเกจไปทัวร์การเกษตรปลูกข้าวด้วย ไปชุมชนนี้เลยไปแปลงปลูกข้าว หว่านวันแม่เกี่ยววันพ่อ ยังทำได้อีกหลากหลาย รวมถึงเรามีแผนดึงคนรุ่นใหม่มาสู่ภาคการเกษตรมากขึ้น จะทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจภาคการเกษตรมากขึ้น การทำเรื่องข้าวต้องใช้เทคโนโลยีความรู้ใหม่ๆ เด็กรุ่นใหม่มี การทำแพ็กเกจจิง การทำตลาดต่างๆ ที่เกษตรกรรุ่นเก่าไม่มี จะทำให้มีโอกาสเกิดธุรกิจในห่วงโซ่ของข้าวโดยคนรุ่นใหม่มากขึ้น”
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดนำ A-Rice มาเพิ่มมูลค่าด้วยวิธีอื่นเพื่อสร้างจุดเด่น เช่น การทำกระเช้าของขวัญ เนื่องจากมองว่าการได้บริโภคข้าวเป็นขวัญกำลังใจ ข้าวขวัญทำให้คนมีกำลัง มีพลัง เป็นการยกระดับการสื่อความหมายของข้าว เพื่อสื่อถึงการระลึกถึง การให้กำลังใจ นอกจากจะขายข้าวได้แล้วยังสามารถนำผลิตภัณฑ์จากกลุ่มลูกค้าของธ.ก.ส. อย่างเช่นกระเช้า กระเป๋าสานมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่ง
A-Rice ไม่ได้เป็นเพียงข้าวถุงที่ผลิตขึ้นมาโดยเน้นเรื่องคุณภาพเพียงอย่างเดียว A-Rice คือความเกี่ยวพันระหว่างเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เชื่อมโยงสู่ผู้บริโภคผ่านกลไกสหกรณ์ที่พวกเขาเป็นสมาชิกอยู่ การสนับสนุนให้เกษตรกรไทยสามารถมีส่วนรับมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานในแบบที่ A-Rice ทำอยู่ เป็นโมเดลที่น่าสนใจในการนำความมั่งคั่งกลับคืนสู่เกษตรกรผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติไทย
ติดตามข่าวสารโปรโมชั่นและกิจกรรมต่างๆ ของข้าว A-Rice ได้ทาง
https://m.facebook.com.sktbaacmarket
ช่องทางการจำหน่ายข้าว A-Rice ผ่าน E-commerce www.sktbaacmarket.com
เรื่องที่เกิดขึ้นกับ UBER ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว Travis Kalanick ผู้ประกอบการซึ่งเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์อันยิ่งยวด มหาเศรษฐีผู้สร้าง UBER มากับมือ จนเขย่าวงการธุรกิจโลกอยู่ในขณะนี้ ถูกกดดันให้จำต้องวางมือจากการบริหารกิจการของตัวเอง
เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมนึกถึงสมัยเมื่อ 30 กว่าปีก่อนที่ Steve Jobs ถูกไล่หรือปลดออกจากตำแหน่งบริหารของ Apple Computer ซึ่งเขาสร้างมากับมือเช่นเดียวกัน ผมจำได้ว่าสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ตอนนั้น ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพิ่งกลับมาจาก Kellogg ได้ไม่นาน มาสอนวิชา Strategic Management และได้นำเอาวีดีโอเทป เรื่อง “In Search Of Excellence” ของ Tom Peters และ Robert Waterman มาเปิดให้ดูกัน เพื่อประกอบการบรรยาย สมัยโน้น หนังสือเล่มที่ชื่อเดียวกันนี้ขายดีมาก นับเป็น Breakthrough ของวงการหนังสือธุรกิจและการจัดการ จนส่งผลให้ Tom Peters กลายมาเป็น Management Guru ชั้นแนวหน้าของโลกคนหนึ่ง

Apple เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาสำคัญของ In Search of Excellence
ผมยังจำได้แม่นยำว่าอาจารย์สมคิดได้ชี้ให้เห็นจุดแตกต่างของ Apple ที่ไม่เหมือนกิจการชั้นแนวหน้าของโลกสมัยนั้น คือวัฒนธรรมองค์กรที่แสดงออกมาในหนังสารคดีสั้น ซึ่งมีการถ่ายทำให้เห็นบรรยากาศการทำงาน การประชุม และสัมภาษณ์พนักงานและผู้บริหารนั้น ว่ามันมีความเป็น “จิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋” (ภาษาของแกสมัยโน้น) “ดูไปแล้วก็ไม่ต่างจากบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยที่มาทำกิจกรรมกันสมัยเรียน”
เพราะพนักงานและผู้บริหารของ Apple ล้วนเป็นคนหนุ่มสาว ได้รับการศึกษามาดี จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ พูดจาด้วยความฉะฉาน มั่นใจในตัวเองสูง ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างโน่นนี่นั่น แต่ไม่ค่อยสนใจหรือให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน ทั้งการแต่งตัวและวิถีปฏิบัติหรือขั้นตอนในการบริหารและการดำเนินธุรกิจ
สมัยนั้น สมัยที่นักธุรกิจยังต้องผมสั้นและผูกเนคไทใส่สูทสวมรองเท้าหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารยังต้องแต่งตัวเนี้ยบและหวีผมเรียบแปร้ และแบบแผนการจัดการในองค์กรยังให้ความสำคัญกับสายการบังคับบัญชา ระบบอาวุโส และธรรมเนียมธุรกิจ เรื่องแบบนี้ยังถือเป็นเรื่องที่ยัง Unconventional อยู่มาก ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหมือนสมัยนี้ เพราะวัฒนธรรมองค์กรแบบนั้นแหละ ที่ต่อมาโลกได้รับรู้คุ้นเคยกับมันในนามของ “วัฒนธรรมแบบ Silicon Valley” หรือแบบ “Nerd” ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของบรรดา “Dot-com” ในยุค 90s และ “Start-ups” ทั้งหลายในปัจจุบัน วัฒนธรรมแบบนี้ ตอนหลังเมื่อองค์กรขยายตัวขึ้น และต้องข้องเกี่ยวกับ Stakeholders หลากหลายกลุ่มยิ่งขึ้น ร้อยพ่อพันธุ์แม่มิใช่ Core Group ที่คุ้นเคยกันเหมือนเดิม เพราะกลายมาเป็นกิจการมหาชนที่มีหุ้นจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และบรรดาผู้ก่อตั้งและพนักงานรุ่นบุกเบิกล้วนกลายเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังน้อย ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเองว่าถูกว่าดี.... ทำให้เกิดปัญหาจุกจิกยุ่งยากในเชิงการบริหารจัดการ ที่คนเหล่านี้ไม่ต้องการเกี่ยวข้องอีกต่อไป จนต้องนำ Professional Managers จากข้างนอกเข้ามา แล้วก็เกิดความขัดแย้งกับบรรดา Professional Managers เหล่านั้นในที่สุด
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Steve Jobs ถูก John Sculley ซึ่งตนเป็นคนจ้างเข้ามาแท้ๆ ปลดออก
เพราะถ้า Steve Jobs ยังมีบทบาทนำอยู่ วัฒนธรรมการทำงานแบบ “จิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋” นั้น (ส่วนใหญ่เป็น “จิ๊กโก๋” เพราะ “Nerd หญิง” ยังมีจำนวนน้อยมาก) มันก็จะยังโดดเด่นอยู่ และทำให้องค์กรเกิดความขัดแย้งเสียดสีอยู่อย่างนั้น เพราะตัว Steve Jobs เอง เป็นคนแบบนั้น จึงสร้างและสนับสนุน (จะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม) กลุ่มคนแบบเดียวกันขึ้นมาแวดล้อมเขา ทำให้ Professional Manager บริหารงานยาก และถึงแม้ว่าวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้จะเป็นคุณในระยะแรก ทว่า เมื่อองค์กรเติบโตขึ้นแล้ว บรรดานักบริหารและคณะกรรมการตลอดจนผู้ถือหุ้น คิดว่าต้องปรับให้เข้ารูปเข้ารอยเสียจะดีกว่า ฯลฯ (สมัยโน้น ยังไม่มีคำว่า “Bro-Culture” เหมือนสมัยนี้) พูดแบบสมัยนี้ก็คือ Steve Jobs โดนข้อหาว่านิยมหรือเป็นตัวการที่สร้าง “Bro-Culture” ขึ้นในองค์กร และอันที่จริง สมัยโน้นเขาก็ออกจะมองผู้หญิงไม่ขึ้น สักเท่าไหร่ และชอบพูดคำสบถต่อหน้าพวกเธอเสมอ จึงเป็นไปได้ว่า ถ้าเป็นสมัยนี้เขาอาจโดนข้อหา “Discrimination” หรือ “Noninclusive” เพิ่มอีกกระทงหนึ่ง
ดีที่ว่าสมัยโน้น ยังไม่มีวลี “Political Correctness” เกิดขึ้น หรือมันอาจจะเกิดขึ้นแล้ว แต่ผู้คนยังไม่ให้ค่ากับมันมากมายถึงขนาดปัจจุบัน
นับว่าต่างกับกรณีของ Kalanick แห่ง UBER เพราะเขาต้องยอมปลดตัวเอง (จากการกดดันของผู้ถือหุ้น) ด้วยข้อหาว่าไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร กับข้อเรียกร้องของพนักงานอันเกี่ยวข้องด้วยเรื่อง การคุกคามทางเพศ ตลอดจนการใช้คำพูดและการกระทำที่ส่อไปในเชิงหมิ่นแคลนกัน ในที่ทำงาน อันแสดงเป็นนัยยะว่า UBER ภายใต้การบริหารของเขา ยังมีบรรยากาศของการเลือกปฏิบัติ แสดงออกหลายครั้งด้วยกริยาหรือวาจาประเภทที่ชวนให้รู้สึกว่าถูกหมิ่นแคลนระหว่างเพศ (เช่น เพศชายต่อเพศหญิง หรือต่อเพศอื่น) และระหว่างคนกลุ่มใหญ่ต่อคนกลุ่มน้อย (ระหว่างคนที่ยึดถือวัฒนธรรมต่างกัน เช่น คนที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของกิจการ ต่อคนที่นับถือศาสนาอื่น หรือคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่มาตั้งแต่เกิด ต่อคนที่พูดภาษาอื่นเป็นภาษาแม่มาตั้งแต่เกิด หรือคนอเมริกันต่อคนเชื้อชาติอื่น เป็นต้น)
คนที่สนใจรายละเอียดเรื่องนี้ ผมแนะนำให้อ่าน “Covington Recommen-dations” ซึ่งเป็นรายงานที่ผู้สืบสวนเรื่องนี้เสนอความเห็นให้ต่อคณะกรรมการของ UBER ซึ่งเป็นที่มาของแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นที่มีต่อตัว Kalanick
รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้เราเห็นความสำคัญของ Political Correctness ที่มีและจะมีต่อแวดวงธุรกิจนับแต่นี้ ธุรกิจจะละเลยเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อีกต่อไปนับแต่นี้ ศาสตร์การจัดการจะต้องบรรจุเรื่องทำนองนี้เข้าไปในหลักสูตร และกิจการธุรกิจจะต้องสร้างโครงสร้างและ Function งานมารองรับคอนเซปต์งาน ทางด้านนี้โดยตรง เช่นเดียวกับ Good Governance หรือ Business Ethic หรือ CSR ทว่า ต้องเข้มข้นกว่าหลายเท่าตัว (เปรียบไปก็คงจะต้องเหมือนกับที่รัฐบาลพม่าต้องมี “กระทรวงชาติพันธุ์” อยู่ในโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินด้วย นั่นแหล่ะ)
เอาเป็นว่า ผมจะขอยกประเด็นนี้ไว้ก่อน เพราะนิตยสาร MBA ของเรา คงจะได้เขียนวิเคราะห์ประเด็นนี้กับการจัดการสมัยใหม่อย่างละเอียดลึกซึ้ง ในเร็วๆ นี้
ตอนนี้ ผมเพียงแต่ติดใจเรื่องนี้อยู่ บางประเด็น และต้องการจะแชร์ให้ผู้อ่านได้รู้ด้วย
คือคนที่ต้องลาออกจากตำแหน่งบริหารสำคัญของ UBER นอกจาก Kalanick แล้ว ยังมี David Bonderman อภิมหาเศรษฐีของโลกอีกคนหนึ่ง ที่ต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทด้วย กิจการ Private Equity ของเขาร่วมลงทุนใน Start-Ups ระดับโลกและในเอเชียจำนวนไม่น้อย เหตุผลคือ Bonderman ดันไปพูดขึ้นในการประชุมบอร์ด ขณะกำลังประชุมพิจารณากันในประเด็นนี้ว่า “Actually, what it shows is that it’s much more likely to be more talking,”

เรื่องของเรื่องคือแกเพียงแต่แหย่กรรมการหญิงอีกคนด้วยประโยค (ที่แกคิดว่า) ตลกๆ นั้น ระหว่างที่กรรมการหญิงคนหนึ่ง (คือ Arianna Huffington ผู้ก่อตั้ง Huffington Post) ออกความเห็นไปว่า การที่ UBER ตั้งผู้หญิงมาเป็นกรรมการแล้วคนหนึ่ง (หมายถึงตัวเธอเอง) ย่อมมีแนวโน้มว่าจะมีคนอื่นตามมา (คือโอกาสที่จะตั้งกรรมการหญิงเพิ่มขึ้น) ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการบริษัทมีความหลากหลายยิ่งขึ้น แล้วเทปลับที่บันทึกการประชุมครั้งนั้นก็หลุดรอดมาถึงมือสื่อมวลชน (คือ Yahoo Finance) แหล่งข่าวจากผู้ที่ได้ฟังเทปลับในการประชุมครั้งนั้น อ้างคำพูดของ Huffington ที่พูดว่า “There’s a lot of data that shows when there’s one woman on a board, it’s much more likely that there will be a second woman on the board,” แล้ว Borderman ก็พูดประโยคที่เป็นปัญหานั้นขึ้น ความหมายของ Borderman คือเขาโจ๊กเป็นนัยๆ ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ “พูดแยะ” เท่านั้นแหล่ะ เมื่อข่าวนี้แพร่ไป (ในสถานการณ์ที่ UBER กำลังเกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันอยู่) ทำให้ผู้คนในแวดวงเทคโนโลยีไม่พอใจกันมาก แล้วก็ขยายตัวไปในแวดวงอื่น เช่น สื่อมวลชน การเมือง และสิทธิมนุษยชน ทำให้เขาต้องตัดสินใจลาออก โดยเขียนอีเมล์ตอนหนึ่งว่า “I want to apologize to my fellow board members for a disrespectful comment,”
ในฐานะสื่อมวลชนและคนเขียนหนังสือคนหนึ่ง ผมก็เคยได้รับคำติเตียน ในทำนองนี้มาแยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบหลายปีหลังมานี้ ขนาดว่าผมเอง เป็นคนระมัดระวังเรื่องการใช้ถ้อยคำอยู่แล้ว ผมไม่เคยใช้คำไม่สุภาพกับใคร แม้แต่นักการเมืองหรือนักธุรกิจที่ทำตัวน่ารังเกียจ ผมยังไม่เคยเขียนด่าด้วยคำที่คิดว่า มันจะเข้าข่าย “เหยียด” หรือ “Discriminate” มาก่อนเลย อย่าว่าแต่เรื่องชนกลุ่มน้อย ผู้ด้อยโอกาส คนจน หรือที่เกี่ยวกับเพศสภาพของกลุ่มต่างๆ ผมก็ไม่เคยเขียนถึงด้วยถ้อยคำที่ทำให้ “เคือง” หรือ “ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” เลย (ยกเว้นว่าสมัยเด็กๆ เคยล้อเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีนิ้วมือจำนวน 11 นิ้วว่า “ไอ้หน่อ” และอีกคนที่ผิวดำว่า “นิโกร” แต่พอโตขึ้นก็เลิก) แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ทำให้ผมจำได้แม่น คือในขณะที่ผมพูดเรื่องหมาแมวอยู่ในกลุ่มเพื่อน ก็ได้รับคำตำหนิจากเพื่อนคนหนึ่ง ว่าผมไม่ควรใช้คำว่า “มัน” หรือ “ไอ้ อี” กับบรรดาหมาแมวเหล่านั้น “เธอน่าจะใช้คำว่า ‘น้อง’ หรือ ‘เค้า’ หรือ ‘นาง’ ก็ยังดี” เธอพูดแบบไม่ติดตลก ตั้งแต่นั้น ผมกับลูกๆ จึงหันมาเรียกชื่อแมวตัวเองว่า “ไอ้คุณชิโก้” (แมวผมชื่อชิโก้ เป็นตัวผู้)
ว่ากันว่า Political Correctness เกินพอดีไปมากในอเมริกา เช่น แวดวงวรรณกรรมมีปัญหากับ นักเขียนผิวขาวผู้ชายที่เขียนนิยายเกี่ยวกับผู้หญิงผิวดำ แวดวงบริหารจัดการก็มีความพยายามจะเลิกใช้คำว่า “Human Resource” และ “Manpower” เพราะถือว่ามนุษย์ไม่ควรถูกลดศักดิ์ศรีให้เหลือเพียงแค่เป็น “ทรัพยากร” และมนุษย์ผู้มีคุณค่าก็มิได้มีเพียงแค่เพศเดียว ฯลฯ วงการพระศาสนา ก็เลี่ยงที่จะใช้คำว่า “Man” และ “He” โดยหันไปใช้ “He or She” แทน แล้วต่อมาก็เปลี่ยนมาใช้คำว่า “They” เพราะมีบางกลุ่มวิจารณ์ว่า “He or She” มันฟังแล้วเหมือนเป็นการบังคับให้คนเลือกเพศได้เพียง 2 เพศเท่านั้น (Gender Binary) โดยไม่คำนึงถึงคนที่ถือตัวเองว่าไม่ได้สังกัดอยู่ใน 2 เพศนี้ เช่น พวก Transgender, Genderqueer, Gender Non-conforming, หรือ Intersex เป็นต้น
อ่านถึงตอนนี้แล้ว ผมไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านรู้สึกอะไรหรือไม่ อันที่จริง การที่ผู้หญิงจะพูดมากหรือพูดน้อยกว่าผู้ชาย มันก็มิได้เป็นเรื่องที่ดีหรือเลว หรือมิได้เป็นอาชญากรรม ออกจะเป็นเรื่องน่ารักเสียด้วยซ้ำ ที่มีผู้หญิงมาพูดๆ กันให้เราได้ยิน เพราะผู้หญิงก็เป็นกลุ่มที่ชอบสังคมและชอบเม้าท์มอยเจ๊าะแจ๊ะกันมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ในความเห็นผม
การที่ UBER จะมีกรรมการเป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้น แล้วกรรมการคนใหม่นั้นจะบังเอิญเป็นคนพูดมาก มันก็อาจจะดีต่อองค์กรก็ได้ หรือมันอาจจะทำให้องค์กรแย่งลง? ไม่มีใครรู้ การที่เกิดกระแสสังคมกดดันจนทำให้เกิดการกดดันของผู้ถือหุ้นและผู้บริหารระดับสูง จนกรรมการบริษัทต้องลาออกเพราะเรื่องแค่นี้ มันเป็นอะไรที่บ่งบอกว่า แวดวงธุรกิจการจัดการของอเมริกัน ได้เกิดมาตรฐานและค่านิยมใหม่บางอย่างขึ้น
มาตรฐานและค่านิยมใหม่นี้ หากเกินเลยไป ย่อมเป็นเรื่องที่จะต้องเพิ่มต้นทุน ในการบริหารให้กับสังคม และอาจจะเหนี่ยวรั้ง Competitive Advantage ของอเมริกาเอง เมื่อเทียบกับคู่แข่งขันอย่างจีน แต่มันอาจจะมีข้อดีก็ได้....ต้อง Observe กันต่อไป
เรื่อง : ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
วันที่ : 25 มิถุนายน 2560
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง แบรนด์ที่เป็นคำตอบให้กับบรรจุภัณฑ์อาหารแบบครบวงจร และตอกย้ำถึงความเป็น Total Packaging Solutions Provider มุ่งเน้นในเรื่องของ Food Packaging Solutions ที่ตอบโจทย์ต่อเทรนด์บรรจุภัณฑ์อุตสาหกรรมอาหารในทุกๆ มิติ
“ธนวงษ์ อารีรัชชกุล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง กล่าวกับ “นิตยสาร MBA” ว่า บรรจุภัณฑ์ของ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง มีการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ในหลากหลายรูปแบบ และมีปัจจัยหลากหลายที่เข้ามามีอิทธิพลและกำหนดเทรนด์ต่างๆ ขึ้นมา
ประการแรก คือ นอกเหนือจากคุณสมบัติหลักของการห่อหุ้มสินค้าแล้ว บรรจุภัณฑ์ยังมีอีกหน้าที่หลักที่สำคัญ คือ การช่วย “เพิ่มมูลค่าสินค้า” (Value-added) ให้น่าดึงดูด
ประการที่สอง คือ บรรจุภัณฑ์มีจุดเด่นในด้าน “ความง่าย” เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์-สไตล์ของคนที่เปลี่ยนไป เพราะต้องรองรับเรื่อง “ความสะดวก” (Convenience) ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ ทำให้สินค้าของลูกค้าขายได้ดีขึ้น และอีกกลุ่มคือ ผู้ใช้งานเองก็ได้รับความสะดวกสบายจากการใช้บรรจุภัณฑ์ของ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ด้วย
ประการที่สาม คือ การให้ความสำคัญด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “เพื่อความยั่งยืน” (Sustainable Packaging) ที่เน้นการรีไซเคิล มองถึงการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยเฉพาะกระแสในประเทศตะวันตกเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
ประการที่สี่ คือ ความสะอาดและ “ปลอดภัย” (Food Safety) เป็นอีกเทรนด์ที่มาแรง และเป็นเรื่องที่ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากบรรจุภัณฑ์สัมผัสกับอาหารโดยตรง เช่นเดียวกับบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย Fest (เฟสท์) ที่ออกมาตอบโจทย์เรื่องนี้ ด้วยหลากหลายรูปแบบ เหมาะกับการใช้งานที่ต่างกันไป

Think out of the box กับแพคเกจจิ้ง
เช่นเดียวกัน เอสซีจี แพคเกจจิ้งมีการคิดค้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหาร ที่เป็นทุกคำตอบของเทรนด์ สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้บริโภค และตอบโจทย์ให้กับกลุ่มธุรกิจอาหาร โดยปัจจุบันเอสซีจีมีบรรจุภัณฑ์ไฮไลท์ที่มีหลากหลายกลุ่มดังนี้
บรรจุภัณฑ์กระดาษเฟสท์ หรือ Fest คือบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยผลิตจากกระดาษสำหรับสัมผัสอาหารโดยเฉพาะ ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP และ FDA สามารถใส่อาหารร้อนได้โดยไม่รั่วซึมและไม่ละลาย Fest จึงเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่นิยมทานอาหารแบบ Takeaway นอกจากเป็นบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย ยังมีดีไซน์สวยงาม ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องการเติมความโดดเด่นให้เมนูต่างๆ
Eazy Steam® เป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีจุดเด่นทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งสร้างกลไกการระบายอากาศบนบรรจุภัณฑ์ ส่งผลให้อาหารคงรสชาติความอร่อยตามต้นตำรับ และมีความสะอาดปลอดภัย สามารถอุ่นด้วยเตาไมโครเวฟได้โดยไม่ต้องตัดหรือฉีกบรรจุภัณฑ์
Ezy Peel® ฟิล์มสำหรับฝาปิดบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติที่ลอกออกได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีเศษพลาสติกเหลือติดขอบ เพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัยให้กับผู้บริโภค
OptiBreath® บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยให้ผลไม้คงความสดใหม่ได้นานยิ่งขึ้น โดยควบคุมการผ่านเข้าออกของก๊าซและไอน้ำ รวมทั้งอัตราการหายใจของผลไม้ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ลดของเสีย และข้อจำกัดในการขนส่ง
Anti-Fog ฟิล์มบรรจุภัณฑ์อาหารชนิดพิเศษ ที่ลดจุดด้อยของฟิล์มทั่วไปที่มีไอน้ำเกาะ โดยเปลี่ยนไอน้ำให้เป็นชั้นฟิล์มน้ำบางๆ ทำให้ผิวฟิล์มไม่เกิดฝ้า มองเห็นอาหารภายในบรรจุภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน และดูน่ารับประทาน
Luxury Packaging วัสดุส่งเสริมการขายที่ผลิตจากกระดาษบรรจุภัณฑ์คุณภาพ เน้นการพิมพ์สวยงามลงบนบรรจุภัณฑ์เพื่อช่วยส่งเสริมให้สินค้าโดดเด่น และดึงดูดความสนใจ เพิ่มความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้สินค้าทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Shopping Bags & Grocery Bags ถุงกระดาษที่คุณภาพของกระดาษมีความเหนียว และสามารถพับเก็บได้โดยมีการคงรูปที่ดี รองรับการพิมพ์ที่สวยงามเพื่อความสามารถในการปกป้องและสร้างเสริมภาพลักษณ์ให้สินค้า
Composite Can บรรจุภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิลที่มีความแข็งแรง น้ำหนักเบาและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกเหนือจากกล่องพับ กระป๋องโลหะ หรือภาชนะพลาสติกทั่วไปแล้ว นับว่าบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้เข้ามาเป็นทางเลือก ด้วยรูปแบบที่สะดวกสำหรับการบรรจุอาหารแปรรูปที่หลากหลาย
Merchandising Display เป็นอุปกรณ์ส่งเสริมจุดขายเพื่อดึงดูดทุกสายตา มีลักษณะเด่น คือ น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก และมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้
PopTech ชั้นวางสินค้าที่สามารถติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถพับเพื่อประหยัดพื้นที่ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง

ชี้บรรจุภัณฑ์อาหาร “ต้องมีมาตรฐาน” เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย
อย่างไรก็ตาม จากการที่เอสซีจี แพคเกจจิ้งเป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ และมองเห็นถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงว่า กลุ่มผู้ประกอบการและผู้บริโภคเริ่มมีการตอบสนอง และมองเห็นความสำคัญของการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ที่มีความปลอดภัยโดยเฉพาะ “ฟู้ดเซฟตี้” ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น
“ธนวงษ์” กล่าวว่า การตอบรับนี้เป็นสัญญาณที่ดี โดยเฉพาะเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ได้เข้ามาเปิดตลาด ด้านบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยเพื่อเป็นทางเลือก ซึ่งในลักษณะนี้ส่งผลทำให้ สถานการณ์ฟู้ดเซฟตี้ดีขึ้น เพราะแน่ใจได้ว่าไม่ต้องห่วงเรื่องของความปลอดภัย
ทว่าสำหรับในอนาคตแล้ว การออกมาตรฐานการใช้บรรจุภัณฑ์ ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะหากไม่มีการวางกฎระเบียบก็ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคบางส่วนไม่ได้สนใจหรือรู้ที่มาที่ไปของวัสดุที่นำมาผลิตบรรจุภัณฑ์
“ในต่างประเทศนั้นมีการวางกฎเกณฑ์มาตรฐานไว้เลย คือไม่ใช่นำกระดาษอะไรก็ได้มาผลิต” แม้อยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ถือว่ามีแนวโน้มที่ดี เพราะหากศึกษาจากเทรนด์ของผู้บริโภคแล้ว จะเห็นว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นประเด็น “ราคา” จึงไม่ใช่ปัญหา ตรงกันข้ามผู้บริโภคมีการตอบรับที่ดี และเห็นว่ามูลค่าของบรรจุภัณฑ์กระดาษที่มีความปลอดภัยกว่านั้น มีราคาที่สมเหตุสมผล ชี้ให้เห็นว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับอัตราการขยายตัวของเทรนด์อื่นๆ นั้น เห็นว่าบรรจุภัณฑ์ยังมีการโฟกัสในฟีเจอร์ที่มีความสำคัญด้าน คอนวีเนียน การรักษา และการถนอมอายุอาหาร ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะอัตราการสูญเสีย (Wastes) ที่เกิดจากอาหารมีมากกว่า 30% และเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ประเทศในตะวันตกให้ความสำคัญ
ดังนั้น การเก็บรักษาหรือถนอมอาหารให้มีอายุที่ยาวนาน จึงเป็นอีกประเด็นที่เอสซีจี แพคเกจจิ้งคำนึงถึง เช่น จากอาหารที่เก็บได้ 3 วัน ยืดอายุเป็น 1 สัปดาห์ เพิ่มระยะเวลามาอีกเท่าตัว อัตราการสูญเสียก็จะลดลง เพราะต้องไม่ลืมว่ากระบวนการผลิตให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์นั้น ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งการเกษตรและการใช้น้ำ เพื่อออกมาเป็นผลิตผลทางการเกษตร จึงต้องนำไปทำให้เกิดมูลค่าทางการค้าดีที่สุด หรือใช้สอยประโยชน์ให้เต็มที่
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีอาหารเน่าเสียเป็นปริมาณมาก จึงเป็นการสูญเสีย ดังนั้น อีกบทบาทหนึ่งของบรรจุภัณฑ์คือ การเข้าช่วยเรื่องเหล่านี้ โดยการออกแบบค้นคว้าวิจัย ยกตัวอย่าง บรรจุภัณฑ์ OptiBreath® บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุอาหาร จากเดิมที่มีอายุได้เพียง 7 วัน ก็ยืดอายุเป็น 14 วัน ถือได้ว่าลดการสูญเสียไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง
“เราต้องมองในภาพใหญ่ คือเรื่องของความยั่งยืน ความสูญเสียจากอาหารนั้นมีปริมาณมหาศาล และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกประการหากมองครอบคลุมไปถึงความต้องการอาหารของโลกที่มีมากขึ้น เมื่อมีการผลิตอาหารออกมา ต้องเป็นการสร้างประโยชน์ เพราะผู้บริโภคทุกคนยังมีความต้องการเรื่องอาหาร การที่เราลดของเสียก็ถือเป็นการเพิ่มซัพพลายให้กับคนที่ยังขาดแคลน ถือเป็นรูปแบบที่มองในเชิง Sustainability”

ชูความพร้อมรับยุค E-commerce มาแรง
E-commerce เป็นอีกกลุ่มตลาด ที่เอสซีจี แพคเกจจิ้งวางเป้าหมายไว้ชัดเจนว่าจะเข้าไป เห็นได้ว่าในต่างประเทศทุกๆ ที่ เริ่มขยายมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการสั่งสินค้าทั้งหมด ทั้งการช้อปปิ้ง สั่งอาหาร มีการส่งสินค้า ส่งอาหารในรูปแบบกล่อง การขับรถออกไปซื้ออาหารถือเป็นการสิ้นเปลือง เป็นที่มาของเทรนด์ด้านคอนวีเนียน บรรจุภัณฑ์เข้ามามีบทบาทอย่างชัดเจน
“ธนวงษ์” กล่าวถึงการส่งสินค้ากลุ่ม E-Commerce ในปัจจุบันมีรูปแบบใส่กล่องแบบง่ายๆ แต่แนวโน้มในอนาคตจะเริ่มมีความเปลี่ยนไปสู่รูปแบบใหม่มากขึ้น ยกตัวอย่าง บรรจุภัณฑ์ของประเทศญี่ปุ่นมีการออกแบบเพื่อสนองตอบด้านการขนส่งที่หลากหลาย บางครั้งส่งเป็นลิควิดขวดแก้ว ต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีการปกป้องการแตกหรือชำรุด เพราะฉะนั้นพัฒนาการของบรรจุภัณฑ์จะมีเรื่องของการดีไซน์เพิ่มเข้ามามากขึ้น
แม้กระทั่งการดีไซน์เพื่อให้มีรูปลักษณ์และความเหมาะสมกับการขนส่ง แม้แต่บรรจุภัณฑ์อาหาร ต่อไปจะมีลักษณะพิเศษ ที่ดีไซน์ออกมาเพื่อตอบรับกับความต้องการใหม่ๆ จึงยังมีโอกาสในเรื่องนี้อีกมาก
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของบรรจุภัณฑ์ที่มีความสวยงาม เพื่อเป็นของขวัญ ในอนาคตการเพิ่มมูลค่าสินค้าจะอยู่ที่กล่อง ส่งผลให้ตัวกล่องอาจจะมีราคาแพงกว่าของที่อยู่ในกล่องก็เป็นได้ เช่น ในร้านเบเกอรี่ที่ให้ความสำคัญกับการดีไซน์กล่องที่หรูหรา ดูดีมีราคา ทั้งหมดเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงเทรนด์ของการ “Perceived Value” คุณค่าทางด้านดีไซน์ทำให้คนรับรู้สึกพิเศษ มีผลทำให้ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า และการเพิ่มมูลค่าลักษณะนี้ยังมีอนาคตไปได้อีกไกล ซึ่ง “ธนวงษ์” กล่าวว่า ในจุดนี้ เอสซีจี แพคเกจจิ้งมีความพร้อมแล้ว สำหรับการส่งนวัตกรรมเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายด้านบรรจุภัณฑ์
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เมื่อเราได้คุยกับผู้ประกอบการด้านงานพิมพ์ 3D ที่มีไอเดียครีเอทีฟ ยูจิ ฮาระ (Yuji Hara) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ K’s Design Lab, Inc. ทำให้เรานึกถึงสตีฟ จอบส์ และมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ในมุมของคนที่เรียนไม่จบ แต่เห็นความต้องการในอนาคต!
30 ปีที่แล้วเทคโนโลยี 3D เครื่องมือดิจิทัล ยังไม่ได้รับความสนใจ แต่ฮาระเข้าเรียนภาคค่ำด้านวิศวกรรมศาสตร์ ในมหาวิทยาลัย Tokyo Rika จึงได้เรียนพื้นฐานงาน 3D ตั้งแต่การวาดมือ ส่วนตอนเช้าก็ไปทำงานในแผนกออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์กับบริษัทที่ศูนย์หางานของมหาวิทยาลัยแนะนำให้ จึงได้สัมผัสความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีตั้งแต่ยุคนั้น โดยฮาระต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย หาเงินส่งตัวเองเรียนหนังสือ
เห็น - เป็น - เทรนด์
ฮาระได้ทำงานพิเศษที่ Iwatsu Communication Device Co., Ltd. ควบคู่ไปกับเรียนหนังสือ เขาได้ลองทำงาน ลองใช้โปรแกรมและได้ทำโพรเจกต์ร่วมกับ Hewlett-Packard ของทางอเมริกา ได้เรียนรู้การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ทำให้รู้สึกว่าการทำงานสนุกกว่าเรียน และมองว่าเรียนเมื่อไรก็ได้จึงหยุดเรียน
“ผมรู้สึกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยมันง่ายไปเลยไม่สนใจ ซึ่งผมค่อนข้างถนัดด้านคณิตศาสตร์ และการเขียนโปรแกรมต่างๆ บริษัทก็ไปทำสัญญากับบริษัทที่อเมริกา ผมรู้สึกว่าทำงานตรงนี้สนุกกว่าไปเรียน ต่อมาก็ได้ไปเดินสายต่อยมวยช่วงอายุ 22-23 ปี ตอนอายุ 23 ก็กลับมาทำงานที่ญี่ปุ่นด้านการใช้โปรแกรมออกแบบ CAD และ CAM ที่ Iwatsu Communication Device Co., Ltd. ตอนแรกเป็นพนักงานติดตั้งโปรแกรมธรรมดา แต่ด้วยความที่เคยทำงานด้านโปรแกรม CAD CAM จึงได้ย้ายไปอยู่ฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์ เดินสายหาลูกค้า ซึ่งการที่เราเป็นบริษัทอย่างทุกวันนี้ก็เพราะมีไอเดียมาจากจุดนี้” ฮาระเผยแนวคิดที่แตกต่างจากขนบของคนญี่ปุ่นที่ต้องเรียนให้จบแล้วค่อยหางานทำ
จากประสบการณ์ที่คลุกคลีในวงการ 3D ฮาระจึงคิดเปิดบริษัทเพื่อต่อยอดงาน 3D ในสิ่งที่เขาอยากทำและพัฒนาต่อเอง จึงก่อตั้ง K’s Design Lab, Inc. (KSDL) ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2006 ซึ่งตอนนั้นกระแสดิจิทัล 3D ยังไม่แรง สิ่งที่เขานำเสนอล้ำหน้าเกินไป บวกกับ 3D Printer บางเครื่องมีราคาสูงถึง 15 ล้านเยน แต่เขาก็ยังลงทุนหนักมาก เพราะเชื่อมั่นว่าเทรนด์นี้จะมา จึงกัดฟันสู้จากการรับพรินต์งานด้วย 3D Printer ที่โตเกียว โอซะกะ นะโงะยะจนสามารถขยับขยายสู่งานซัพพอร์ตด้านสินค้าและบริการจนเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง และมีกำไรเข้าบริษัทมากกว่า 40 ล้านบาทในปี 2558

Business Line of KSDL
สอดคล้องกับเทรนด์และความต้องการด้าน 3D ดิจิทัล KSDL แตกไลน์ธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
1. Laboratory Team งานค้นคว้าวิจัยที่นำเสนอนวัตกรรมล้ำๆ จากแล็บสู่การใช้งานจริง เช่น BodyScan3D เทคนิค 3D Scanner ที่ร่วมกับ Aicon เยอรมนี คิดค้นการสแกนคนทั้งตัวภายใน 6 วินาที เป็น The highest resolution body scanner ของโลกในปี 2012, การสแกนอิริยาบถของนักกีฬาสกี คำนวณทิศทาง แรงลม วิเคราะห์ออกมาเป็น 3D Data เพื่อนำไปปรับแต่งกับการผลิตเสื้อผ้าที่ทำให้นักกีฬาสกีกระโดดได้ไกลกว่าเดิม, Android “Asuna” หุ่นเสมือนมนุษย์ที่เคลื่อนไหวและโต้ตอบได้ จากการสแกนร่างกายแล้วนำข้อมูลไปทำโมเดล โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยโอซะกะคิดค้นขึ้นและอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์บริษัท A-Lab
2. 3D Solution Division จำหน่าย 3D tools ฮาร์ดแวร์จากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี จีน เช่น 3D Printer, 3D Scanner ซอฟต์แวร์ที่ KSDL คิดค้นขึ้นเอง อาทิ โปรแกรม Geomagic Design, Geomagic Freeform Plus ที่ขึ้นรูปได้อย่างอิสระ, SHINING 3D Einscan-S desktop 3D scanner, Craft Mill 3D-CAM software
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์แนว Solution ที่ได้จาก tools ในกลุ่มนี้ เช่น แขนหุ่นยนต์สำหรับหยิบจับ (3D Printing Robot Arm) ที่ KSDL ร่วมกับ Yasojima วิจัยขึ้น และผลิตด้วย Geomagic Freeform Plus ช่วยให้สร้างชิ้นงานได้สะดวกและสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบตามที่ต้องการได้
3. 3D Digital Communication Division เป็นงานสร้างสรรค์ที่นำ tools ต่างๆ มาใช้สำหรับ PR และเพื่อการค้า (commercial) เช่น Aquarium ในญี่ปุ่นที่ KSDL เข้าไปทำหน้าจอทัชสกรีนให้เด็กๆ สัมผัสปลาในรูปแบบดิจิทัลได้, การสแกน data พื้นผิวของดวงจันทร์แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับโคมไฟ, Death Star 2 ซึ่งทำจาก 3D Printer โดยเป็นโมเดลที่มีความซับซ้อนมาก แต่สร้าง data ให้สามารถพรินต์ได้ด้วย 3D printer ภายในครั้งเดียว, นาฬิกาข้อมือไทเทเนียมที่ทำจาก Metal 3D Printer ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากหนัง Star Wars
4. Texture Consulting Division รับออกแบบและให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการดีไซน์ผิวสัมผัสพิเศษเพื่อทำ Prototype ก่อนผลิตสินค้าจริง ด้วยเทคนิค “D3Texture” คือ การผสมผสานระหว่าง 3D, Digital และ Design โดยลูกค้าสามารถเลือก texture ได้จาก D3 Texture Library Book แล้วนำ texture ที่เลือกไปใช้กับผลิตภัณฑ์ (simple product) หรือจะขึ้นรูป Modeling ใหม่ด้วย Geomagic Freeform จากนั้นประมวลผลออกมาเป็นภาพ (Rending Image) ผลิตภัณฑ์ที่มี texture ใหม่ทางจอคอมพิวเตอร์ ก่อนพิมพ์ด้วย 3D Printer ออกมา หรือจะทำ texture
โพรเจกต์ใหม่ร่วมกับ KSDL ก็ได้
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น คอนโซลรถที่เป็นพลาสติกฉีดขึ้นรูปแบบเรียบ จากโจทย์ของลูกค้าคือ รถซูซูกิเป็นรถที่มีพื้นที่น้อย แต่อยากออกแบบภายในให้ดูกว้างและสวยงาม KSDL จึงออกแบบให้คอนโซลรถซูซูกิมีผิวสัมผัสเป็นลายรังผึ้ง มองแล้วให้ความรู้สึกกว้าง ดูสวยงาม หรูหรา และดูมีราคามากขึ้น, คีย์บอร์ดแบรนด์ยามาฮ่าก็เปลี่ยนจากคีย์บอร์ดหนังมาเป็นพลาสติกซึ่งมีผิวสัมผัสแบบหนัง ทำให้สินค้าดูดีและมีน้ำหนักเบา ขนย้ายสะดวกขึ้น, แอร์ของมิตซูบิชิที่ผ่านการขึ้น Hair Line บริเวณ Front Panel แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่าแอร์ธรรมดา 3 เท่า แต่กลับสร้างยอดขายได้มากกว่าเดิม, เคสโน้ตบุ๊กของโซนี่ที่มีลวดลายเลียนแบบหนังจระเข้ ดูหรูหราและไฮโซ เป็นที่ต้องการของตลาดมาก ตลอดจนงานออกแบบ texture บน Cosmetics Packaging แบรนด์ Kao ก็ช่วยเพิ่มมูลค่าและลูกค้าให้การตอบรับที่ดี

D3Texture ดีอย่างไร
ถ้าพูดถึงการขึ้นแบบสินค้า (Molding) ที่มี texture ตามปกติจะต้องใช้แรงงานคนขึ้นแบบ ขัดให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง แต่หากใช้เครื่องมือดิจิทัล การขึ้นแบบจะควบคุมได้ตรงตามสเป็กที่ต้องการมากกว่า กัดขึ้นรูปได้ละเอียดกว่า และช่วยให้ประหยัดค่าแรงได้ ตลอดจนทำบนพื้นผิววัสดุได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไม้ โลหะ พลาสติก แก้ว เหล็ก ไทเทเนียม ไนลอน จะให้มีผิวขรุขระ ผิวเม็ดทราย ผิวเลียนแบบหนังสัตว์หรือลวดลายตามธรรมชาติก็ทำได้
เดิมการทำลวดลายบนพื้นผิว (Shibo) ใช้ฝีมือคนในการแกะลวดลายลงบนพื้นผิว แต่ D3Texture คือ Digital Shibo คือสร้างลวดลายบนพื้นผิวด้วย Digital ดังนั้นการควบคุมค่าความลึก ความนูน แม้แต่การสร้างทิศทางการมองก็สามารถกำหนดได้ด้วย Digital อีกทั้งมีความเสถียรมากกว่าการทำลวดลายด้วยมือ และเก็บข้อมูลในรูปแบบ 3D data
3D data จะถูกสร้างด้วยโปรแกรม CAD (Computer Aids Design) และถูกบันทึกในฟอร์แมต STL file เพราะ STL เป็นไฟล์ที่เกิดจากการรวมตัวของพื้นผิวเล็กๆ นับร้อยล้านพื้นผิว ทำให้ 3D data ที่ถูกสร้างออกมานั้นมีความละเอียดและมีพื้นผิวสวยงามกว่าการบันทึกด้วยฟอร์แมตอื่นๆ ซึ่ง 3D data ที่ทำออกมานั้นสามารถนำไปสร้าง prototype หรือการขึ้น Mock up ได้อย่างสะดวก หรือหากจะตรวจสอบ แก้ไข เพื่อความถูกต้องของ 3D data ก็ทำได้สะดวกเช่นกัน

มาจาก Joint Venture 3 ประสาน
“เทคโนโลยี high ดีไซน์ high ก็ขายแพงขึ้นได้” เรียวตะ นะคะมูระ (Ryota Nakamura) กล่าว
เรียวตะเป็นผู้ก่อตั้ง YN2-TECH (Thailand) Co., Ltd. บริษัทนำเข้า ส่งออก และจำหน่ายเครื่องจักรและซอฟต์แวร์ เช่น Modeling Machine, Craft MILL 3D-CAM Software, 3D Printer, 3D Scanner, โปรแกรมออกแบบ 3D โดยเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2013 และมี Nakamura Kiko Co., Ltd. บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นหนุนหลังอยู่
เดิมทีเรียวตะเป็นดีไซเนอร์ แต่ที่หันมาทำบริษัทเทรดดิงเพราะสืบทอดธุรกิจต่อจากพ่อ ซึ่งการซื้อมาขายไปไม่สนุกในความคิดของเขา แต่เมื่อต้องขยายธุรกิจเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เรียวตะจึงร่วมหุ้นกับทาง Iwama Co., Ltd. บริษัทที่ออกแบบและขาย machine tools เช่น CNC Machine โดย YN2-TECH มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแนวการดีไซน์เครื่องจักรเพื่อใช้งานในประเทศไทย ด้วยการให้ Iwama สร้างเครื่องจักรตามที่บริษัทดีไซน์ไว้
Iwama เคยทำงานกับ KSDL และเห็นว่างานดีไซน์ของ KSDL ที่ลงลึกเรื่อง texture มีความน่าสนใจ เรียวตะเองก็เห็นด้วยกับวิธีคิดของฮาระที่มองเทรนด์ข้างหน้าว่าต้องใช้เทคโนโลยี 3D และดีไซน์เข้ามาตอบสนองภาคอุตสาหกรรมต่างๆ Iwama, YN2-TECH และ KSDL จึงจับมือกันก่อตั้ง KS-IN 3D (Thailand) Co., Ltd. ขึ้นเมื่อปี 2015 เพื่อนำเสนอเครื่องมือใหม่ๆ ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้แก่
ผู้ประกอบการชาวไทย โดยมีเรียวตะนั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการ บริหารการตลาดในเมืองไทย
Art & Tech for Thais
KSDL ที่ญี่ปุ่น ฮาระบอกว่าธุรกิจของเขามีการเติบโตขึ้นทุกปีประมาณ 30% การมาขยายตลาดในประเทศไทย ตอนแรก KS-IN 3D มีกลุ่มเป้าหมายเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่อยู่ในไทย แต่บริษัทในกลุ่มนี้ไม่สนใจเพราะบริษัทญี่ปุ่นในไทยก็ต้องปรึกษากับบริษัทแม่ก่อน KS-IN 3D จึงวิจัยและพัฒนาสำหรับบริษัทในเมืองไทย โดยเน้นในด้านการพัฒนา texture
ของสินค้า แพ็กเกจจิง ซึ่งก็มองกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อาหาร เฟอร์นิเจอร์ เครื่องสำอาง แฟชั่น โดยในด้านแฟชั่นก็จะมีดีไซเนอร์ชั้นนำในไทยสนใจใช้ 3D Printer พรินต์งานออกมาเป็นเสื้อผ้าที่พอดีกับรูปร่างของนางแบบสำหรับสวมใส่ในงานแฟชั่นโชว์ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนา
และนอกจากการมองหาพาร์ตเนอร์แล้ว ฮาระยังสนใจที่จะสนับสนุนกลุ่มสตาร์ตอัพหรือผู้ที่ต้องการผลิตชิ้นงานที่มีดีไซน์โดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ด้วย และยังบอกอีกว่า เทรนด์ต่อไปของการดีไซน์และผลิตสินค้าจะเป็นการสร้างลักษณะเฉพาะตัวแบบ SIngle Product ที่เหมาะสำหรับคนแต่ละคนโดยเฉพาะและมีคุณภาพสูง
เรื่อง กองบรรณาธิการ
ผลสำรวจ Financial Services Technology 2020 and Beyond: Embracing disruption โดยบริษัท PwC Consulting พบว่า ใน พ.ศ. 2563 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมธุรกิจบริการทางการเงิน (Financial Services) ทั่วโลก
โดยจากผลสำรวจพบว่า มี 10 เทคโนโลยีสำคัญที่จะมีอิทธิพลและส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและหน่วยงานกำกับดูแล รวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่
1. เทคโนโลยีทางการเงินจะขับเคลื่อนธุรกิจการเงินรูปแบบใหม่ (FinTech will drive the new business model) ความต้องการบริการด้านฟินเทคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อย (Consumer Banking) และธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เปิดโอกาสให้ทั้งธนาคารขนาดใหญ่และผู้เล่นรายใหม่ที่มีศักยภาพหันมาจับมือเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น

2. เศรษฐกิจแบ่งปันจะผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงิน (The sharing economy will be embedded in every part of the financial system) อิทธิพลจากกระแสเศรษฐกิจแบ่งปันจะขยายเข้าสู่ธุรกิจบริการทางการเงิน เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ดังนั้น สถาบันการเงินควรพิจารณาโอกาสในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล เพื่อให้บริการที่มีคุณภาพและราคาถูกลงกว่าเดิม

3. บล็อกเชนจะปฏิวัติโลกการเงินยุคใหม่ (Blockchain will shake things up) ระบบโครงข่ายในการทำธุรกรรมและเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ หรือ Blockchain จะกลายเป็นส่วนที่สำคัญของโครงสร้างพื้นฐานในการประกอบธุรกิจการเงินและนำไปสู่โลกการเงินยุคใหม่ จากศักยภาพของ Blockchain ที่สามารถพัฒนาต่อยอดธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ที่จะช่วยลดต้นทุนการให้บริการและเพิ่มความโปร่งใสให้กับการทำธุรกรรม

4. ดิจิทัลจะกลายเป็นกระแสหลัก (Digital becomes mainstream) ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ความก้าวหน้าในการประยุกต์ใช้ดิจิทัลเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคจะขยายวงกว้างไปอย่างหลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมไปถึงการลงทุนผ่านหุ่นยนต์ที่ปรึกษา ระบบควบคุมการปล่อยสินเชื่อเพื่อการบริโภค รวมถึงระบบการชำระเงินและธุรกรรมด้านความปลอดภัยต่างๆ

5. ระบบลูกค้าอัจฉริยะจะเป็นตัวกำหนดการเติบโตของรายได้และการทำกำไรที่สำคัญที่สุด (Customer intelligence will be the most important predictor of revenue growth and profitability) สถาบันการเงินต้องนำเทคโนโลยีการประเมินผลข้อมูลขั้นสูงมาวิเคราะห์พฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริโภค เพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการของผู้ซื้อ และทำให้สามารถคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตได้ง่ายขึ้น

6. ความก้าวหน้าของวิทยาการหุ่นยนต์และระบบปัญญาประดิษฐ์ (Robotics and artificial intelligence) จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ “การกลับขึ้นฝั่ง” (Re-shoring) หรือการกลับเข้ามาลงทุนภายในประเทศ ในอนาคตวิทยาการของหุ่นยนต์และความสามารถของระบบปัญญาประดิษฐ์จะมาแทนที่แรงงานมนุษย์ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานลดลง ส่งผลให้บริษัทที่เคยย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่า สามารถย้ายกลับเข้ามาลงทุนในประเทศของตนได้

7. ระบบคลาวด์แบบสาธารณะจะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานต้นแบบ (The public cloud will become the dominant infrastructure model) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าวงการอุตสาหกรรมบริการทางการเงินจะหันมาใช้ระบบคลาวด์แบบสาธารณะ หรือ ระบบคลาวด์ที่เปิดให้แต่ละองค์กรเช่าใช้บริการโดยอาจจะจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือรายปีแก่ผู้ให้บริการ (Third-Party) ซึ่งจะเป็นผู้ติดตั้งทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อเก็บรักษามากขึ้น

8. ภัยไซเบอร์จะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของสถาบันการเงิน (Cyber-security will be one of the top risks facing financial institutions) การรักษาความปลอดภัยโลกไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่สถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลจะต้องคำนึงถึงในอนาคต เป็นความท้าทายของหน่วยงานเหล่านี้ในสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า

9. เอเชียจะเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ของโลก (Asia will emerge as a key centre of technology-driven innovation) ในปี 2563 ทวีปเอเชียจะมีสัดส่วนจำนวน “ชนชั้นกลาง” มากกว่าทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป นอกจากนี้ ในอีก 30 ปีข้างหน้า จำนวนประชากรโลกถึง 1,800 ล้านคนจะย้ายถิ่นฐานเข้ามาในทวีปแอฟริกาและเอเชียมากขึ้น ซึ่งนี่จะกลายเป็นโอกาสสำคัญทางธุรกิจของสถาบันการเงินในภูมิภาคเหล่านี้

10. หน่วยงานกำกับดูแลจะหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น (Regulators will turn to technology, too) หน่วยงานกำกับดูแลจะหันมาใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลมากขึ้น เพื่อดูแลและคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมบริการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น บริษัทต่างๆ ต้องมีระบบจัดเก็บข้อมูลและระบบการควบคุมความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ เพื่อให้การทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับเหล่านี้เป็นไปอย่างราบรื่น
PwC แนะนำว่า หากพิจารณาจาก 10 เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกธุรกิจบริการทางการเงินที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่า ภารกิจเร่งด่วนของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน คือ การอัพเดตรูปแบบการดำเนินการของระบบไอทีองค์กรและลดความซ้ำซ้อนของระบบไอทีแบบดั้งเดิม (Legacy System) เพื่อบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
ผู้บริหารจะต้องมองหานวัตกรรมในการพัฒนาและปรับปรุงระบบไอที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันและอำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่แผนกไอทีอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายและสนับสนุนการการทำงานของระบบเดิมต่อไป นอกจากนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสารสนเทศ (Chief Information Officers) และผู้บริหารระดับสูง ต้องเร่งคิดค้นนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี เพื่อรับมือกับคู่แข่ง และตลาดที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง โดยต้องสรรหาบุคลากรซึ่งมีทักษะสูงที่รู้ทันและตอบสนองต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วให้ได้ และต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งบรรจุแผนรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งต่อจากนี้ไป ธุรกิจจะต้องไม่รับมือกับความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์เมื่อเกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีมาตรการเชิงรุกในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยร้ายนี้ด้วย
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ผลการลงประชามติของประชาชนชาวอังกฤษเลือกที่จะออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) 51.9% เป็นข่าวที่สะเทือนโลกไปทั้งใบ ทำให้ต้องหันกลับมาดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปในครั้งนี้
ในช่วงวันแรกๆ หลังจากผลประชามตินอกจากผลกระทบด้านการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือความผันผวนของตลาดการเงินโลกหลัง Brexit อาทิ ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 5% ขณะที่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นราว 4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากความไม่แน่นอนที่มากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกจำเป็นต้องถอยกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง ในขณะที่ค่าเงินปอนด์และค่าเงินยูโรปรับตัวลง 5-10% ทันที ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนทั่วโลกมอง Brexit เป็นปัญหาของทั้งอังกฤษและยูโรโซน
ศูนย์วิจัยทางเศรษฐกิจของสถาบันการเงินในประเทศไทยมองผลกระทบนี้ในทิศทางไม่แตกต่างกันมากนัก เริ่มจาก ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มอง Brexit จะส่งผลลบต่อไทยในด้านการค้าและตลาดเงิน โดยมองว่าการส่งออกจากไทยไปอังกฤษและยุโรปในปีนี้อาจหดตัวถึง 6.7% และ 3.3% ตามลำดับ ส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยราว 0.1% ในปีนี้ ขณะที่เงินบาทจะผันผวนอ่อนค่ามากขึ้น
ในด้านการค้า ศูนย์วิเคราะห์ฯ แนะนำให้จับตาไปที่ข้อตกลงของอังกฤษเคยมีกับ EU โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ประกอบด้วย กรณีแรกคือผลกระทบในระดับปานกลาง คืออังกฤษสามารถเจรจาเรื่องการลงทุนและการค้าเสรีกับ EU ใหม่ได้เร็ว ซึ่งน่าจะส่งผลไม่มากกับเศรษฐกิจยุโรปและจะส่งผลให้การส่งออกไทยไป UK และ EU หดตัวที่ระดับ 6.7% และ 3.3% ตามลำดับ แต่หากอังกฤษไม่สามารถเจรจาเรื่องการลงทุนและการค้ากับ EU ได้เลย อาจส่งผลกระทบรุนแรงจนมีความจำเป็นที่ทั้ง UK และ EU จะต้องลดการลงทุนระหว่างกันทั้งในอดีตและในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกไปยุโรปหดตัว 8-10% ต่อปีไปอย่างน้อยในอีกสามปีข้างหน้า
จากการประเมินของศูนย์วิเคราะห์ฯ ในกรณีแรก การส่งออกของไทยจะลดลง 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2559-2561 เฉลี่ยคิดเป็น 0.1% ของจีดีพีไทยในแต่ละปี แต่หากผลกระทบลุกลามจนส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจอย่างรุนแรง การส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบสูงถึง 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 3 ปี หรือคิดเป็นการหดตัวของจีดีพีไทยถึง 0.4% ต่อปี
ในส่วนของภาคการเงินโลก ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจนส่งผลลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจต้องกลับมาทบทวนเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้อีกครั้ง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่นก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มถ้าเศรษฐกิจยูโรกลับไปหดตัวหรือค่าเงินเยนแข็งค่ามากเกินไป
ในส่วนของตลาดเงินไทย ศูนย์วิเคราะห์ฯ คาดว่าค่าเงินบาทมีโอกาสที่จะแกว่งตัวผันผวนมากขึ้นหลังเหตุการณ์ Brexit โดยมองว่านักลงทุนต่างชาติจะยังไม่ลดการลงทุนในตลาดการเงินไทยลง และคาดว่าค่าเงินบาทจะซื้อขายในระดับ 34-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในกรณีที่อังกฤษหาข้อตกลงกับ EU ได้โดยเร็ว ในทางกลับกันถ้าปัญหาในยุโรปลุกลามจนส่งผลให้อังกฤษและ EU ไม่สามารถหาข้อตกลงด้านการค้าและการลงทุนได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่นักลงทุนจะเข้าสู่โหมด “ลดความเสี่ยง” และขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกอีกครั้งซึ่งในกรณีนี้ ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวอ่อนค่าเกิน 36 บาท/ดอลลาร์ ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี
ทางด้าน สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ให้มุมมองในเรื่องนี้ว่า การออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษอาจทำให้เศรษฐกิจอังกฤษโตต่ำกว่าที่ประมาณไว้ 0.7 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่คาดไว้ที่ 1.9 เปอร์เซ็นต์เหลือ 1.2 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผลกระทบต่อสหภาพยุโรปอาจจะกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจประมาณ 0.2 เปอร์เซ็นต์จากเดิมที่มองไว้ 1.4 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 1.2 เปอร์เซ็นต์
ผลกระทบต่อค่าเงินอาจจะทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงไปที่ 1.23 ต่อดอลลาร์-สหรัฐ และค่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 1.03 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าเงินที่จะแข็งค่าขึ้นคือค่าเงินเยน ที่จะขยับไปอยู่ที่ 95 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐก่อนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเข้ามาแทรกแซง การออกจากสหภาพยุโรปครั้งนี้จะทำให้นโยบายทางการเงินของสหราชอาณาจักรต้องผ่อนคลายโดยอาจจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก และอาจจะต้องมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเพิ่มเติม ในส่วนของธนาคารกลางของสหภาพยุโรป ECB อาจจะต้องผ่อนปรนนโยบายทางการเงินเร็วขึ้นกว่าที่เคยคาด และธนาคารกลางสหรัฐน่าจะตัดสินใจไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ และอาจจะลดดอกเบี้ยลงกลับไปอยู่ที่ 0 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ในส่วนผลกระทบต่อเอเชียน่าจะมีค่อนข้างต่ำ ส่วนประเทศไทยมีการค้ากับอังกฤษเพียง 1.4 เปอร์เซ็นต์ ของการค้าต่างประเทศ จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันกระบวนการออกจากสหภาพยุโรปเต็มตัวยังต้องใช้เวลาอีก 2 ปีตามมาตรา 50 ของสหภาพยุโรป ที่ต้องมีการเจรจาพูดคุยระหว่างกันอีก ในช่วงต้นนี้สิ่งที่เห็นจึงเป็นผลกระทบในเชิงจิตวิทยามากกว่า และหลังจากนี้อีก 2 ปี เศรษฐกิจของยุโรปก็จะฟื้นตัวได้ตามลำดับ ขณะที่ประเทศอังกฤษต้องติดตามนโยบายที่จะออกมากันต่อไป
ไปที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงมุมมองที่ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากกรณีสหราชอาณาจักรตัดสินใจถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (BREXIT) ว่าเงื่อนไขสำคัญจะอยู่ที่การสร้างความเชื่อมั่นของทางการอังกฤษภายใต้รัฐบาลใหม่ และการรับมือของ EU ว่าจะส่งผลต่อค่าเงินปอนด์และเงินยูโรอย่างไร นอกจากนี้ ยังต้องติดตามท่าทีของประเทศสมาชิกใน EU อีกด้วย สำหรับผลกระทบต่อตลาดการเงินไทย จะมีความผันผวนในช่วงแรก ขณะที่ เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงไปที่ระดับ 36.00-37.00 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคงต้องยอมรับว่า ประเด็น BREXIT จะทำให้เงื่อนไขการพิจารณาดอกเบี้ยของ ธปท. ในช่วงที่เหลือของปี มีหลายตัวแปรมากขึ้น เพราะนอกจาก ธปท. จะต้องให้น้ำหนักในเรื่องโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังต้องประเมินความเสี่ยงต่อประเด็นทางด้านเสถียรภาพควบคู่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน

นอกจากการส่งออกแล้ว เมื่อรวมผลกระทบผ่านช่องทางอื่น ได้แก่ การท่องเที่ยว และการลงทุน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงมุมมองที่ประเมินว่า ในกรณีดีที่หากทางการของ UK และ EU สามารถสร้างความเชื่อมั่นและเรียกฟื้นความกังวลของนักลงทุนให้กลับคืนมา อันจะส่งผลให้เงินปอนด์กลับมามีเสถียรภาพได้เร็ว ผล
กระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางต่างๆ ดังกล่าว ก็จะมีค่อนข้างจำกัด ที่ร้อยละ 0.02-0.04 ของ GDP ไทย หรือคิดเป็นมูลค่าราว 3,000-5,500 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ในกรณีเลวร้าย หากทางการ UK ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้ ไม่เพียงส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของ UK แต่ยังลุกลามต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนใน EU ฉุดทั้งค่าเงินปอนด์และค่าเงินยูโรอ่อนค่ารุนแรง ผลดังกล่าวอาจกระทบเศรษฐกิจไทยในปี 2559 คิดเป็นร้อยละ 0.1-0.2 ของ GDP ไทยหรือคิดเป็นมูลค่าราว 8,900-20,000 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ความเปราะบางของภาคการเงิน อาจกดดันให้ทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จำเป็นต้องอัดฉีดสภาพคล่องฉุกเฉินให้กับสถาบันการเงิน ขณะที่กระแสการคาดการณ์ของตลาดในช่วงหลังจากนี้ จะเป็นเรื่องโอกาสของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BOE และ/หรือการเพิ่มมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางชั้นนำต่างๆ โดยเฉพาะ ECB และ BOJ
อีกศูนย์วิจัยทางด้านเศรษฐกิจ คือ EIC ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่วิเคราะห์แต่ละประเทศว่า สหราชอาณาจักร ในระยะสั้น ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เตรียมพร้อมในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อรองรับปัญหาการขาดสภาพคล่อง ส่วนในระยะยาว คาดว่าเศรษฐกิจอาจหดตัวถึง 3-10% ภายในปี 2030 จากอุปสรรคทางการค้าการลงทุน รวมถึงการเคลื่อนย้ายของเงินทุนและแรงงาน ทั้งนี้ ระดับความรุนแรงของผลกระทบจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงใหม่ระหว่างสหราชอาณาจักรและ EU โดยมีเวลาอย่างน้อยอีก 2 ปี ก่อนจะสิ้นสุดสมาชิกภาพ
สหภาพยุโรป การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของ EU อาจชะลอลง จากความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่สั่นคลอน และตลาดการเงินที่ผันผวน โดยอีไอซีมองว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ และ Brexit เพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศสมาชิกอื่นใน EU จะมีการจัดทำประชามติในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ จากผลสำรวจพบว่าหากมีการจัดทำประชามติในอิตาลี ฝรั่งเศส และสวีเดน ประชาชนมากกว่า 40% จะสนับสนุนการแยกตัวออกจาก EU
สหรัฐอเมริกา ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจการเงินโลกน่าจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป ส่งผลให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้นั้นเป็นไปได้ยาก ญี่ปุ่น ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) น่าจะออกนโยบายระยะสั้นเพื่อรองรับการแข็งค่าของเงินเยน แม้ว่าจะเคยประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก็ตาม
ในส่วนของประเทศไทยอีไอซี มองว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรงนั้นค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมูลค่าการส่งออกจากไทยไปสหราชอาณาจักร อยู่ที่เพียง 2 เปอร์เซ็นต์ ของการส่งออกทั้งหมด แต่ผู้ส่งออกไก่แปรรูปที่มีตลาดหลักอยู่ใน UK และ EU จะได้รับผลกระทบรุนแรง นอกจากนี้ ผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ยังต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่ผันผวน รวมถึงเงินดอลลาร์สหรัฐ และเยนที่แข็งค่าขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้นำเข้า
เงินบาทจะอ่อนค่าลงเล็กน้อย จากการไหลออกของเงินทุนในระยะสั้นซึ่งจะมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากไทยมีเสถียรภาพทางการเงินที่ค่อนข้างมั่นคงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลในระดับสูง และเงินทุนสำรองที่แข็งแกร่ง

ในระยะยาวอีไอซี มองว่า Brexit จะเปิดโอกาสให้ไทยสามารถต่อรองทางการค้ากับ UK โดยตรงได้มากขึ้น แต่หากเศรษฐกิจ UK และ EU ซบเซาเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวไทย นอกจากนี้ นักธุรกิจไทยยังต้องประสบกับปัญหาต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการที่ต้องแยกประสานงานกับ UK และ EU
ปิดท้ายด้วยมุมมองจาก ศาสตราจารย์ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อธิการวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่มองเรื่องนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มองเห็นความจริงอย่างหนึ่งคือ อย่าไปคิดว่าโลกจะต้องรวมตัวกันเสมอไป มีกรณีอังกฤษให้เห็นแล้ว อาเซียนของเราก็ต้องระมัดระวังเช่นกันในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทะเลจีนใต้ หากเราแก้ปัญหาได้ไม่ดีก็อาจจะทำให้ประเทศที่ขัดแย้งกับจีนทางทะเลอึดอัดใจที่จะอยู่ในอาเซียนได้ แม้จังหวะเวลายังไม่ถึงระดับนั้น แต่เป็นคำเตือนในทางทฤษฎีที่ควรให้ความสนใจ
ดร.เอนกมองต่อไปว่า ในส่วนของยุโรปประเทศอื่นๆ ก็อาจจะเอาอังกฤษเป็นตัวอย่างในการออกจากสหภาพยุโรปได้เช่นเนเธอร์แลนด์ ประเทศที่เศรษฐกิจแย่และยังอยู่ในอียูก็อาจจะคิดเพิ่มขึ้นในการออกจากอียู หากมีปัญหามากขึ้นแล้วแก้ไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ความเป็นปึกแผ่นของอียูลดลง
ในส่วนของสหราชอาณาจักรก็จะคล่องตัวในแง่นโยบายระหว่างประเทศขึ้น โดยอาจจะเพิ่มความสัมพันธ์กับประเทศจีนมากขึ้น เพราะประวัติศาสตร์ของอังกฤษคืออดีตมหาอำนาจของโลกที่มีวิธีการมองโลกอย่างลึกซึ้ง เมื่อออกจากอียูก็จะหันมามองภูมิภาคที่กำลังเจริญเติบโตอย่างเช่นเอเชียมากขึ้น สิ่งที่เคยติดขัดจากการเป็นสมาชิกอียูก็สามารถทำได้สะดวกขึ้น ดร.เอนกให้มุมมองว่า “เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าดุลอำนาจทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป คนในอังกฤษก็เริ่มคิดว่าอยู่กับสหภาพยุโรปแล้วไม่ได้อะไรสักเท่าไรและยุโรปก็ไม่ฟื้นตัวเสียที ทำไมไม่ลองไปคบกับจีนกับเอเชียให้ถนัดมือขึ้น จำเป็นหรือไม่ที่ประเทศที่อยู่ใกล้กันจะต้องมีเศรษฐกิจ ร่วมกัน ต่อไปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอังกฤษก็จะเปลี่ยนไป”
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ในปัจจุบันดัชนีหลักที่ใช้วัดความสามารถการแข่งขันของประเทศก็คือโครงสร้างพื้นฐานในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม หรือ ICT (Information and Communication Technology) สถาบันที่จัดอันดับความสามารถการแข่งขันของประเทศไม่ว่าจะเป็น World Economic Forum (WEF) หรือ International Institute for Management Development (IMD) ล้วนแต่ใช้โครงสร้างพื้นฐานทางด้าน ICT เป็นดัชนีหลักในการวัดความเจริญของประเทศ
นอกจากนี้จะเห็นได้ชัดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการลงทุนทางด้าน ICT เป็นสัดส่วนที่มีจำนวนมากกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนา นอกจากนี้ในมุมของการบริโภค ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการบริโภคอุปกรณ์และบริการ ICT มากกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนา สาเหตุหลักที่ประเทศที่พัฒนาแล้วให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT ก็เป็นเหตุผลเดียวกับการที่ประเทศเหล่านั้นให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร และระบบคมนาคมอื่นๆ เช่น โทรศัพท์ ถนน รถไฟ เป็นต้น เนื่องจาก ICT เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้คน ธุรกิจ และองค์กรต่างๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายรวดเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้ประชาชนและธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น อีกประการหนึ่งก็คือโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT ส่งผลให้คนเข้าถึงความรู้และมีการศึกษามากขึ้น การศึกษาสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เมื่อคนมีการศึกษาสูงขึ้น คนเหล่านั้นก็มีโอกาสที่จะสร้างนวัตกรรมต่างๆ ให้เกิดมากขึ้นไปด้วย จากงานวิจัยของ World Bank พบว่าในทุกๆ สิบเปอร์เซ็นต์ของการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศนั้นๆ อย่างน้อย 1.4 เปอร์เซ็นต์
สำหรับประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีความเจริญแล้ว เช่นเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น หรือ มาเลเซีย จะเห็นว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยยังมีความเจริญด้านเทคโนโลยีทั้งทางด้าน ICT และโทรคมนาคมต่ำกว่า โดยจากการเปิดเผยผลวิจัยความสามารถแข่งขัน ICT ไทย ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในด้านต่างๆ เช่น จำนวนผู้ใช้บรอดแบนด์ (อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง) ทั้งด้านจำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ และอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และเรายังคงเป็นเพียงผู้ใช้ที่เป็นผู้ตามเทคโนโลยี ยังไม่ใช่ผู้สร้างนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่มีบริษัทไทยในประเทศไทยที่สามารถสร้างความสามารถการแข่งขันด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ขณะที่ จีนมี Alibaba ญี่ปุ่นมี Rakuten และ เกาหลีมี Line ซึ่งจากการจัดอันดับความสามารถในด้านโครงสร้างพื้นฐานของระบบเครือข่าย (Network Readiness Index) ที่วัดทั้งด้านคุณภาพและปริมาณของระบบเครือข่ายโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต พบว่า ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 67 จาก 143 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นเหตุผลยืนยันได้อย่างดีกว่าความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยนั้นตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากมีขีดความสามารถด้าน ICT น้อยกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว นอกจาการลงทุนและการบริโภค ICT ของคนและธุรกิจในประเทศแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือนวัตกรรมทางด้าน ICT รวมถึงธุรกิจมีการตอบรับนำ ICT เข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ มีการเกิดขึ้นของ
สิทธิบัตรทางด้าน ICT และมีการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้าน ICT ประเทศไทยยังมีบุคลากรที่มีศักยภาพ แต่ขาดการส่งเสริมอย่างชัดเจนจากภาครัฐในด้านการพัฒนาบุคลากร โดยในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยผลิตทรัพยากรบุคคลทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณและการพัฒนาด้านการศึกษา แต่ก็ยังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาดแรงงาน รวมทั้งจำนวนบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

อีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาความสามารถการแข่งขันทางด้าน ICT ของประเทศไทยก็คือปัจจัยทางด้านการเมืองและกฎหมาย ปัจจัยการเมืองส่งผลกระทบหลักต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ทั้งนี้การเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ มีกลุ่มผลประโยชน์แอบแฝงมาในลักษณะของนักการเมือง มีการปฏิวัติรัฐประหารอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้บริษัทต่างชาติไม่มีความมั่นใจในการลงทุน ส่งผลให้การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้นไม่สามารถเข้ามาได้ การที่กฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังไม่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยไซเบอร์ เป็นต้น ส่งผลต่อความไม่มั่นใจของภาคธุรกิจ และรวมไปถึงความไม่มั่นใจของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าบริการออนไลน์ หรือทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้กฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาธุรกิจและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 15 ที่กำหนดให้ผู้บริการหรือเจ้าของเว็บไซต์ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของผู้ใช้ในระบบของตนเอง
นอกจากนี้ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น โดยเฉพาะในการใช้ Social Media หรือสื่อสังคม แต่การใช้ส่วนใหญ่ยังเป็นการใช้ในทางที่ผิดเช่น การกลั่นแกล้งทางออนไลน์ (Online Bullying) การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว การใช้เวลากับการเล่นเกม การกระทำเหล่านี้ส่งผลต่อความเสียหายทั้งต่อบุคคลอื่นๆ และระบบเศรษฐกิจและสังคม ภาครัฐบาล ภาคการศึกษา ควรมีนโยบายส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์ในทางบวก
สุดท้ายปัญหาหลักในด้านการพัฒนาศักยภาพในด้าน ICT ของประเทศไทยก็คือ มีความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างคนจนและคนรวย คนมีการศึกษาและคนไม่มีการศึกษา คนที่อยู่ในพื้นที่เมืองหลวงและคนที่อยู่ในพื้นที่ชนบท ในการเข้าถึงเทคโนโลยีพื้นฐาน จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาการใช้เทคโนโลยีโทรคมนาคมมีการใช้โดยเฉพาะคนที่มีฐานะ มีการศึกษา และอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงที่เทคโนโลยีโทรคมนาคมเข้าถึง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยมีอัตราผู้ที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband Internet) ค่อนข้างต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยมีเครือข่าย 4G มาเกือบหนึ่งปีแต่จำนวนผู้ใช้ 4G มีเพียงประมาณ 2 ล้านคน ปัญหานี้ส่งผลให้ประเทศเสียโอกาสในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเติบโตของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการศึกษา ซึ่งการเสียโอกาสนี้นำไปสู่ปัญหาด้านอื่นๆ ของประเทศไม่ว่าจะเป็น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการศึกษา และรวมไปถึงด้านความมั่นคงด้วย คงถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงต้องมาทบทวนปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมาว่าอะไรคือต้นเหตุ อะไรควรเป็นแนวทางการแก้ปัญหานี้ เพราะต้องอย่าลืมว่าในปัจจุบันไม่มีประเทศไหนที่สามารถแข่งขันหรือพัฒนาได้โดยปราศจากเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบเครือข่ายโทรคมนาคมที่มีประสิทธิภาพได้

เรื่อง : รองศาสตราจารย์ พ.ต.ต.ดร.ดนุวศิน เจริญ
รองคณบดี คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
เริ่มจากการจัดตั้งเป็นคณะการบริหารจัดการ ในสังกัดสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งเน้นการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหลัก อย่างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ศ.สมิท เปิดการบรรยายตอนนี้ว่า การสอนปรัชญาการเมืองอย่างจริงจังนั้น กล่าวกันว่า จะต้องเริ่มด้วย เพลโต ซึ่งท่านก็ได้ดำเนินการบรรยายมาในแนวนั้น บัดนี้...ถึงเวลาที่จะต้องก้าวต่อไป
และจะว่าด้วยบุตรบุญธรรม หรือทางจิตวิญญาณของเพลโต อันได้แก่ อาริสโต-เติล
ตำนานเล่า ชีวิตของอาริสโตเติล ว่า: “อาริสโตเติล เกิดมา ใช้เวลาทั้งชีวิตครุ่นคิด แล้วเขาก็ตาย” ซึ่งถึงแม้ชีวิตอาริสโตเติลจะมีมากกว่านั้น แต่คำกล่าวตามตำนาน ก็ไม่ได้หนีความจริง เพราะตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ผู้รู้ชาวตะวันตกก็ถือว่า อาริสโตเติลเป็นยอดนักปรัชญา
อาริสโตเติล เกิด 384 ปี ก่อนคริสต์-ศักราช ภายหลังจากที่โสคราตีสถูกตัดสินประหารชีวิตแล้วสิบห้าปี เขาเกิดทางเหนือของประเทศกรีก ในแคว้นมาซิโดเนีย เมื่อถึงวัยรุ่น บิดาส่งไปเรียนหนังสือที่เอเธนส์ ในสำนักของเพลโต เขาอยู่ที่นั่นยี่สิบปี กระทั่งเพลโตตาย เมื่อเพลโตตาย อาริสโตเติลก็ออกจากเอเธนส์ เดินทางท่องดินแดนกรีกโบราณ ในเอเชียไมเนอร์ หรือ ประมาณประเทศตุรกี-ภาคเอเชีย และประเทศซีเรียในปัจจุบัน จากนั้นก็เดินกลับบ้านเกิดในมาซิโดเนีย เพราะกษัตริย์ฟิลิป แห่งมาซิโดเนีย ให้ไปตั้งสำนักศึกษา เป็นติวเตอร์อบรมบุตรชาย คือ เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ ซึ่งต่อมาก็คือ อเล็กซานเดอร์มหาราช
ต่อมาอาริสโตเติลก็เดินทางไปเอเธนส์และตั้งสำนักศึกษาของตนเอง เรียกว่า ไลเซียม กระทั่งถึงบั้นปลายชีวิต ก็ถูกทางการประชาธิปไตยเอเธนส์ กล่าวหาเช่นเดียวกับที่เคยกล่าวหาโสคราตีสมาก่อน คือถูกกล่าวหาว่า เป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งอาจมีโทษถึงประหารชีวิต แต่อาริสโตเติลปฏิเสธ ที่จะอยู่รอดื่มยาพิษ เช่นเดียวกับโสคราตีส เขาหนีออกจากเอเธนส์ โดยเขากล่าวว่า ขี้เกียจจะอยู่ให้ชาวเอเธนส์ทำบาปกับนักปรัชญาอีกเป็นการซ้ำสอง
อาริสโตเติลมีสไตล์ต่างจากโสคราตีสผู้ที่พร่ำพูดพร่ำสอนตลอดเวลา และต่างจากเพลโตซึ่งทำงานเขียนด้วยการบันทึกคำสอนของโสคราตีส แต่อาริสโตเติลสร้างงาน (เขียน) เป็นชิ้นเป็นอันมากมายหลายสาขาวิชา ตั้งแต่ชีววิทยาถึงจริยปรัชญา การวิจารณ์วรรณกรรม การเมือง ฯลฯ
ศ.สมิท กล่าวว่า อาริสโตเติลสามารถเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเยลได้ในหลายภาควิชา แต่โสคราตีสนั้นคุณสมบัติไม่ถึงแม้แต่จะสมัครเป็นผู้ช่วยสอน เพราะแกพูดอย่างเดียว ไม่มีผลงานลายลักษณ์อักษร
ขณะที่สำหรับเพลโตการศึกษาเรื่องการเมือง ในที่สุดแล้วก็จะจบลงด้วยปมปัญหาปรัชญาที่ยากจะขบแตก เช่น จิตวิญญาณคืออะไร? จิตวิญญาณเกี่ยวข้องกับอะไร? แต่อาริสโตเติลศึกษาการเมือง คล้ายกับที่เราศึกษาวิชารัฐศาสตร์ในปัจจุบัน
อาริสโตเติลเที่ยวเก็บรวบรวมรัฐธรรมนูญต่างๆ ทั่วทั้งดินแดนโลกตะวันตกโบราณ สร้างคำนิยามคำศัพท์ ด้านการเมือง สร้างคู่มือการเมือง คู่มือการศึกษาการเมือง งานของอาริสโตเติลไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้นักปรัชญาได้เรียน แต่ทำเพื่อประชาชนพลเมือง และผู้ที่จะบริหารรัฐในอนาคตได้เล่าเรียน
งานของอาริสโตเติลไม่เน้นทฤษฎี แต่มุ่งถึงหน้าที่พลเมือง และการประนีประนอมทางการเมือง อาริสโตเติล เห็นความสำคัญของ รัฐ และต้องการจะเตรียมคน ให้เป็นพลเมืองของ รัฐ หรือนครรัฐ หรือของบ้านเมือง
ชีวิตของ อาริสโตเติล ได้เห็นประชา-ธิปไตยกรีกโบราณล่มสลาย นครรัฐกรีกถูกครอบครองโดยราชอาณาจักรมาซิโดเนีย อาริสโตเติล มองความเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวนั้น อย่างไร? ปรากฏว่า อนิจจา อาริสโตเติล ไม่ได้เขียนความเห็นเรื่องนี้ไว้

อาริสโตเติล เป็นนักวิชาการแทบจะทุกสาขาวิชา ที่รู้จักกันในโลกตะวันตกโบราณ เป็นที่เคารพนับถือในสาขาต่างๆ เหล่านั้นมายาวนานมาก จนตราบถึงประมาณศตวรรษที่ 17 (ในแง่ปรัชญาการเมือง) ในหนังสือ “การเมือง” (the Politics) ของ อาริสโตเติล ได้แสดงวาทะอันมีชื่อเสียง ที่ว่า “มนุษย์ โดยธรรมชาติ เป็น สัตว์การเมือง”
“Man is by nature a political animal.” อาริสโตเติล เห็นว่า “ที่กล่าวกันว่า มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง มากกว่าผึ้ง หรือมากกว่าสัตว์ที่อยู่กันเป็นฝูงชนิดอื่นๆ นั้น ชัดเจนอยู่แล้ว”
สัตว์อื่นทั้งหลาย อาจทำเสียง (voice) ได้ อาจรู้สุขรู้ทุกข์ แต่มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ “พูดได้” กล่าวคือ มนุษย์ มี Logos ที่แปลว่า ถ้อยคำ หรือ เหตุผล ก็ได้ทั้งสองอย่าง คุณสมบัตินี้ในมนุษย์ เกินไปกว่าการรู้ทุกข์รู้สุข Logos เป็นตัวกำหนดว่า อะไรยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรม อะไรดี อะไรชั่ว หลักศีลธรรมและจริยธรรม คือ ตัวก่อให้เกิดครอบครัวและบ้านเมือง - อาริสโตเติล กล่าวไว้เช่นนั้น
อาริสโตเติล ขยายความละเอียดขึ้น ว่า บ้านเมือง (polis หรือ นครรัฐ) เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เริ่มจากการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนของมนุษย์ เป็นครอบครัว แล้วเป็นเผ่า แล้วเป็นหมู่บ้าน แล้วก็เป็น บ้านเมือง หรือ นครรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นพัฒนาการขั้นสูงของมนุษย์ คล้ายกับทางชีววิทยาที่สัตว์พัฒนาจากสัตว์รูปแบบง่ายๆ กลายเป็น
สิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนขึ้น
อย่างไรก็ดี การอยู่ร่วมกันเป็นบ้านเมือง หรือ นครรัฐ มีนัยที่สอง นอกเหนือจากตามแนวธรรมชาติ กล่าวคือ นครรัฐ/บ้านเมือง เปิดโอกาสให้มนุษย์สามารถบรรลุผลสำเร็จในชีวิต ที่จะได้ไปถึง วัตถุประสงค์บั้นปลาย (telos) หรือ แก่นของความเป็นคน
เราเป็นสัตว์การเมือง ก็เพราะว่า การมีชีวิตที่มีส่วนร่วมในชีวิตบ้านเมือง จำเป็นแก่ความเป็นเลิศของคน จำเป็นต่อการอยู่ดี (well-being) ของคน
คนที่ไร้บ้านเมือง ไม่มีพสุธาจะอาศัย ก็จะมีฐานะเท่ากับ สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง หรือไม่ก็จะต้องเป็นระดับเทวดา หมายความว่า ถ้าไม่ต่ำกว่าคน ก็ต้องสูงกว่าคน หรือคนเหนือคน
การกล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์การเมืองตามธรรมชาตินั้น อาริสโตเติลได้วางรากฐานสำคัญไว้แก่โลกยุคต่อๆ มา ถึงแม้ อาริสโตเติลจะไม่ได้ขยายแนวคิดนี้ในทางกว้างและลึกซึ้งมากนักก็ตาม อย่างไรก็ดี เราต้องทำความเข้าใจว่าอาริสโตเติลไม่ได้ให้ความหมายเชิงชีววิทยา เพราะธรรมชาติแห่งการอยู่เป็นบ้านเมืองของคน ไม่ใช่มดสร้างรัง หรือแมงมุมชักใยแมงมุม หรือผึ้งสร้างรัง หรือปลวก สร้างจอมปลวก คนไม่ได้เป็นสัตว์การเมืองเพราะเหตุผลทางธรรมชาติเหมือนพวกเดรัจฉาน แต่เป็นเพราะว่า มนุษย์ “พูดได้” คือมี Logos การพูดได้ของอาริสโตเติลหมายถึง การรู้จักเหตุผล ด้วย
การพูดได้และรู้จักเหตุผล ทำให้มนุษย์ผูกพันกับคนอื่นในบ้านเมืองเดียวกัน มีความเข้าใจร่วม มีความรู้สึกร่วม ว่าอะไรยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรม มนุษย์รู้จักที่จะอยู่ร่วมกันด้วยข้อศีลธรรมทางภาษา (การพูด/ให้เหตุผล) อาริสโตเติล จึงสรุปว่า “การพูดได้” (Logos) ของคน นำมาซึ่ง (แต่มิใช่ เป็นเหตุ) การเมือง
นอกจาก “การพูดได้” ของมนุษย์ จะนำมาซึ่งการเมืองแล้ว ยังนำมาซึ่งความรัก ความสนิทสนม ความเห็นอกเห็นใจ มิตรภาพ ความเป็นเพื่อน ซึ่งก็เป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งของการเมืองและการอยู่ร่วมกันเป็นบ้านเมือง ตลอดจนเป็นพื้นฐานของความเป็นคน การสมาคมกันในแนวดังกล่าวนำไปสู่ความสมบูรณ์ของมนุษย์
แต่ “บ้านเมือง” หรือ นครรัฐ ของอาริสโตเติล หมายถึง นครรัฐหรือบ้านเมืองขนาดเล็กๆ เป็นสังคมเล็กๆ ที่เกือบจะเหมือนสังคมปิด ซึ่งพันธะที่ผูกพันกันระหว่างสมาชิก ได้แก่ ความรู้สึกเป็นเพื่อน หรือมิตรภาพ ไม่ใช่สังคมที่ คิดคำนวณผลประโยชน์ สังคมที่คำนึงถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ จะไม่ใช่สังคมการเมืองแบบที่ อาริสโตเติล พูดถึง
อาริสโตเติลเห็นว่า เราจะไว้วางใจคนทั่วไปทุกคนหาได้ไม่ เราจะไว้วางใจกันได้ก็แต่เฉพาะกลุ่มเพื่อนหรือในหมู่มิตรเท่านั้น ซึ่งหมายถึงพลเมืองนครรัฐเดียวกัน เพราะฉะนั้น จึงจะมีแต่นครรัฐเล็กๆ เท่านั้นที่จะมี “การเมือง” ได้ คือสามารถปกครองกันได้ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
อาริสโตเติลเห็นว่า แผ่นดินขนาดใหญ่เช่นจักรวรรดิ จะสามารถปกครองกันได้อย่างหลวมๆ เท่านั้น นครรัฐจะเป็นแผ่นดินขนาดใหญ่โตกว้างขวางไม่ได้
อย่างไรก็ดี นครรัฐหนึ่งก็จะตั้งอยู่ในโลกร่วมกับนครรัฐอื่นๆ และแต่ละนครรัฐ ก็อาจมีนโยบายแตกต่างกัน หรือบางทีอาจจะเป็นศัตรูกัน ในการอยู่ร่วมกันนี้ นครรัฐก็จะต้องมีนโยบายการต่างประเทศ พลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตย จะไปเป็นพลเมืองดีในระบอบอื่นไม่ได้ ความภักดีต่อวิถีชีวิตแบบของตน เป็นข้อบังคับ (เงื่อนไข ชนิดบังคับก่อน) ให้เกิดนครรัฐ ด้วยเหตุแห่งความที่มีลักษณะเฉพาะตัวของนครรัฐ (หรือบ้านเมืองขนาดเล็ก) ทำให้นครรัฐอาจไม่สามารถเป็นมิตร กับนครรัฐหรือบ้านเมืองอื่นได้ทั้งหมด สงครามระหว่างนครรัฐอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การรณรงค์สงครามและคุณสมบัติที่เอื้อต่อการรณรงค์สงคราม ก็จะเป็นสิ่งมีค่าต่อนครรัฐ และเป็นธรรมชาติของความเป็นนครรัฐ (หรือบ้านเมือง) เช่นเดียวกับความเป็นเพื่อน มิตรภาพ และความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
ศ.สมิท ตั้งข้อสังเกตว่า ในตอนต้นๆ อาริสโตเติลไม่ได้พูดว่าระบอบการปกครองชนิดใดดี หรือดีที่สุด เพียงแต่พูดว่าเราเป็นสัตว์การเมือง และเพื่อให้เราบรรลุวัตถุ-ประสงค์แท้จริง (telos) ของชีวิต เราก็จะต้องอยู่กันเป็นบ้านเป็นเมือง แต่มีคำถามว่า แล้วจะปกครองนครรัฐอย่างไรดี? จะปกครองด้วยคนน้อยคนหรือมากคน ถึงจุดนี้ เราเพียงแต่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนครรัฐว่า
1. จะต้องมีขนาดเล็ก พอที่จะเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้
2. จะมีภาษา ภาษาพูด ภาษาแห่งการให้เหตุผล และในที่สุด ภาษาแห่งความยุติธรรม ภาษาเดียวกัน หมายความว่า ไม่ใช่สักแต่ว่าจะพูดภาษาเดียวกัน ทว่า จะต้องมีประสบการณ์เดียวกัน มีความทรงจำเดียวกัน ที่คอยก่อรูปผู้คนพลเมือง
เราจะเห็นได้ว่า สังคมหลากหลายเผ่าพันธุ์ มากกลุ่มวัฒนธรรม มากมายหลายภาษาพูด เช่นสังคมมนุษย์ปัจจุบันหลายๆ สังคมนั้น ไม่เข้าข่ายนครรัฐ ของ อาริสโตเติล ซึ่งประเด็นนี้จะมองว่า อาริส-โตเติล กำลังวิพากษ์วิจารณ์สังคมปัจจุบัน ก็ว่าได้ -- ศ.สมิท แสดงความเห็นเช่นนั้น
พลเมืองในนครรัฐแบบของอาริสโตเติล จะบรรลุวัตถุประสงค์บั้นปลายที่สุดของชีวิต ด้วยการเข้ามามีส่วนในการบริหารกิจการบ้านเมือง หรือมีส่วนร่วมในการเมือง ขณะที่พลเมืองของประเทศใหญ่โตสมัยนี้ รัฐอาจให้ประชาชนมีเสรีภาพที่จะใช้ชีวิตตามใจปรารถนา แต่เสรีภาพเช่นนี้ไม่ใช่เสรีภาพที่อาริสโตเติลพูดถึง
อาริสโตเติลกล่าวว่า เสรีภาพจะเกิดมีขึ้นได้แก่ปัจเจกชน ก็ต่อเมื่อเขาเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง มาทำกิจกรรมการเมือง มารับผิดชอบและตรวจสอบงานการเมือง เพื่อประโยชน์ของชนทั้งปวง หรือประโยชน์สาธารณะ
เพราะฉะนั้น เสรีภาพของอาริสโตเติลจึงไม่ได้หมายถึงมีชีวิตตามใจชอบ แต่มีชีวิตด้วยการยับยั้งชั่งใจ มีสำนึกว่า ใช่ว่าคนเราจะทำได้ตามอำเภอใจ อาริสโตเติลเห็นว่าสังคม/บ้านเมือง/นครรัฐที่ดีย่อม ส่งเสริมให้คนรู้จักประมาณตน และรู้จักประเมินตนเอง รู้จักปกครอง (ใจ) ของตนเอง ดังที่อะไดมาติสพูดไว้ การรู้จักครองตนอยู่ในทางสายกลาง (moderation) มี self-governance เหล่านี้ จะแยกเสียมิได้จาก เสรีภาพ
อย่างไรก็ดี ปรัชญาการเมืองอาริสโต-เติลก็มีข้อที่สมัยนี้เห็นว่าเสียชื่อเสียงอยู่ประการหนึ่ง คือ การรับรองเรื่องทาส อาริสโตเติลเห็นว่าความเป็นทาสเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ เพราะอาริสโตเติลเชื่อในเรื่องความไม่เสมอภาค เขาเห็นว่า สังคมต้องมีผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง เป็นกฎธรรมชาติของคน
ประชาธิปไตยแบบอาริสโตเติลจึง แตกต่างจากประชาธิปไตยแบบเจฟเฟอร์สัน ผู้ประกาศว่า “มนุษย์ถูกสร้างมาเท่าเทียมกัน” จึงมีนักศึกษารุ่นปัจจุบันเห็นว่า หนังสือเรื่อง “การเมือง” หรือ “Politics” ของอาริสโตเติล เป็นหนังสือ “แอนตี้ประชาธิปไตย” อย่างมากที่สุดเท่าที่เคยเขียนกันมา
เอ๊ะ แล้วเราจะเรียนเรื่องการเมืองจากอาริสโตเติลไปทำไม? เนื่องจากการแสดงเหตุผลของอาริส-โตเติลสั้นมาก ท่านว่า เราจะต้องทำการอ่านชนิดที่เรียกว่า อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ หรือ close reading
1. เราไม่พึงมองข้ามความเห็นของ อาริสโตเติลในส่วนที่เราไม่ชอบ เพียงเพื่อให้อาริสโตเติล “ดูดี” ในทางการเมือง คือ ให้อาริสโตเติลมีความเห็นที่เป็นความชอบธรรมทางการเมือง (politically correct) ตามทัศนะของคนสมัยนี้
2. ขณะเดียวกัน เราก็ไม่พึงปฏิเสธ
อาริสโตเติล มองข้ามเขาไปเสียเลย เพียงเพราะว่าทัศนะของเขาไม่ตรงกับทัศนะของเรา
ศ.สมิท เห็นว่า ข้อสังเกตเรื่องทาสของอาริสโตเติลเป็น “หัวข้ออภิปราย” ไม่ใช่ความเห็นเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เขาบอกว่า “มีบางคน เชื่อว่า ทาสเป็นธรรมชาติ” เพราะว่า การปกครองและการถูกปกครอง พบได้ทุกสังคม

แต่บางคนสมัยโน้น ก็เห็นว่า นายกับทาส ไม่เป็นธรรมชาติ ทว่าเป็นความสัมพันธ์ที่วางอยู่กับการ “บังคับ” เราจะพบว่าแม้ในโลกโบราณ เรื่องทาสก็ใช่ว่าจะเห็นคล้อยตามกันเสียทั้งหมด อาริสโตเติล เพียงแต่เปิดใจกว้าง ยอมรับความเห็นทั้งสองทาง อาริสโตเติลเห็นด้วยกับผู้ที่เห็นว่า ทาสที่เกิดจากสงคราม (เชลยศึก) ไม่ยุติธรรม เพราะว่า การสงครามไม่ได้เกิดอย่างยุติธรรมเสมอไป ฉะนั้น ทาสชนิดนี้ เราจะถือว่า เป็นธรรมชาติ หรือเป็นทาสอย่างยุติธรรม ไม่ได้
อาริสโตเติลปฏิเสธความเห็นอื่นๆ ที่ว่า ทาสเหมาะแก่คนอื่นที่มิใช่คนกรีก เขาบอกว่า เป็นทาสกันได้ทั้งนั้นแหละ ทาสไม่จำกัดชาติพันธุ์ หรือถ้าแม้นว่า ความเป็นนายเป็นทาสแม้จะเกิดจากที่ธรรมชาติเจตนามา เพื่อให้เห็นความต่างระหว่าง คนเป็นไท กับ คนเป็นทาส แต่ อาริสโตเติลเห็นว่า การณ์อันตรงข้ามกัน มักจะเป็นจริง ธรรมชาติมีสิทธิสร้างมาผิดพลาด (คือ คนที่ธรรมชาติสร้างมาให้เป็นไท ที่จริงกลับเป็นทาส และคนที่ธรรมชาติสร้างมาให้เป็นทาส กลับเป็นไท) ถึงตรงนี้หลายคนเริ่มสับสนกับอาริส-โตเติลว่า สรุปแล้วจะพูดว่าอะไรแน่? อาริสโตเติล เห็นด้วยกับพวกที่เห็นว่า ทาสเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะว่า อาริสโต-เติลเห็นว่าคนเราไม่อาจปกครองตนเองได้โดยปราศจาก ความยับยั้งชั่งใจ การปกครองตนเอง (self-rule) จะหมายถึง การรู้จักที่จะยับยั้งชั่งใจตนเอง การรู้จักควบคุมตนเอง (self-restraint or self-control) ซึ่งล้วนแล้วแต่จำเป็นสำหรับ เสรีภาพ
การรู้จักควบคุมกิเลสตัณหาของตนเอง ก็คล้ายๆ กับการรู้จักปกครองผู้อื่นด้วยความยับยั้งชั่งใจ จิตวิญญาณก็มีลำดับชั้นขั้นตอนของมัน ซึ่งแสดงออกมาเป็นรูปธรรม ด้วยระบอบการเมืองการปกครองนั่นเอง อาริสโตเติลสรุปว่า ลำดับชั้นตามธรรมชาติ ก็มาจากลำดับชั้นภายใน (จิตใจ) ของสติปัญญา และลำดับชั้นของการรู้จักเหตุผลแต่ ลำดับชั้นในจิตใจคนมาจากไหน? อาริสโตเติลตั้งคำถามว่า ทำไมคนบางคนจึงมีขีดความสามารถที่จะคิดอย่างมีเหตุผล มีการควบคุมตนเองได้ดี ซึ่งคุณสมบัติสองประการนี้จำเป็นต่อ เสรีภาพ แต่คนบางคนกลับไม่มีความสามารถเช่นนั้น
เรื่องนี้ติดตัวมาแต่กำเนิดหรือ หรือว่าเกิดจากการอบรมเลี้ยงดู ถ้าเกิดจากการเลี้ยงดู แล้วความเป็นทาสจะเป็นธรรมชาติได้อย่างไร? ก็อาริสโตเติลบอกว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล” (เป็น สัตว์ประเสริฐ) มิใช่หรือ? ก็แปลว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกนามเป็นอย่างนั้น ต่างล้วนมีขีดความสามารถที่จะฝึกจิต และสามารถมีชีวิตอยู่อย่างเสรีได้ ความคิดเหล่านี้มีความเสมอภาคแฝงอยู่
ประโยคที่เปิดฉากหนังสือ เมตาฟิสิกส์ ของอาริสโตเติล เขียนว่า “All men have a desire to know.” นี่เป็นสากลใช่ไหม? ทุกคนมีเสรีภาพ ทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครอง และในการที่จะถูกปกครอง ในฐานะพลเมืองของบ้านเมือง แต่ขณะเดียวกัน อาริสโตเติลกลับเห็นว่าการศึกษาเป็นสิทธิของคนส่วนน้อย เพราะว่า “วินัย” และ “การรู้จักควบคุมตนเอง” ที่จำเป็นแก่การศึกษา หรือจำเป็นสำหรับจิตที่มีการศึกษา ดูเหมือนจะกระจายอยู่อย่างไม่เสมอภาคกัน ในหมู่มนุษย์
เพราะฉะนั้น ดูเหมือนว่าระบอบการปกครองตามธรรมชาติ ที่เป็นระบบที่ดีที่สุด น่าจะได้แก่ระบบอาริสโตเครซีของคนมีการศึกษา - aristocracy of the educated เป็นระบบสาธารณรัฐศักดินา - aristocratic republic ทั้งนี้โดยที่ คนมีการศึกษาปกครอง เพื่อสุขของคนทั่วไป หนังสือสาธารณรัฐของอาริสโตเติล (ซึ่งหมายรวมถึงเพลโตด้วย) เน้นการปลูกฝังคุณธรรม คุณงามความดีระดับสูง - high level of citizen virtue ซึ่งหมายถึง จิตใจที่มีคุณสมบัติ เหมาะสมและจำเป็น แก่การปกครองตนเอง คุณสมบัตินี้อาริส-โตเติลเห็นว่ามีอยู่ในคนส่วนน้อย มีคนจำนวนน้อยที่จะมีความสามารถเข้ามาบริหารปกครองบ้านเมืองได้ หนังสือของอาริสโตเติลจึงดูเหมือนจะสั่งสอนอบรมปลูกฝังชนชั้นผู้นำ เป็น elite teaching ซึ่งช่างตรงกันข้ามกับความรู้สึกสำนึกของเรา (นศ. มหาวิทยาลัย เยล) ที่เราได้รับการเลี้ยงดูมา
แต่ก่อนที่เราจะปัดอาริสโตเติลทิ้งไป เราน่าจะลองถามดูว่า มหาวิทยาลัยเยล เป็นสถาบันชั้นผู้นำ มิใช่หรือ? เป็นสถาบันที่ตั้งใจจะให้การศึกษาอบรม เชิงศีลธรรมและปัญญา สร้างคนมีการศึกษาที่เป็นผู้นำ มิใช่หรือ? ดูจากระบบการรับนักศึกษา เป็นระบบเปิด ใครๆ ก็เข้ามาเรียนได้ เช่นนั้นหรือ? หามิได้เลย มีระบบคัดเลือกที่เรียกร้องคุณสมบัติ ที่จะปกครองตนเองได้ มีวินัย มีการยับยั้งชั่งใจ ซึ่งล้วนแล้วแต่จำเป็นต่อความสำเร็จในการศึกษาที่ เยล
แล้วการที่นักศึกษาจากที่นี่สำเร็จออกไปอยู่ในกลุ่มผู้นำในรัฐบาล ธุรกิจ กฎหมาย และวงวิชาการนั้น จะเป็นการยุติธรรมไหม ถ้าจะพรรณนาว่า ชั้นเรียนนี้เป็นศักดินาตามธรรมชาติ?

เรื่อง : โดยนิตยสาร MBA
วันที่ : 27 มีนาคม 2560